ภายในตำหนัก ช่างดูไร้ความมีชีวิตชีวาไม่เหมือนอย่างเคย ไร้ซึ่งเสียงหัวเราะขาดแคลนรอยยิ้มมาร่วมสองอาทิตย์แล้ว จีมินและจีซูต่างก็กำลังจัดเตรียมสำรับอาหารด้วยความเงียบ
“ข้าสงสารคุณหนูของเราเหลือเกินจีซู”
“อืม ข้าคิดถึงคุณหนูคนเดิม เจ้ารู้หรือไม่ข้าจะอกแตกตายอยู่แล้ววว ฮือออๆๆๆ”
ทั้งสองต่างก็น้ำตาแตกกอดกันกลม ในขณะที่อียูยังคงแช่นตัวอยู่ในอ่างน้ำ ในยามที่หลับตาพริ้มภาพในวันที่เจอกับองค์ชายยังคงคอยหลอกหลอนอยู่นลอดเวลา มันหนักหนาจนอียูก็ไม่ได้ออกไปไหนเว้นแต่จะมีรับสั่งจากพระมเหสีให้ไปเรียน (เรียนเกี่ยวกับมารยาทในวัง การวางตัว กฎระเบียบ ฯลฯ) เวลาผ่านไปเพียงแค่สองสัปดาห์ แต่ทำไมใจข้ารู้สึกอยู่มานานกว่าร้อยปี
“อิ่มแล้วหรือเจ้าคะ?!”
“อืม”
อียูวางช้อนลงเบามือ ลุกขึ้นเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะหนังสือยกมือข้างหนึ่งมาเท้าคางพรางมองออกไปนอกหน้าต่าง
“แต่ คุณหนูกินไปแค่คำดะ....!!”
“....”
เมื่อเห็นว่าคุณหนูไม่ได้สนใจที่จีมินพูดกลับนั่งเหม่อลอยออกไปไกลเสียแล้ว จีซูจึงได้แต่ทำหน้าที่ยกมือขึ้นห้ามเพื่อนไว้ให้หยุดเพียงแค่นั้น ทั้งสองพอจะรู้อะไรมาผ่านข่าวสารซุบซิบนินทาจากนางในในวังมาบ้างพอสมควร เรืองมันจบไม่สวยอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ แต่ไม่คิดว่าจะรู้โดยบังเอิญขนาดนั้น คุณหนูคงจะตกใจน่าดู
“พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียว”
“เจ้าค่ะ”
ทั้งสองรับคำด้วยท่าทีเหงาหงอยก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากตำหนักไป
“จีซู!!! ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว!!!”
“แล้วจะทำยังไงล่า ข้าก็ทนไม่ไหวเหมือนกันนั่นแหละ!!”
ทั้งคู่ต่างก็งอแงเป็นเด็กอยู่หน้าตำหนักอียู เพราะอดทนเห็นคุณหนูเป็นแบบนี้ไม่ไหวแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“ไปกันจีซู”
“ไปไหนของเจ้าจีมิน”
“ไปทำให้เรื่องมันจบ วันนี้ข้าอยากจะปลดปล่อยเสียเหลือเกิน!!”
พระตำหนักองค์ชาย.
“องค์ชายพะยะค่ะ”
“....”
“อ่า..”
“ใกล้ถึงเวลาแล้วพะยะค่ะ”
ซอลมินกระพริบตาถี่ๆ แล้วเงยหน้าจากการอ่านบันทึกราชการต่างๆ มองไปทางขันทีชองที่ยืนสงบนิ่งอยู่ที่ประตู เวลาที่ว่าคือการนัดหมายเพียงฝ่ายเดียวของคุณหนู คิมดาจอง ดูเหมือนนางค่อนข้างจะเอาแต่ใจเลยทีเดียว ยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้พบกับซอลมินไม่ว่าจะผ่านทางขันที หรือแม้บางทีก็มีเข้าหาพระมเหสีบ้าง
“อืม”
ซอลมินถอนหายใจเบื่อหน่ายก่อนจะยันตัวเองลุกขึ้นยืนอยางช้าๆ
เมื่อองค์ชายทรงเดินออกจากประตูผ่านขบวนนางในและขันที ทุกคนต้องมีอันขนลุกเกรียวอย่างไม่ทันตั้งตัว บรรยากาศรอบตัวขององค์ชายนั้นคล้ายกับว่าพร้อมจะแช่เข็งใครก็ตามที่ทรงทำให้ไม่พอพระทัย
“มาแล้วหรือเพคะ!!”
“...”
เมื่อเดินมาถึงบริเวรตัวศาลา คุณหนูดาจองที่จัดแจงปูพื้นด้วยผ้าฟูกพร้อมสำรับอาหารหวานก็ลุกขึ้นก้มหัวให้แก่องค์ชายอย่างนอบน้อม ซอลมินยังคงนิ่งเงียบจนดาจองต้องเป็นฝ่ายถือวิสาสะใช้มือเล็กของตนสอดคล้องไปยังแขนแข็งแรงให้เดินตามนางไปที่ราวระเบียงราวกับสนิทสนม
“หม่อมฉันเห็นพระอาการของเสด็จพี่ทรงไม่ดีขึ้นเลยนะเพคะ หม่อมฉันเพียงต้องการให้เสด็จพี่ผ่อนคลาย”
“.......”
“หรืออย่างน้อยก็ทรงระบาย หม่อมฉันเจ็บปวดเพคะ ที่ได้เห็นเสด็จพี่เป็นเช่นนี้”
“ข้าระบายกับเจ้าได้ จริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
พูดพรางหลี่ตาลงอย่างสงสัย
“....ได้สิเพคะ!”
เมื่อเห็นว่าองค์ชายเริ่มที่จะพูดกับตน ใบหน้าขาวใสจึงเผยรอยยิ้มอย่างดีอกดีใจเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงในทันที
“หากทำให้ทรงสบายใจ หม่อมฉันทำได้ทุกอย่าง”
“แม้ว่าเจ้าจะพยายามมากแค่ไหน ก็จะคว้าได้เพียงอากาศ รู้อย่างนั้นเจ้ายังจะยินยอมใช่ไหม?”
“......!!!”
หญิงสาวถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อได้ยินประโยคที่ไร้เยื่อใย ตนเพียงต้องการให้องค์ชายทรงกลับมายิ้มบ้าง แม้จะไม่ได้ยิ้มให้เห็นบ่อยก็ตาม แต่พอได้เห็นว่าตอนนี้องค์ชายทรงดูเศร้าและเย็นชาลงยิ่งกว่าครั้งแรกที่เจอกันเป็นไหนๆ มันทำให้นางไม่สบายใจเช่นกัน
“แน่นอนสิเพคะ”
“.....!”
ดาจองยิ้มออกไปทั้งๆ ที่ความรู้สึกแหลกสลายเป็นชิ้นๆ ซอลมินได้ยินอย่างนั้นจึงหันกลับไปมองใบหน้าเล็ก ข้าพูดออกไปถึงขนาดนี้ ยังยิ้มได้อยู่อีก เพราะอะไรกัน? เพราะข้าเป็นองค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ?
“แม้ว่าหม่อมฉันจะไม่ได้เป็นพระชายาก็ไม่สำคัญอะไร เพราะหม่อมฉันได้ถวายชีวิตให้แก่เสด็จพี่ไปแล้ว จะทรงย่ำยีสักเพียงใด มันก็ยังคงเป็นของของท่าน”
“......”
“หม่อมฉันยินดี หากทำให้เสด็จพี่ทรงกลับมาเป็นองค์ชายคนเดิมอีกครั้ง”
“หึ..!”
“...!!”
อยู่ๆ ใบหน้าเรียบนิ่งตั้งแต่ต้นก็กระตุกยิ้มมุมปากขึ้น เพราะถูกใจในคำพูดและความเด็ดเดี่ยวของผู้หญิงตรงหน้านัก ไม่มีใครในโลกนี้ ที่พยายามทำอะไรโดยที่ไม่หวังผล และนี่คือการพูดโดยไม่คิด ข้าอยากรู้นักว่าจริงๆ แล้ว คำพูดนั้นจะหนักแน่นแค่ไหนกัน
“เสด็จพี่ทรงยิ้มด้วยเหตุผลใดเพคะ?”
“.....”
ซอลมินไม่ได้ตอบคำถามแต่กลับยกแขนของตนออกจากการจับกุมของนางแล้วหมุนตัวกลับมานั่งลงบนผ้า ดาจองเห็นอย่างนั้นจึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามบ้าง
“นี่เพคะ ขนมหวานที่เสด็จพี่ทรงโปรด”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ดาจองยิ้มสดใสพรางยกจานที่เต็มไปด้วยขนมยืนไปทางคนตัวสูง ซอลมินไม่ได้ปฏิเสธนาง เขาหยิบออกมาถือไว้พรางมองอย่างสำรวจ
“ข้า.....มีบางอย่างอยากถาม”
“อะไรหรือเพคะ?”
มือเรียววางขนมชิ้นนั้นกลับลงจานตามเดิมก่อนจะหันหน้ามามองดาจองด้วยท่าทางจริงจัง
“เจ้าเคยรักใครหรือไม่?”
“ฮ่าๆๆ!! ทรงถามอะไรเช่นนั้นเพคะ?!”
“....!”
ดาจองยกมือขึ้นปิดปากพรางทำท่าเขินอาย องค์ชายทรงถามตรงๆ แบบนั้น ร่างเล็กถึงกับบิดไปมาอย่าควบคุมไม่อยู่
“มีสิเพคะ......ก็คนผู้นั้นนั่งอยู่ต่อหน้าหม่อมฉันแล้ว”
“แต่ข้ารักหญิงอื่น”
“....!”
นางหุบยิ้มลงเปลี่ยนสีหน้าไปในทันที ไม่ว่าจะหว่านล้อมด้วยวิธีไหน องค์ชายก็ยังคงเป็นองค์ชาย ข้อนี้ข้าไม่เถียงอะไรเลย
“ทรงถามได้ทุกเรื่องเพคะ ปรึกษาราวกับหม่อมฉันเป็นเพื่อนคู่คิดส่วนตัวของเสด็จพี่ก็ย่อมได้”
“......”
ดาจองฉีกยิ้มกว้างจนถึงใบหูพร้อมแล้วกับการเป็นผู้ให้คำปรึกษาในเรื่องรวามรักที่องค์ชายมีต่อหญิงอื่น ข้าจะให้คำแนะนำและข้อคิดในแง่ของความรักอย่างชาญฉลาด แต่จะต้องดูไม่ฉลาดเกินกว่าองค์ชาย เพราะไม่อย่างนั้น ข้าจะดูโอหังมากเกินไป อาจทำให้องค์ชายไม่พอพระทัยได้
แหมะ!
น้ำตาหลดเล็กๆ ร่วงลงกระโปรงทั้งที่ยังคงยิ้ม ซอลมินเห็นอย่างนั้นจึงถอนหายใจทิ้ง เป็นหญิงที่ไม่หนักแน่นต่อคำพูดของตนจริงๆ องค์ชายส่ายหัวไปมาก่อนจะยกนิ้วเรียวขึ้นเช็ดน้ำตาให้แก่ดาจองอย่างเบามือ
หญิงสาวสะดุ้งด้วยความตกใจเล็กน้อย พรางเบิกตากว้างเพราะไม่เคยคิดเลยว่าองค์ชายจะทรงอ่อนโยนกับตนถึงเพียงนี้ ดวงตากลมโตจดจ้องใบหน้าของคนตัวสูงราวกับกำลังเพ้อฝัน
“หากทำอย่างที่พูดไม่ได้ เจ้าก็ไม่ควรพูดออกไปเพื่อให้คนอื่นเข้าใจเจ้าแบบผิดๆ”
“เสด็จพี่?”
“หืม?”
ดาจองเอื้อมมือขึ้นจับมือหนาขององค์ชายไว้พร้อมกับดึงมาแนบไว้ที่แก้มของตน
“หญิงที่เสด็จพี่ทรงรัก.......เป็นหม่อมฉันอีกสักคนไม่ได้เลยหรือเพคะ?”
“......!”
ซอลมินดึงมือของตนออกจากแก้มใสอย่างเบามือ ดาจองยอมปล่อยมือหนาให้เป็นอิสระ ทั้งสองมองหน้ากันต่างความรู้สึก
“ไม่ต้องตอบอะไรหม่อมฉันหรอกเพคะ”
“.......”
“หากหม่อมฉันเดา”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเดา”
“หนึ่งในสองคนนั้น ใช่หรือไม่เพคะ?”
“......”
“หม่อมฉันชักอิจฉาคนๆ นั้นเสียแล้วสิ”
ดาจองยิ้มบางๆ ให้แก่องค์ชายพรางก้มหน้าอย่างเหงาหงอย ข้าไม่ดีตรงไหนกัน เสด็จพี่ถึงไม่สนใจข้าบ้าง แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ยังจะรักเขาอยู่ดี.....
“จีมิน!!” จีซู!!?”
ร่างเล็กในฮันบกสีฟ้าสดใส กำลังเดินอยู่บนระเบียงทางเดินเชื่อมระหว่างตำหนัก เพราะตั้งแต่ที่ตนบอกให้ทั้งสองคนไปที่อื่น ป่านนี้ก็ยังไม่กลับมา ตนจึงเริ่มรู้สึกผิดที่ไม่ได้สนใจอะไรเลย
สองคนนั้นไปอยู่ไหนกันนะ ทำไมทิ้งข้าไปนานจังเลย อียูหันมองซ้ายขวาตลอดทางเดินพรางตะโกนเรียกชื่อทั้งสอคนไปด้วย
“อ๊ะ เดี๋ยวพวกเจ้าหยุดก่อน!!”
“...!!”
เมื่อเห็นว่ามีนางในสองคนกำลังเดินอยู่ไม่ไกลนัก อียูจึงตะโกนเรียกไว้พร้อมกับวิ่งเข้าไปหา นางในทั้งสองเมื่อเห็นอย่างนั้นจึงก้มหน้าก้มตาสงบเสงี่ยม
“พวกเจ้า เห็นนางในที่ชื่อ จีมิน กับจีซูบ้างหรือไม่?!”
“อืม....อ๋อ เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ข้าเห็นทั้งสองคนกับทหารอีกจำนวลหนึ่งไปที่พระตำหนักในเจ้าค่ะ”
“ฮะ!!!!!!”
“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?!!!!”
“เอ่อออ เปล่าหรอก ขอบใจเจ้าทั้งสองคนมาก”
อียูอุทานด้วยความตกใจ เพราะพระตำหนักในก็คือ ตำหนักขององค์รัชทายาทหนะสิ เจ้าสองคนนั้นคิดจะทำอะไรลับหลังข้าอีกแล้วอย่างนั้นหรอ?!! นึกแล้วสองขาเล็กจึงก้าวฉับๆ เพื่อตรงไปยังพระตำหนักในในทันที
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย หากเป็นเพราะข้าพูดจาไม่ดีกับองค์ชายในวันนั้น ทำให้ทั้งสองคนถูกลงโทษ ข้าต้องรู้สึกผิดไปจนวันตายแน่เลย
ปึง!!!!
“อะ องค์ชายย!!!!!”
“เสียงดังอะไรของเจ้าขันทีชอง?”
ขันทีชองเปิดประตูเข้ามาในห้องด้วยความกระวนกระวาย พรางพูดจาติดๆ ขัดๆ จนซอลมินที่กำลังเขียนบันทึกอยู่ต้องตะวาดเสียงใส่
“คะ คือว่า!! คุณหนู!!.”
“หม่อมฉันขอเข้าเฝ้าเพคะ!”
“.......!!!”
มือหนาต้องมีอันหยุดชะงักลงทันที ขันทีชองเมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงก้มหน้าเดินเลี่ยงอียูออกจาห้องไปพร้อมกับปิดประตูลงอย่างรู้ทัน
ซอนมินค่อยๆยันตัวลุกขึ้นยืนมองไปยังร่างเล็ก ใบหน้าเล็กนั้นบงบอกได้ถึงความฉุนเชียวในระดับหนึ่ง แต่ซอลมินกลับรู้สึกดีใจและโหยหาอยู่ในใจอย่างน่าแปลก
“นางในของหม่อมฉันอยู่ที่ไหน?”
“......”
“......”
“.........ฮะ!!”
นางทำท่าน่ากลัวตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง แต่คำแรกที่พูดออกมากลับถามหาถึงคนอื่น ซอลมินทำหน้างงขมวดคิ้วเป็นปมอย่างไม่เข้าใจ
“นางใน ของหม่อมฉัน อยู่ที่นี่หรือไม่เพคะ??!!”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร? ข้าไม่เคยจำ!!....”
พรึบ!!!
ร่างเล็กกำมือทั้งสองข้างแน่นก่อนจะทิ้งตัวลงในท่าคุกเข่าทั้งสองข้างพร้อมกับก้มหน้าลงพื้น ซอลมินเองมีท่าทีตกใจแต่ต้องทำนิ่ง เพราะตนอยู่ในฐานะองค์รัชทายาท มิใช่องครักษ์เหมือนอย่างที่ผ่านมา
“หากจงเกลียดจงชังหม่อมฉัน ก็ทรงลงโทษหม่อมฉันเถอะเพคะ นางทั้งสองไม่ได้รู้เห็นอะไร”
“ข้า....ไม่ได้ทำอะไรสองคนนั้นอย่างที่เจ้าเข้าใจ!!”
“หม่อมฉันขอร้ององค์ชายทรงปล่อยนางในทั้งสองเถอะเพคะ หม่อมฉันขอรับการลงโทษเองแต่เพียงผู้เดียว”
“........!!!”
อียูก้มหน้าเพื่อขอประทานอภัยแก่องค์ชาย ด้วยใจที่ร้อนรน เพราะนอกจากจีมินกับจีซูแล้ว ในวังนี้ก็ไม่มีใครที่ดีกับข้าอีกแล้ว ข้าคงเสียใจไปตลอดถ้าทั้งสองคนเป็นอะไรขึ้นมาเพราะข้า
ซอลมินเห็นท่าทางจริงจังของอียูแบบนั้นจึงอดที่จะหมุนตัวหันหลังแอบยิ้มอยู่คนเดียว แม้ว่าเรื่องนี้เขาจะไม่รู้อะไรเลย แต่นี่อาจเป็นหนทางที่เขาจะใช้กำราบแม่หมูป่าจอมโหหังให้อยู่หมัดเสีย
“อะ ฮึ่มม!! ขันทีชอง”
“พะยะค่ะองค์ชาย!!”
แอดดดด!!
เปิดตูบานใหญ่ถูกเปิดออก ขันทีชองมีท่าทีผงะตกใจเพราะเห็นคุณหนูอียูก้มอยู่ที่พื้นนิ่งไม่กระดุกกระดิก เมื่อหันไปหาองค์ ชายร่างสูงทำท่ากวักมือให้เขาเข้าไปหาด้วยพระองค์ทำสีหน้าท่าทางขยุกขยิกอย่างมีพิรุธ
“มีเรื่องอะไรหรือพะยะค่ะ?”
“ตามหานางในติดตามของคังอียู มาพบข้าให้ไวที่สุด หลังจากที่อียูกลับออกไป ห้ามให้พวกนางเจอกัน ไม่งั้น ข้าจะ...”กระซิบ~~~
“พอแค่นี้เถอะพะยะค่ะ หม่อมฉันจะมิให้องค์ชายต้องผิดหวัง”กระซิบ~~~~
“อะ ฮึ่มม....ฝากเจ้าดูแลนางทั้งสองเป็นอย่างดี รอการตัดสินจากข้า”
“พะยะค่ะองค์ชาย!”
ขันทีชองรับคำอย่างขึงขังราวกับนักแสดงชั้นยอด พรางยิ้มให้แก่ผู้เป็นนายอย่างรู้ใจ ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องไป
“เมื่อกี้ เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ? พอดีข้าไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไร”
“.....!”
ร่างสูงได้ทีไขว้มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง พรางเดินวนไปรอบๆ ร่างเล็กอย่างเชื่องช้า
“หม่อมฉัน.....ขอรับการลงโทษของทั้งสองคนแต่เพียงผู้เดียว...เพคะ”
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ข้าไม่อยากเสียเวลากับคำพูดที่ไม่หนักแน่นพอ”
“หม่อมฉันแน่ใจ ท่านต้องทรงปล่อยตัวทั้งสองคนในทันทีด้วยนะเพคะ”
คนตัวสูงหยุดอยู่ตรงหน้าอียูก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งกับพื้นมองไปยังร่างเล็กอย่างไม่ละสายตา
“การลงโทษจากข้า หนักหนานัก เจ้าจะรับไหวหรือไม่?”
“....!!!!!!”
น้ำเสียงที่ใกล้เหมือนกับองค์ชายกระซิบอยู่ข้างหูทำให้อียูตกใจเผลอเงยหน้ามองอย่างไม่ได้ตั้งใจ เป็นเหตุทำให้ทั้งคู่จ้องตากันโดยบังเอิญ เขายังคงเหมือนเดิม มีเพียงใต้ตาคล้ำๆ นิดหน่อยที่เพิ่มเข้ามา หากจะบอกข้าคิดถึงซอลมินในแบบที่ไม่ใช่องค์ชาย ข้าคงจะตอบได้ชัดเจนว่า ใช่ข้าคิดถึงเขา
“!!อะฮึ่ม เจ้ากลับไปพักผ่อนเสียเถิด”
“....”
อียูเป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อนทำให้ซอลมินต้องกะแอมแก้เขิน พรางปั้นหน้าขึมหันมองไปทางอื่น
“...แล้ว.....นางใน...!”
“ไว้ข้าจะให้คนพาตัวไปส่ง”
“ขอบพระคุณเพคะ”
ร่างเล็กค่อยๆ ลุกขึ้นยื่นก้มหัวอย่างนอบน้อมแล้วเดินกลับออกไป
ซอลมินรู้อยู่ในแก่ใจว่าอียูยังคงโกรธเขาอยู่ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ นางคงทำอะไรได้ไม่มากนัก ข้าขอโทษที่ต้องใช้นางในทั้งสองคนของเจ้าเป็นเครื่องมือเพื่อความเห็นแก่ตัวที่โง่เขลาไร้ซึ่งทางแก้ของข้า.......
ความเป็นจริง......
“จีมินนนน!! ข้าขออีกจอก เทมาเลย!”
“ฮ่าา ข้ามองอะไรไม่ค่อย ชัดเลย!!”
ทั้งสองคนนอนกอดขวดสาเกด้วยสภาพไร้ความเป็นนางในที่ถูกฝึกมา
“พวกเจ้า คืนนี้ไม่กลับตำหนักกันหรือยังไง เหตุใดจึงเมามายอยู่โรงนอนนางในเช่นนี้?!”
“เงียบไปเลย วันนี้ข้าจะเมา!! ฮ่าๆๆๆๆ คุณหนู!! ไม่สนใจพวกข้าสองคนอยู่แล้ว!!! ฮรือ~~คุณหนูของเราช่างน่าเศร้าเสียเหลือเกิน เอ้าชน!!”
“ฮ่าา ดื่มมมม ดื่มให้ตายไปเลยย !!!”