.2.
ค้นหาคำตอบ
ปัจจุบันลลิตอายุ 24 ปีแล้ว ส่วนพี่ฟ้ากับพี่ครามก็ 28 ปี ตอนนี้กลับมาอยู่ที่เมืองไทยถาวรแล้ว เรื่องของพวกพี่เขามันน่าปวดหัวมาก อย่าไปอยากรู้เลยดีกว่าค่ะ
มาเข้าเรื่องที่จุดเริ่มต้นของฉันดีกว่า ฉันพยายามหาคำตอบให้กับตัวเอง เฝ้ามองและคอยดูเขาอยู่ในมุมของตัวเอง แต่แล้ววันหนึ่งเขากลับหายไปโดยไม่มีแม้แต่คำร่ำลาหรือคำปลอบโยนใด ๆ เอ่ยออกมาเลย
เหมือนฝันร้ายซ้ำ ๆ ที่คอยวนเวียนอยู่ข้างกายของฉันตลอดเวลา… ความทรงจำของผู้ชายคนหนึ่งค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น แต่มันแทบเลือนรางเมื่อเขาพาตัวเองหายออกไปจากชีวิตของฉันในวันนั้น เกือบ 6 ปีแล้วที่เขาหายไป ไม่ยอมติดต่อกลับมาอีก
“เขาเกลียดหนูขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมเขาถึงหายไป” คำถามที่ฉันเฝ้าถามกับพี่ชายฝาแฝดทั้งคู่ แต่คำตอบกลับเป็นเพียงคำพูดปลอบโยนฉันเท่านั้น
“มันไม่ได้หายไปไหน มันแค่ไปเรียนต่อ” คำตอบเมื่อ 4 ปีก่อนและมันก็ยังคงเป็นคำตอบในปัจจุบันทุก ๆ วันนั่นแหละ
“แล้วจำเป็นต้องตัดขาดกันแบบนี้เลยเหรอ? ไหนบอกว่าสนิทกับลิตแล้ว จะหายไปเรียนก็ควรบอกกันบ้างสิ หายไปเกือบ 6 ปี เขาจะเอาใบปริญญาเป็นร้อยใบเลยเหรอคะ” ฉันมองหน้าพี่ฟ้าและพี่ครามสลับกัน มีแต่ความสับสนอยู่ในหัวใจเพราะจู่ ๆ พี่เขื่อนก็หายไป เขาเหมือนทิ้งฉันเอาไว้กลางทาง
“เวอร์ตลอด” พี่ฟ้าพูดพร้อมกับปลายนิ้วที่จิ้มหนัก ๆ ลงมาบนหน้าผากของฉันด้วย “ลิตรักมันเหรอ?”
คำถามที่ฉันเฝ้าตอบตัวเองมาโดยตลอดว่าไม่ได้คิดอะไรกับเขา คิดแค่พี่ชายเท่านั้น แต่มันกลับค่อย ๆ ชัดเจนเมื่อเขาหายไป
“ลิต…”
“ลิตไม่ต้องปฏิเสธพวกพี่หรอกนะ มันชัดเจนมาก ลิตพยายามสร้างกำแพงไม่ยอมให้ไอ้อินก้าวเข้ามา แต่ลิตกลับพยายามพังกำแพงของตัวเองเพื่อเข้าไปในชีวิตของไอ้เขื่อน” พี่ครามกำลังย้ำเตือนในสิ่งที่ฉันพยายามวิ่งหนีมาโดยตลอด และฉันไม่มีทางปฏิเสธได้เลย
“ตัดใจซะเถอะ พวกพี่รักลิตเกินกว่าจะยอมให้ใครมาทำร้ายได้ โลกที่ลิตคิดว่าสวยงาม บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นจริง ๆ ก็ได้นะ” คำพูดของพี่ฟ้าทำให้ฉันต้องขมวดคิ้วงุนงงทันที เขาหมายความว่ายังไง
“ลิตไม่เข้าใจ”
“ลิตควรเข้าใจได้แล้ว ถ้าไอ้เขื่อนมันรู้สึกกับลิตเกินกว่าน้องสาวจริง ๆ มันจะไม่หายไปแบบนี้” พี่ครามย้ำเตือนฉันด้วยคำพูดเจ็บ ๆ เสมอ แต่มันกลับเป็นความจริงที่ฉันพยายามวิ่งหนีมาโดยตลอด
ความจริงที่มันไม่มีวันเกิดขึ้นจริง ๆ ในชีวิตของฉันตอนนี้…
“เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ถ้าลิตกับหมอนั่นเป็นของกันและกันจริง ๆ ถึงตอนนั้นลิตอาจจะรับได้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่มันทำลงไปก็ได้ ยกเว้นว่าลิตจะตัดใจซะตั้งแต่ตอนนี้” พี่ฟ้ามองหน้าฉันนิ่ง ๆ แต่ฝ่ามือของเขาที่คอยลูบหัวของฉันไปด้วยมันกลับไม่นิ่งตาม มันอ่อนโยนเสมอ
“ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ควรเคลียร์กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในปัจจุบันให้จบด้วยนะ เข้าใจที่พี่พูดใช่มั้ย” พี่ครามพูดออกมาต่อ
“รู้แล้วค่ะ” ทั้งคู่มองหน้าฉันยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินออกไปจากตรงนี้ ฉันเลยนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแทนและเรื่องที่ทั้งคู่บอกให้ฉันเคลียร์ ก็หมายถึงเรื่องของพี่อินทัชนั่นแหละ เป็นเรื่องเดียวที่ฉันมั่นใจว่าไม่มีทางรู้สึกกับเขาเกินกว่าพี่ชายคนหนึ่งแน่นอน
ครั้งแรกฉันเจอพี่เขื่อนเพียงผ่านตาเท่านั้น เขาเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มของพี่แฝด ครั้งต่อมาฉันเจอเขาที่บ้านตอนมีงานเลี้ยงเล็ก ๆ ครั้งนั้นเขากอดฉัน ถึงจะกอดเพราะช่วยก็ตาม แต่กลับบอกว่าไม่ชอบยิ้มให้คนที่ไม่ค่อยสนิทกัน… ความรู้สึกของฉันมันค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ความลึกลับของเขาทำให้ฉันอยากค้นหาและค่อย ๆ ก้าวเข้าไปในชีวิต จนได้คุยกัน เจอกันบ่อยขึ้น
แต่สุดท้ายเขาก็ค่อย ๆ พาตัวเองหายออกไปจากสายตาของฉัน จนในที่สุดก็หนีหายไปเรียนต่อต่างประเทศ ตัดขาดทุกอย่าง แทบเป็นคนที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ
“เหอะ! ทำไมลิตต้องมาสนใจคนอย่างพี่ด้วยเนี่ย” บ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินออกจากบ้าน
วันนี้ฉันมีนัดกับพี่อิน อยากคุยกับเขาให้จริงจัง ความรู้สึกของฉันที่มีต่อเขามันไม่ได้เพิ่มมากขึ้นเลยจริง ๆ ฉันพยายามแล้ว แต่ความสนใจที่มีให้เขามันแค่พี่ชายเท่านั้น ต่างจากใครอีกคน
ร้านอาหารสไตล์น่ารัก ๆ ถูกพี่อินเลือกเอาไว้สำหรับการกินมื้อเที่ยงระหว่างพวกเราในวันนี้ ร้านนี้แทบจะเป็นร้านประจำของพวกเราเลยด้วยซ้ำ ฉันมาถึงก็เห็นเขานั่งรออยู่ในร้านตรงมุมเดิมและอาหารแบบเดิม ๆ แล้ว เป็นเมนูธรรมดาที่ฉันชอบมาก พี่อินจะรู้ดีว่าฉันชอบกินอะไร ถ้าเป็นพวกอาหารทะเล กุ้งคงเป็นสิ่งที่ฉันชอบมากที่สุด ในขณะที่แม่กับพี่ชายฝาแฝดฉันแพ้มากที่สุด
“ลิต!”
“คะ?” คิดอะไรเพลิน ๆ เสียงพี่อินที่ตะโกนเรียกพลางโบกไม้โบกมือไปมาจนฉันต้องปรับสีหน้า เพื่อยิ้มตอบเขาก่อนจะก้าวขาเดินเข้าไปหาพร้อมกับคำถาม “มาถึงนานหรือยังคะ”
“ไม่ครับ”
“หืม? แต่ลิตว่าไม่น่าจะใช่นะ เพราะอาหารเต็มโต๊ะเลย” ฉันถามพี่อินยิ้ม ๆ
“ก็นิดหน่อยครับ นั่งก่อนสิ พี่สั่งของโปรดลิตมาทั้งนั้นเลยนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
เวลานี้ขอกินก่อนละกัน ส่วนเรื่องอื่นเอาไว้หลังจากนี้ พี่อินมักจะนึกถึงฉันในทุก ๆ สถานการณ์เสมอ ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไม? แต่กลับนับถือใจของเขาที่ยอมรอมาจนถึงวันที่ฉันเรียนจบจริง ๆ แถมยังล่วงเลยมาอีกตั้ง 2 ปีแล้วด้วย อย่างที่ปากพูด เขาไม่เคยบอกว่ารู้สึกยังไง แต่ฉันกลับมองออก สายตาที่มองมามีแต่ความห่วงใย
ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากรู้สึกกับเขาให้มากกว่าพี่ชายคนหนึ่งเหมือนกัน แต่เพราะมันไม่ใช่และฝืนทำร้ายเขาแบบนั้นไม่ได้ วันนี้เลยต้องพูดอะไรให้มันเด็ดขาด แม้ว่าจะต้องมีคนเจ็บปวดก็ตาม
“อ่า… อิ่มมากเลยค่ะ”
“กินเยอะ ไม่กลัวอ้วนเหรอครับ ปกติผู้หญิงจะซีเรียสเรื่องแบบนี้” พี่อินถามยิ้ม ๆ ใบหน้าของเขามักมีรอยยิ้มให้ฉันเสมอ แถมยังเป็นรอยยิ้มอบอุ่นอีกต่างหาก
“ไม่ค่ะ ปกติลิตกินอะไรก็ไม่ค่อยอ้วนอยู่แล้ว” พูดพลางลูบหน้าท้องของตัวเองไปด้วย “ขอบคุณสำหรับอาหารอร่อยอีกมื้อนะคะ พี่ชาย”
ประโยคต่อท้ายว่าพี่ชายด้วยน้ำเสียงดังที่ฟังชัดมาก ๆ ของฉันทำให้พี่อินหุบรอยยิ้มลงเล็กน้อย แววตาของเขาที่จ้องมาทางฉันมันดูเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะฉันไม่อยากทำให้เขามีความหวังไปมากกว่านี้อีกแล้ว ทุกอย่างเลยจำเป็นต้องเอ่ยออกมาตรง ๆ สักที
“ลิต”
“คะ?”
“ลิตรู้ใช่มั้ยว่าพี่คิดยังไงกับหนู” คำถามของเขาทำให้ฉันต้องคลี่ยิ้มออกมาพลางพยักหน้ารับ “พี่ชอบลิตมาตลอด จนมันเปลี่ยนเป็นรักในทุก ๆ วัน ถึงตอนนี้ลิตจะยังไม่ชอบพี่ แต่พี่ก็ยินดีที่จะรอ”
ฉันเงียบไป พลางเม้มปากเข้าหากันจนแน่น บรรยากาศโดยรอบตอนนี้คือเงียบมาก ทั้ง ๆ ที่มีผู้คนมากมายเดินเข้ามาในร้านอาหารแห่งนี้
“พี่อินไม่ต้องรอลิตหรอกนะคะ ยังมีผู้หญิงดี ๆ อีกมากมายที่รอให้พี่อินรัก ลิต…”
“ถึงลิตจะบอกให้พี่เลิกรอ แต่หัวใจของพี่ก็ยังอยากจะรอลิตอยู่ดี ขอให้พี่ได้รอเถอะนะ แค่รู้ว่าลิตเป็นยังไง มีความสุขดีหรือเปล่า แค่นี้พี่ก็ดีใจแล้ว”
“พี่อิน…” ตอนนี้โคตรรู้สึกผิดมาก แต่จะให้ฉันฝืนรักเขาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รักก็เป็นไม่ได้อยู่ดี สู้บอกไปตรง ๆ ไม่ดีกว่าเหรอ อย่างน้อยก็ดีที่สุดสำหรับฉันและอาจจะดีสำหรับเขาด้วยก็ได้ “ลิตขอโทษจริง ๆ แต่ลิตไม่อยากให้พี่อินทำแบบนี้”
“ลิตไม่ต้องขอโทษพี่หรอก เพราะพี่เต็มใจทุกอย่างครับ”
โอ๊ย! ชีวิต ทำไมฉันไม่หลงรักผู้ชายดี ๆ อย่างพี่อินนะ เขาแสนดีทุกอย่าง แต่กลับไม่ใช่คนที่ฉันรู้สึกรัก
เฮ้อ!
เครียดเลยค่ะ กลับมานอนเครียด ๆ อยู่ที่คอนโดต่อ ไม่รู้จะทำอะไรนอกจากนอนทอดสายตามองเพดาน ช่วงนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่ พี่ไลกับพวกพี่แฝดก็จะอยู่ที่บ้านกัน ส่วนฉันจะไป ๆ มา ๆ ระหว่างบ้านกับคอนโดแทน เรื่องของพวกพี่เขาฉันจะขอละไว้ในฐานะที่เข้าใจก็แล้วกัน
การเป็นคนกลางที่รับรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพี่ชายฝาแฝด มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย เพราะฉันก็คอยแอบช่วยเหลืออยู่เงียบ ๆ เหมือนกัน
“ไง หักอกไอ้อินมาแล้วเหรอ” เสียงพี่ฟ้าดังขึ้นมา จนทำให้ฉันต้องปรายตาหันไปมองหน้าเขา
“เฮ้ย! พวกพี่มาได้ยังไงเนี่ย” ตกใจสิคะ ปกติพวกเขาจะอยู่ที่บ้าน นาน ๆ ถึงจะมาคอนโดฉัน
“มาหาเพื่อนแถวนี้ เลยแวะมาหาเรา” พี่ฟ้าตอบพลางเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ก่อนเข้ามาฉันก็ไม่ได้สังเกตด้วยสิ เพราะมัวแต่คิดเรื่องพี่อินอยู่
“ชิ! พูดมาก แล้วพี่ครามไปไหนคะ” ขยับตัวลุกขึ้นนั่งมองหน้าพี่ฟ้า
“ออกไปข้างนอกแล้วครับ” พี่ฟ้าว่าพลางยื่นแขนข้างหนึ่งมากอดรอบคอของฉันพลางขยี้หัวเล่นไปมาด้วย “ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ มันรักลิตมาก พี่เชื่อว่ามันจะเข้าใจ”
“ลิตทำร้ายคนดี ๆ ใช่มั้ยคะ” ยื่นสองแขนไปกอดตอบพี่ฟ้าเอาไว้จนแน่น
“ใครบอกล่ะ? ลิตทำตามหัวใจของตัวเองต่างหาก ถ้าไม่รัก ฝืนไปก็เท่านั้น”
“ฮือออ ลิตจะทำยังไงดี” เศร้า น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เครียดนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง
“อยู่เฉย ๆ แล้วเป็นลลิตอย่างที่เคยเป็น และที่สำคัญอย่าพาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวาย”
“ทำไมถึงห้ามไม่ให้ลิตยุ่งกับเขา ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็พยายามพาตัวเองออกไปจากชีวิตของลิต” ฉันถามพลางขยับตัวออกห่างจากอ้อมกอดของพี่ฟ้า แต่เขากลับไม่มีคำตอบให้ฉันนอกจากนั่งมองหน้าอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น จนเสียงของพี่ครามดังขึ้นมา
“เพราะลิตยังไม่รู้จักมันดีพอยังไงล่ะ” ตกใจหมด จู่ ๆ ก็พูดขึ้นมา
ฉันหันไปมองตามน้ำเสียงของพี่คราม เขาเดินเข้ามานั่งอีกข้างหนึ่งของฉันพร้อมกับมือหนาที่วางลงบนหัว ความอ่อนโยนของพี่ชายทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่น
“มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงอีกคนแล้วนะคะ” พูดพลางเบะปากใส่เขาไปด้วย
“โลกนี้มันมีอะไรที่เราคาดไม่ถึงอยู่ตั้งมากมาย ถ้าสิ่งไหนที่พวกพี่สามารถทำเพื่อปกป้องลิตได้ ก็จะทำ… แต่ถ้ามันนอกเหนือจากที่พยายามกันแล้วจริง ๆ ถึงตอนนั้นลิตก็ค่อยเรียนรู้ด้วยตัวเองแทน” ไม่สนใจคำพูดของฉันเลยจริง ๆ
“บอกเหตุผลลิตไม่ได้เหรอคะ”
“เหตุผลคือพวกพี่รักลิตและไม่อยากให้ลิตเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับไอ้เขื่อน พี่ว่าแค่นี้ก็น่าจะพอแล้วนะ” พี่ฟ้าเป็นคนพูดออกมาแทน
เฮ้อ! และสุดท้ายฉันก็คงทำได้แค่นั่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เท่านั้น เพราะพี่ชายทั้งสองคนของฉันไม่ยอมให้รับรู้อะไรเกี่ยวกับพี่เขื่อนเลย
“ก็รู้ว่ารัก แต่…”
“มันยังไม่ถึงเวลาที่ลิตต้องรู้หรอกนะ ถ้าไอ้เขื่อนมันอยากให้ลิตเข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วยจริง ๆ มันคงเดินเข้ามาเอง”
“เดี๋ยวพวกพี่ก็ไม่ให้ยุ่งอีก” ฉันว่าเสียงแผ่วเบา อยากรู้ แต่กลับไม่ได้รู้อะไรสักอย่าง
“น้อย ๆ หน่อยไอ้ตัวแสบ แล้วกับไอ้อินนี่ยังไง” พี่ครามว่าเสียงดุ แต่พอเขาตั้งคำถามเรื่องพี่อิน ฉันก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อีกครั้ง
“ก็ไม่อะไร แค่พี่น้องกัน พวกพี่ก็รู้ว่าลิตไม่ได้คิดอะไรกับพี่อินมากไปกว่าพี่ชาย” ฉันว่าพลางมองหน้าพวกเขาสองคนสลับกันไปมาทันที คิดแบบนี้จริง ๆ แต่ทำไมไม่มีใครเข้าใจ “เรื่องของอนาคตใครจะไปรู้ พวกพี่เองก็เหมือนกัน”
“เรื่องของพวกพี่ ลิตก็ไม่ต้องเข้าใจหรอกนะ” พี่ฟ้าพูดขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ฉันรับรู้ทุกอย่างมาโดยตลอดเนี่ยน่ะนะ
“พวกพี่พูดเหมือนลิตไม่รู้”
“เพราะลิตรู้ไง พวกพี่ถึงไม่อยากให้ปวดหัวน่ะ” พี่ครามว่ายิ้ม ๆ อารมณ์ดีตลอดเวลา แม้ว่าเรื่องของพวกเขามันจะเป็นไปได้ยากก็ตาม
“พวกพี่ก็รู้ว่าพ่อเธียร์ไม่ยอม”
“แล้วยังไงล่ะ? พวกพี่มีวิธีของตัวเองก็แล้วกัน เราก็แค่อยู่เป็นหน่วยสนับสนุนก็พอ” พี่ครามเสริมขึ้นมาอีกคน
“พ่อดุจะตายไป” ฉันยังไม่เคยถูกพ่อดุหรอก เพราะท่านตามใจเสมอ ยกเว้นว่าฉันจะทำผิดจริง ๆ
“เหรอครับ” คำพูดเหมือนเยาะเย้ยกันของพี่ฟ้าดังขึ้นมา “ถ้าพ่อทำอะไรลิตไปมากกว่าดุ แล้วก็ง้อด้วยเค้กอร่อย ๆ ถ้างั้นพวกพี่คงถูกกระทืบตายกันแล้วแหละ”
“พี่ฟ้าก็… พ่อก็ไม่ได้ตามใจลิตขนาดนั้น”
“กล้าพูด พ่อน่ะตามใจลิตที่สุดแล้ว ขนาดเรียนจบ พูดให้ทำงาน ลูกสาวบ่นพึมพำสองสามคำก็เลิกเซ้าซี้แล้ว” พี่ครามก็ขยันกัดฉันอีกแล้ว แต่ก็จริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ อ้อนนิด อ้อนหน่อย หาเรื่องอื่นมาชวนคุย พ่อก็ลืมหมดแล้ว
“แต่พ่อก็จะพูดวันอื่นต่อ” มองหน้าพี่ฟ้ากับพี่ครามสลับกัน
“แล้วลิตก็จะทำเหมือนเดิมต่อ”
“โห่! รู้ใจกันตลอด พอ ๆ ไม่พูดแล้วดีกว่า” เรื่องทำงาน มันยังไม่ถึงเวลา ฉันอยากตั้งใจเที่ยวหรือไม่ก็หาประสบการณ์อย่างอื่นก่อน อยากค้นหาตัวเองว่าชอบทำอะไรมากกว่ากัน ถึงตอนนั้นฉันอาจจะอยากเป็นแค่พนักงานบริษัทธรรมดาก็ได้
“คืนนี้จะกลับบ้านหรือนอนคอนโด”
“ช่วงนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่กัน ขอนอนที่คอนโดละกัน ส่วนที่บ้านอนุญาตให้พวกพี่มีเวลาส่วนตัวกันได้ โอเค”
“รู้ใจ เดี๋ยวป๋าโอนเงินให้เที่ยว” พี่ครามพูดพลางขยี้หัวฉันไปด้วย “มึงโอนนะไอ้ฟ้า”
“อ้าว! ไหงเป็นกูล่ะ”
“กูเพิ่งโอนให้ลิตไปรอบก่อน โอนอีกพ่อก็สงสัยน่ะสิ”
“เออ ๆ” สบายใจสุดก็ลลิตนี่แหละค่ะ มีพี่ชายเปย์ตลอด ถือเป็นค่าปิดปาก
พี่ฟ้ากับพี่ครามทำงานแล้วค่ะ ช่วยงานที่บริษัทนี่แหละ แต่ตำแหน่งทั่ว ๆ ไปเพราะพ่อยังไม่ยอมให้ทำตำแหน่งสูง จนกว่าจะพิสูจน์ตัวเองได้และให้คนอื่น ๆ ยอมรับแบบไม่มีข้อกังขาใด ๆ
แต่พี่ฟ้ากับพี่ครามมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง เงินลงทุนมาจากตอนไปเรียนต่อและหางานพิเศษทำกัน มันคือหลักประกันที่พวกเขาค่อย ๆ สร้างขึ้น ถ้าวันหนึ่งเกิดมีปัญหาขึ้นมาจริง ๆ จะได้มีอะไรติดตัวกันเอาไว้บ้าง นี่คือคำตอบที่พวกเขาเคยบอกฉันเอาไว้
“ใช้ให้มันน้อย ๆ หน่อยนะลิต เดี๋ยวพ่อบ่นอีก” เสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้นมาพร้อมกับยอดเงินที่ทำให้ฉันต้องยิ้ม ในความบ่นก็ยังมีความห่วงใยเพราะกลัวว่าพ่อจะดุฉัน
“พูดเหมือนลิตใช้เรื่อยเปื่อย ก็แค่กินและเที่ยว” คำสารภาพพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ๆ “หรือลิตควรลงทุนทำอะไรสักอย่างดีคะ”
“อยู่เฉย ๆ เถอะ พวกพี่ขี้เกียจปวดหัว” ความหวังของฉันพังทลายลงเพราะคำพูดของพี่คราม
“พี่คราม! ลิตใช้เงินเยอะก็บ่น อยากหาอะไรทำก็บอกให้อยู่เฉย ๆ ตกลงพวกพี่จะเอายังไงกับลิต”
“ถ้าแค่อยากลองทำแบบไม่จริงจัง พี่ว่าลิตอยู่เฉย ๆ เถอะ ลองหาประสบการณ์จากรอบด้านดูก่อน ถ้ามั่นใจแล้วจริง ๆ ถึงตอนนั้นค่อยเริ่มลงมือทำก็ไม่เสียหาย ถ้าทำแล้วเหลว ทำแล้วไปไม่รอด มันเสียเวลาครับ” ก็จริงอย่างที่พี่ฟ้าพูด เพราะฉะนั้นฉันก็ควรอยู่เฉย ๆ สินะ
“แล้ว…”
“แล้วก็เป็นเด็กดีด้วย” พี่ครามนี่ชอบขัดตลอดเลย
“ชิ!”
“พวกพี่กลับก่อนนะ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”
“ค่ะ พวกพี่ก็ด้วยนะคะ ไม่เดินออกไปส่งนะ” ฉันว่ายิ้ม ๆ มองหน้าพวกเขาสองคน พี่ฟ้ากับพี่ครามเลยพากันเดินออกไปจากห้อง พี่ชายออกไปแล้ว ฉันก็ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง ในหัวก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอีกนั่นแหละ… ตอนนี้คงต้องพยายามหาคำตอบที่ชัดเจนให้กับตัวเอง
_____________________________________
เบาได้เบา แต่ละตอนไม่ควรยาวเท่า ๆ กับของพ่อกับแม่แบบนี้ 5555555
เอสจำอายุไม่ได้ แต่ตอนนี้กำลังไล่ตรวจของพ่ออยู่ ในส่วนของอายุ ถ้าเอสจำผิดจะมาตามแก้ไขทีหลังนะคะ ต้องขออภัยสำหรับความไม่สะดวกในส่วนนี้ด้วย
สำหรับใครที่เคยอ่านของฟ้าครามมาแล้ว จะมีส่วนที่เอสต้องไปแก้ไขอีก ตอนนี้เอสซ่อนเรื่องอยู่เพราะจะเขียนเรื่องนี้ก่อน เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ในเรื่องนี้ที่มีฟ้าครามคือพวกเขากลับมาจากเรียนต่อกันแล้วนะคะ เผื่อใครงง ฮ่า ๆ เอสชอบทำให้งงเก่ง
ฝากติดตาม กดใจ คอมเมนต์ติชมแสดงความคิดเห็นได้นะคะ มีอะไรอยากแนะนำก็แจ้งได้เลย เอสพร้อมรับฟังและแก้ไข ถ้าส่วนนั้นสามารถแก้ได้จริง ๆ ขอบคุณค่ะ ^^