“เจ้าคิดว่านี่มีบทลงโทษเช่นไร อียู?”
“....!!!”
“.....!!!”
อียูนิ่งเงียบอาจเป็นเพราะตกใจที่อยู่ๆ องค์ชายก็โผล่มาตอนที่ข้ากับจียงกอดกันเสียอย่างนั้น น้ำเสียงกระแทกกระทั้นบวกกับสีหน้าราบเรียบ ทำให้อียูเผลอก้าวเท้าถอยหลัง
ซึบ!!
“....!!”
“จียง!!!”
“อะ องค์ชายยยยยยย!!!!!!”
เมื่อเห็นว่าร่างสูงของซอลมินมีท่าทีจะเข้ามาใกล้อียู จียงจึงเข้ามาขวางพร้อมกับคว้ามีดสั้นมาจากไหนก็ไม่รู้ได้ จ่อค้างไว้ที่คอของซอลมิน ทั้งอียูและขันทีชองต่างก็ตกใจจนเสียงหลง ร่างสูงยืนนิ่งแววตาไม่ได้ลดละความโกรธลงเลยแม้แต่น้อย
“หยุดนะ!!! เจ้าคนชั้นต่ำเจ้าไม่รู้หรือว่าผู้นี้คือใคร?!!”
“ข้าไม่สน ว่าเจ้าเป็นใคร หากคิดจะแตะต้องตัวน้องสาวของข้าและทำให้นางเจ็บแม้ปลายเล็บ ข้าจะฆ่าเสีย”
“นะ น้องสาววอย่างนั้นหรืออ?!!!”
ขันทีชองร้องเสียงหลงขึ้นมาอีกรอบ จียงจ้องตาซอลมินไม่ขยับราวกับว่าเขาไม่ได้พูดเล่น ซอลมินเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงยกมือขวาขึ้นเป็นสัญญาณบางอย่าง
แกร๊ก!!
ใครบางคนในชุดองครักษ์เดินออกมาจากต้นไม้ใหญ่บนเนินสูง ตรงมายังเราในมือถือคันธนูพร้อมด้วยลูกดอกเอาไว้ อียูถึงกับกลืนน้ำลายลงคอหากจียงพลั้งมือทำอะไรลงไป เขาเองก็อาจจะตายด้วยลูกดอกเช่นกัน
“จียง ข้าไม่เป็นอะไร”
“......”
อียูรีบเข้าไปดึงแขนร่างสูงของจียงออกมาให้ห่างจากองค์ชายซอลมิน
“กล้าดียังไง จ่อปลายมีดเข้าหาคนที่เจ้าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแตะปลายเกศา!!”
“.....”
ขันทีชองตะวาดเสียงใส่ด้วยความโกรธยกใหญ่ จียงยังคงนิ่งเงียบโดยมีอียูดึงแขนเอาไว้ ข้าจะทำอย่างไรต่อไปดี ในขณะเดียวกัน ซอลมินเอาแต่จ้องมองมือเล็กที่คอยเกาะกุมแขนของชายที่เพิ่งจะบอกว่าอียูเป็นน้องสาวอย่างนึกอิจฉา
“เรื่องที่เจ้าทำในวันนี้ บทลงโทษที่มีเมตตาที่สุดคือตัดหัวเจ้ารู้หรือไม่!!!!”
“.....”
“รีบก้มหัวขออภัยโทษเดี๋ยวนี้!”
พรึบ!!!
“...!!!”
สิ้นสุดเสียงของขันทีชอง กลับเป็นอียูเองที่คุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์องค์ชายท่ามกลางสายตาของทั้งสองฝั่ง จียงเมื่อเห็นอย่างนั้นจึงทำได้เพียงส่ายหัวแล้วหันมองไปทางอื่นแทน
“ทรงอภัยให้จียงด้วยเถอะเพคะ!”
พรึบ!!
ร่างสูงของจียงคุกเข่าลงข้างกับอียู นางหันไปมองจียงและเห็นว่าเขากำลังก้มหัวจรดพื้นไปทางองค์ชาย
“กระหม่อมขออภัยองค์ชาย”
“องค์ชายพะยะคะ จะทรงลงโทษชายผู้นี้อย่าง...!!”
“อะ ฮึ่ม!! เงยหน้าขึ้น”
“...??!”
ซอลมินกระแอมเสียงดังขัดขันทีชอง จียงเมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงเงยหน้าขึ้นตามที่ซอลมินบอก
“เจ้า เป็นอะไรกับคังอียูอย่างนั้นหรือ?”
“องค์ชาย!!”
ทุกคนรวมไปถึงอียูหรือแม้กระทั่งองครักษ์แทซันเองก็ยังมององค์ชายด้วยความแปลกใจ นอกจากจะไม่ทรงพูดถึงเรื่องร้ายแรงเมื่อครู่ แต่กลับถามถึงความสัมพันธ์ระหว่าอียูกับจียง
“แม้จะไม่ได้เป็นพี่ชายแท้ๆของอียู แต่กระหม่อมก็รักนางไม่ต่างจากน้องสาวพะยะค่ะ”
“เจ้า มิได้รักชายผู้นี้หรอกหรือ?”
“......!”
ซอลมินหันหลับมายิงคำถามใส่อียูด้วยใบหน้าเย่อหยิ่งเอามือทั้งสองข้างไขว้หลัง อียูมองท่าทีขององค์ชายก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อย่างน้อยเขาก็ไม่ถือสาในเรื่องที่จียงทำ
พรึบ
อียูลุกขึ้นยืนพร้อมกับฉุดให้จียงลุกขึ้นยืนด้วยอีกคน องค์ชายมองทั้งสองด้วยความไม่เข้าใจ อียูไม่แม้แต่จะตอบคำถามแต่กลับสนใจคนอื่นเสียอย่างนั้น
“วันนี้เป็นวันที่ดีนะเพคะ เป็นวันที่หม่อมฉันกลับมาเจอครอบครัวในรอบหลายเดือนที่ไม่ได้เจอกัน”
“.....!”
“องค์ชายจะทรงยกโทษให้แก่คนในครอบครัวของหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ เพราะเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าฝ่าบาทเป็นใคร จียงทำไปเพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องปกป้องหม่อมฉัน”
“เป็นเพราะเจ้า...!!”
“ทรงหึงหม่อมฉันหรือเพคะ?”
“อุ๊ปป!!!!”
ขันทีชองถึงกับกลั้นขำเมื่อเห็นว่าองค์ชายของตนมาถึงทางตันต่อหน้าข้าทาสบริวารเสียแล้ว แทซันเองยังต้องหันหน้าไปทางอื่นพรางยกมือขึ้นบดบังใบหน้าของตนอย่างไม่ตั้งใจ
“โอหังนัก!!!”
“ขออภัยเพคะ ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนั้น”
“ข้า..!!!!”
“หม่อมฉันรักจียงเพคะ”
“...!!!!!!”
“....!!!!!!!”
ทั้งจียงและซอลมินต่างก็หันขวับไปมองอียูด้วยใบหน้าตกตะลึง ไม่คิดว่านั่นจะเป็นคำตอบที่อียูจะพูดออกมาตรงขนาดนั้น
“หม่อมฉันรักจียงดังพี่ชายคนนึงในครอบครัว หากจะลงโทษด้วยการตัดหัว ก็ทรงทำเช่นนั้นกับหม่อมฉันด้วยเพคะ”
ซอลมินหันกลับมาตาเขียวใส่ขันทีชอง ขันทีชองเองเมื่อเห็นสีหน้าตำหนิขององค์ชายจึงทำได้เพียงยิ้มอย่างสำนึกผิดกลับไป
“หากเจ้ายืนยันอย่างนั้น”
“.....”
“ข้า.......”
“องค์ชาย.....”
ขันทีชองชะโงกหน้าออกมาหาองค์ชายพร้อมน้ำเสียงยืดยานอย่างจับผิด เพราะกำลังเข้าใจว่าองค์ชายคนเก่าของเขาจะต้องไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น มันผู้นั้นจะต้องเข้าไปอยู่ในคุกรอการตัดสินวันประหารเท่านั้น แต่นี่อะไรกันเกิดอะไรกับองค์ชายของเขากันแน่เหตุใดจึงลังเลกับเหตุการณ์ที่อภัยไม่ได้เช่นนี้
“ข้าจะถือว่านี่คือการกระทำที่ผิดต่อองค์รัชทายาท ครั้งแรก ด้วยความเมตตา ข้าจะไม่เอาความ”
“ฮะ?!!”
ขันทีชองถึงขั้นยกมือขึ้นทาบอกไม่เชื่อสิ่งที่ตนได้ยิน
“มันไม่มีนะพะยะค่ะ การทำผิดครั้งแรกครั้งทีสองหรือครั้งที่สาม กระหม่อมไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนั้น!!”
“เจ้าจะรู้ดีไปกว่าข้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าบอกว่ามี ก็ต้องมี”
“องค์ชาย!!!!!”
อียูและจียงต่างก็ยืนงงในท่าทีลุกลี้ลุกลนของทั้งสองคนจนเรียกได้ว่าเราทุกคนกำลังจ้องมองเด็กสองคนกำลังเถียงกันอยู่อย่างไรอย่างนั้น อีกหนึ่งคนที่มองมายังองค์ชายด้วยความสงสัยว่านี่หรือคือคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดีจริงหรือ จริงๆแล้วเขาอาจจะพลาดเรื่องอะไรไปในระหว่างการเดินทาง
“เสด็จกลับเถอะเพคะ”
“เจ้าไล่ข้าเป็นครั้งที่สองของวันนี้แล้วนะ”
“...!!”
อียูที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมากระซิบ ซอลมินมองร่างเล็กด้วยสายตาตำหนิ ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก อียูก้มหน้าลงต่ำทำหน้าไม่ถูกเพราะไม่ได้คิดเอาไว้ว่ารอยยิ้มที่ไม่มีปลี่ไม่มีขลุ่ยจะผุดขึ้นกระทันหันเช่นนี้
ภายใต้ชายคาบ้านตระกูล คัง องค์ชายซอลมินนั่งอยู่บนเบาะประจำของท่านพ่อส่วนเสนาบดีคังต้องมานั่งอีกฝั่งเนื่องด้วยยศศักดิ์ที่แตกต่าง ขันทีชองและคนอื่นๆ นั่งห่างออกไปพอสมควร
“กระหม่อมไม่คิดว่าองค์ชายจะเสด็จมา เลยไม่ได้เตรียมตัวต้อนรับ”
“ข้าผ่านมาแถวนี้พอดี จึงได้แวะเข้ามา ท่านเสนาบดีคัง อย่าได้ลำบากเลย”
“ขอบพระทัยองค์ชาย”
ท่านพ่อก้มหัวให้แก่องค์ชายเป็นการเคารพ ซอลมินหันมองใบหน้าขาวใสของร่างเล็กที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้ายิ้มๆ นั่นทำให้เสนาบดีคังใจชื้นขึ้นเป็นกองว่ายังไงเสียตำแหน่งพระชายานั้นจะเป็นใครไปได้นอกจากลูกสาวของเขา
เมื่อความมืดเข้าปรกคลุม ขันทีชองรวมถึงลูกบ้านคนอื่นๆ ต่างก็กำลังสนุกสนานกับงานเลี้ยงภานในบ้านอาหารมากหน้าหลายตารวมทั้งเครื่องดื่มของมึนเมาที่นายท่านคังสั่งให้จัดสรรมาเพื่อองค์ชายโดยเฉพาะ
“ไม่เสวยอะไรเลยหรือเพคะ?”
“.....!”
เมื่อเห็นว่าองค์ชายซอลมินไม่แตะอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว เขาเอาแต่จ้องมองคนอื่นร้องเล่นเต้นรำตามประสาคนเมาด้านนอกหนึ่งในนั้นคือขันทีชอง อียูหันมาถามด้วยใบหน้าสงสัย เมื่อเห็นว่าร่างเล็กมองตนด้วยสีหน้าจับผิดมือเรียวจึงเอื้อมหยิบตะเกียบค้างเอาไว้
“ข้ากินไม่ได้”
“หืม?!!”
อียูเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อซอลมินบอกกับนางเช่นนั้น
“ข้าจะกินได้ก็ต่อเมื่อผ่านการชิมจากนางในหรือขันทีเพื่อทดสอบว่าในอาหารมีพิษหรือไม่”
“......”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น อียูจึงหันไปมองขันทีชองที่กำลังสนุกสนานเมามายอยู่ด้านแล้วถอนหายใจ
กึก!
“เจ้าจะทำอะไร?!”
มือเรียวหยิบตะเกียบขึ้นทำก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ถาดอาการขององค์ชายซอลมิน
“ทดสอบแทนให้ยังไงหละเพคะ แค่ลองชิมใช่ไหม?”
หมับ!
อียูเตรียมจิ้มตะเกียบลงในอาหารขององค์ชายแต่มือหนาคว้ามือเล็กเอาไว้ ด้วยสีหน้าดุๆ หากในอาหารของเขามียาพิษจริงอียูอาจตายได้นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
“ไม่จำเป็น นี่ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้า”
“จำเป็นสิเพคะ ในเมื่ออาหารพวกนี้คนของหม่อมฉันเป็นคนทำ หม่อมฉันจำเป็นที่จะพิสูจน์ว่าในอาหารปลอดภัย”
“.....อืม!”
ซอลมินยอมให้อียูทำตามใจปล่อยมือของคนตัวเล็กให้เป็นอิสระ แล้วมองดูอียูคีบนู่นนิดนี่หน่อยเข้าปาก ซอลมินยิ้มเล็กๆ มองหญิงสาวที่สนใจแต่เพียงอาหารตรงหน้าโดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังถูกแทซันแอบมองพฤติกรรมของเขาอยู่เช่นกัน
“เหตุใดจึงเสด็จมาที่นี่หรือเพคะ?”
“.....”
ท่ามกลางความมืดที่ถูกแต่งแต้มด้วยแสงตะเกียงตามทางเดินในสวน ซอลมินและอียูเดินเคียงไปยังศาลาเล็กๆ ที่อียูชอบมานั่งเล่นอยู่บ่อยๆ ครั้งเมื่อยังอยู่ที่บ้าน
“ข้ามีธุระ เห็นว่าเป็นทางผ่าน..!”
“ในป่าที่มีเพียงข้าและจียงไว้ใช้ฝึกยิงธนู เป็นทางผ่านงั้นหรือเพคะ?”
“ว่าแต่ เจ้าเข้าไปในป่ากับผู้ชายสองคนได้อย่างไรกัน?”
“ทำไมจะไม่ได้เล่า ในเมื่อหม่อมฉันไม่ได้เพิ่งรู้จักกับจียงเมื่อสองวันก่อนนะเพคะ”
“......”
“.....!”
คำพูดของอียูทำเอาร่างสูงหยุดเดินแล้วหันขวับไปมองร่างเล็ก คิ้วเข้มทั้งสองข้างขมวดเป็นปมอย่างนึกอิจฉา ทุกครั้งที่ปากเล็กๆ นั่นเอ่ยชื่อคนอื่นเช่นนั้น
“หากเจ้าเอ่ยชื่อนั้นอีกครั้ง ข้าจะหักคอเจ้าเสีย”
“..........ฮะ?”
องค์ชายยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้อียูด้วยสายตาคาดโทษพร้อมกับยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอียูนิ่งอึ้งไปชั่วขณะอาจเป็นเพราะมนต์สะกดหรืออะไรบางอย่างทำให้หัวใจของอียูเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้
ซอลมินกลับมายืนตัวตรงเอามือสองข้างไขว้หลังแล้วเดินไปที่ศาลาโดยไม่รอคนตัวเล็กที่กำลังแอบเก็บทุกรายละเอียดจากรอยยิ้มบองเขาเอาไว้ ทำอย่างไรดี ข้าอยากจะเห็นเขายิ้มแบบนั้นตลอดไป
“ข้าได้ยินว่าเจ้า เข้าเฝ้าเสด็จแม่อย่างนั้นหรือ?”
“เพคะ...”
อียูเงียบลงพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าจางลงในทันที ซอลมินเมื่อเห็นดังนั้นจึงพอจะเดาได้ไม่ยากนักว่าเสด็จแม่คิดจะทำอะไร
“เสด็จแม่ทรงทำอะไรให้เจ้าไม่สบายใจอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่เลยเพคะ พระมเหสีทรงมีเมตตาอนุญาตให้หม่อมฉันออกจากวังเพื่อกลับมาบ้าน แบบนี้จะเรียกไม่สบายใจได้อย่างไร”
“...อย่างนั้นหรือ”
โกหกได้ไม่แนบเนียนนัก นางตอบคำถามด้วยการมองนู่นมองนี่ แต่กลับไม่มองหน้าข้าแม้แต่นิด ถึงอย่างไรเสด็จแม่ก็คือเสด็จแม่ ข้าไม่อยากรู้หรอกว่าท่านจะตรัสอะไรกับอียู แต่ที่ข้าอยากรู้คือนางรู้สึกอย่างไรกับที่เสด็จแม่ทรงตรัส
“ในชีวิตนี้ ข้าไม่เคยต้องร้องขออะไรจากใคร หรือจากการลอยดอกไม้ลงในแม่น้ำ ไม่เคยขอพรใดๆ จากฝนดาวตก เพราะข้ามีทุกอย่างอยู่แล้ว”
“......!”
ห่ามกลางแสงจากดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง ใบหน้าชายหนุ่มมองขึ้นไปบนท้องฟ้าไม่ต่างจากหญิงสาว
“แต่วันนี้ข้าอยากจะขอบางอย่างจากเจ้า”
“......?”
ซอลมินหันมามองร่างเล็กข้างๆ เมื่อได้ยินอย่างนั้นอียูจึงละสายตาจากท้องฟาหันมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังขององค์ชายซอลมินที่ส่งมา ทำเอาใบหน้าขาวใสร้องผ่าวขึ้นมาราวกับมีใครกำลังต้มน้ำร้อนอยู่ข้างๆ
“มันเป็นสิ่งเดียวที่ข้าไม่มี และจะไม่มีวันมีหากสิ่งที่ข้าขอถูกปฏิเสธ”
“......”
“อภัยให้ข้า ที่ไม่อาจปล่อยเจ้าไปแม้ในใจเจ้าจะไม่มีข้าอยู่เลยก็ตาม”
เสียงโวยวายจากการเมามายที่ลานหน้าบ้านเงียบสงบลงราวกับไม่เคยมีเสียงอะไรเกิดขึ้นดวงตากลมโตจ้องไปยังใบหน้าของซอลมินอย่างตื่นเต้น
“เจ้าจะเป็นพระชายาของข้าได้หรือไม่ คังอียู?”
“.....!!!!!!!”
สายตาอ่อนโยนที่เฝ้ารอคำตอบจากคนตัวเล็กยังคงลอยเด่นท่ามกลางความมืด ทุกอย่างราวกับเป็นภาพเบลอๆ นี่มันอะไรกันสิ่งที่ข้าไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น นี่ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ๆๆ ข้ากำลังฝันอยู่เป็นแน่ หากนี่เป็นเพียงความฝัน ข้าอยากจะทดสอบบางสิ่ง
หมับ!!
“ข้าไม่ได้ฝันอยู่ใช่หรือไม่?”
“...!!!”
มือเล็กเอื้อมขึ้นไปสัมผัสใบหน้าขาวเนียนของซอลมินพร้อมกับขย้ำแก้มนิ่ม จนร่างสูงทนไม่ไหวรวบมือซุกซนไว้ทั้งสองข้างก่อนจะสอดมือโอบล้อมร่างเล็กจากด้านหลังดึงเข้าหาตนในทันที!
อียูตื่นจากผวังด้วยใบหน้าชวนสงสัย ซอลมินเห็นอย่างนั้นจึงค่อยๆ เลื่อนใบหน้าลงประกบปากจุมพิตอียูด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแต่กลับรู้สึกได้ถึงความอ่อนโอนและนุ่มนวลกว่าครั้งแรกที่สัมผัส ซอลมินแทบจะกลืนกินวิญญาณของอียูไปเสียอย่างนั้น ร่างเล็กอ่อนปวกเปียกราวกับขี้ผึ้งรนเทียน สองแขนแข็งแรงโอบประคองแผ่นหลังเพราะกลัวว่าร่างเล็กจะฟุบลงกลางอากาศ แต่ถึงอย่างนั้นซอลมินก็บรรจงจูบตามใจตนจนสติของอียูแทบจะหลุดออกจากร่าง
ร่างเล็กค่อยอ่อนลงจนแทบไม่ได้ได้ทรงตัวด้วยขาของตนเอง ซอลมินถอนจูบอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าอียูไม่ตอบโต้อะไรเขาเลย
“อียู!!”
“.......”
“คังอียู!!!!”
กว่าที่ซอลมินจะสาสมแก่ใจ คนตัวเล็กก็ไร้สติคาอ้อมแขนแข็งแรงของเขาไปเสียแล้ว......