สวนลับ.
ท่ามกลางสวนดอกไม้แลงามตา องค์หญิงโซรองทรงพระทับอยู่บนศาลากลางสวนด้วยความเหม่อลอยองค์หญิงไม่รู้เลยว่าบัดนี้มีใครบางคนกำลังยืนมองอยู่ทางด้านหลัง
“ฮัชชิ้ว!!!”
“โอ๊ะ!!! เสด็จพี่!!”
เมื่อทรงยืนอยู่ได้ไม่นานพระอาการแพ้เกสรดอกไม้กำเริบ ทำให้องค์ชายควบคุมไม่อยู่จามออกไปเสียงดังเสียจนองค์หญิงตกใจ
“อะฮึ่ม! ขออภัยที่ข้าทำให้เจ้าตกใจ”
“ทรงเสด็จกลับมาตั้งแต่เมื่อไรเพคะ ไม่สิเราออกจากที่นี่ก่อนเถอะเพคะ!!!”
“....”
ยังไม่ทันได้พูดสิ่งใด องค์ชายก็ถูกองค์หญิงลากแขนออกมาจากสวนลับ เพราะเกรงว่าอาการแพ้เกสรดอกไม้ของพี่ชายจะรุนแรงไปมากกว่านี้ ร่างสูงทำได้เพียงเดินตามน้องสาวพรางใช้มืออีกข้างเกาจมูกของตนไปมา
“อะ องค์ชาย!!”
ขันทีและขบวนนางในตามเสด็จเมื่อเห็นว่าทั้งสองพระองค์เดินออกมาจากสวนลับพร้อมกันจึงตกใจรีบเดินตามเสด็จองค์ชายในทันที แต่ต้องหยุดชะงักเพราะองค์ชายหันมาทำสายตาตำหนิเป็นสัญญาณไม่ให้ตามเขาไป
“ไม่พบกันเสียนาน ดูเจ้าโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหรือเปล่านะ?”
“ไม่เลยเพคะ”
เมื่อเดินออกมาจากสวนลับได้ไม่ไกลนักองค์ชายก็เริ่มบทสนทนา องค์หญิงได้ยินอย่างนั้นจึงหันไปยกมือบอกให้เหล่านางในติดตามคอยอยู่ห่างๆ
“หม่อมฉันกลับยิ่งรู้สึกว่าต้องโตขึ้นและเข้มแข็งให้มากกว่านี้อีกเพคะ”
องค์ชายทรงมององค์หญิงด้วยสายตาเอ็นดู
“เจ้าเป็นน้องสาวขององค์รัชทายาท ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องฝืนตัวเอง ไม่ว่าเรื่องใด”
“เสด็จพี่...”
ผู้เป็นพี่เอื้อมมือไปคว้ามือเล็กๆขององค์หญิงโซรองมากุมไว้อย่างอ่อนโยนแล้วเผยรอยยิ้มอบอุ่นเพื่อปลอบประโลมในส่วนที่คนเป็นพี่จะทำให้แก่น้องสาวได้
“อย่ากังวลไป เรื่องพิธีอภิเษกของเจ้า หากเจ้าไม่ได้ต้องการข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”
“...!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นองค์หญิงโซรองจึงมีรอยยิ้มที่สดใสขึ้นอีกครั้งอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผู้เป็นพี่อดที่จะใจชื้นเพราะไม่อยากให้องค์หญิงจมอยู่กับความทุกข์เพียงเพราะรับสั่งจากเสด็จพ่อ
“ฮัชชิ่ว!!”
“ขะ ขออภัยเพคะ!!”
พระอาการจามของเสด็จพี่กลับมาอีกครั้ง คราวนี้องค์หญิงเป็นฝ่ายที่ต้องเดินถอยพระองค์ออกห่างจากองค์รัชทายาท องค์ชายเมื่อเห็นว่าองค์หญิงเริ่มวิตกกังวลจึงได้แต่ยิ้มๆเอามือทั้งสองข้างไขว้หลัง
“นั่นเจ้ากลัวว่าข้าจะแพ้กลิ่นของเกสร หรือเจ้ากำลังรังเกียจข้ากันแน่”
“หะ หามิได้เพคะ ตัวของหม่อมฉันเต็มไปด้วยกลิ่นของดอกไม้ หากอยู่ใกล้ๆ เสด็จพี่ก็จะทรงจามไม่หยุดนะเพคะ”
หมับ!
“ไม่เป็นไร”
“.....”
มือหนาเอื้อมขึ้นลูบเบาๆที่ศรีษะขององค์หญิง แม้ในตอนนี้จมูกโด่งๆ ขององค์ชายจะแดงเป็นมะเขือเทศ สุกเขาก็ยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนราวกับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร ทำให้ทั้งองค์หญิงและองค์ชายต่างก็หลุดขำออกมาทั้งคู่
ปึง!
เสียงฝ่ามือหนาขององค์ราชาตบลงบนโต๊ะทรงอักษรภายในพระตำหนักส่วนพระองค์
“ข้าไม่คิดเลย ร้อยวันพันปี องค์รัชทายาทจะมาหาข้าด้วยสาเหตุนี้”
“ข้าทนมองหน้าที่ไร้ความสุขของโซรองไม่ได้ ด้วยความเป็นพ่อ ท่านก็ควรละอายใจ”
“องค์หญิงไม่คัดค้านสิ่งใด แต่กลับฟ้องเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่เกี่ยวว่าองค์หญิงจะฟ้องข้าหรือไม่ หากท่านไตร่ตรองดู นี่ไม่ต่างอะไรจากทำร้ายจิตรใจของนาง”
“องค์ชาย!!!”
องค์ราชาขบกรามแน่นกระแทกเสียงใส่อย่างเหลืออด จะมีสักครั้งไหมที่องค์รัชทายาทจะยอมอ่อนข้อให้แก่ผู้เป็นพ่อบ้าง
“หากท่านยังดึงดัน ข้าไม่อาจรับรองว่าพิธิอภิเษกที่ข้า.....”
องค์ชายชะงักไปเล็กน้อยเพราะนึกขึ้นได้ว่าหากเผลอหลุดปากบอกออกไปว่าไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน เสด็จแม่อาจต้องถูกลงโทษ
“ตัวข้าคนเดียว ท่านยังไม่พอพระทัยอีกหรือ?”
“.....”
“ข้าจะเข้าพิธีอภิเษกด้วยดี หากท่านคิดทบทวนเรื่องในวันนี้”
“....”
ความไม่พูดอะไร นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะดับไฟในใจ องค์ราชารู้พระองค์ดีว่าโอรสไม่ได้ล้อเล่นในคำพูด หากเขาคิดจะล้มพิธีจริงๆ ถึงจะเป็นกษัตริย์ก็ไม่สามารถบังคับอะไรองค์ชายได้
“ทรงถอนรับสั่งพิธีอภิเษกขององค์หญิงด้วยเถิดพระยะค่ะ”
“....!”
องค์ชายถึงกับก้มลงคุกเข่าเพื่อร้องขอความเป็นธรรมให้แก่น้องสาว ผู้เป็นพ่อเมื่อเห็นอย่างนั้นจึงฉุกคิด หากไม่หมดหนทางจริงๆ ไม่ง่ายเลยที่องค์ชายจะคุกเข่าด้วยตนเองเช่นนี้
พรึบ!
ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากพระตำหนักไป โดยมีองค์ราชามองตามจนเขาหายออกไปจากสายพระเนตร
“ข้าจะทำอย่างไรดี”
ใบหน้าขององค์ราชาเต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึก ก่อนจะก้มมองผ้าเช็ดหน้าสีขาวในมือที่ก่อนหน้านี้พระองค์ทรงกำไว้แน่นเพราะกลัวว่าองค์ชายจะสังเกตเห็น เลือดสีแดงฉานที่เปรอะเปื้อนอยู่นั่น ยิ่งทำให้พระองค์กังวลว่าอาจจะเหลือเวลาอีกไม่นาน
“ทำไมจะต้องจัดเตรียมของพวกนี้ให้กับเขา ทั้งที่แค่ขอบคุณเขาไปก็เพียงพอ”
“เจ้าจะไปรู้อะไร! เขาช่วยชีวิตข้าเอาไว้เชียวนะ”
พูดไปหลบสายตาของจียงไป สองมือวุ่นวายอยู่กับการมัดห่อผ้าให้เป็นปมสวยงาม ข้างในคือกล่องโสมและสมุนไพรราคาแพงที่เดินทางมาจากแผ่นดินจีน
“หืม....เชื่อเค้าเลย ดูก็รู้ว่าเจ้าชอ..อ๊า!!!!”
ปากเจื้อยแจ้วของจียงต้องหยุดพูดลงแล้วร้องจ๊ากในทันทีเมื่ออียูยืนมือออกไปคว้าใบหูคนตัวสูงที่พูดอะไรไม่คิด ใบหน้าหล่อเหลายับยู่ยี่ด้วยความเจ็บปวด
“ข้าไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเสียหน่อย หากท่านพ่อได้ยินเข้า เจ้าจะต้องรับผิดชอบ”
“เรื่องอะไร มันเจ็บนะ”
“ชิ!”
อียูมองจียงด้วยความหมั่นไส้พรางทำท่าจะลงมืออีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิดเพราะเจ้าตัวรีบลุกออกห่างสาวเจ้าจนพ้นจากเขตอันตรายเสียแล้ว
“แน่ใจนะ ว่าเจ้าจะไปคนเดียว?”
จียงถามอียูอีกครั้งเพื่อย้ำถึงความมั่นใจ เพราะหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น นายท่านคังคงไม่ปล่อยจียงรอดไปได้แน่นอน
“อ่ะ”
“???”
คุณหนูยื่นห่อผ้าอีกห่อส่งให้จียง เขาทำท่างงๆ มองหน้าหญิงสาว
“อะไรหรือ?”
“รับไปก่อนสิ”
จียงยอมรับห่อผ้ามาไว้กับตัวอย่างไม่เข้าใจ หญิงสาวยิ้มร่าอารมดีพรางจัดแจงความเรียบร้อยของตนเองก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับหยิบห่อผ้าอีกห่อที่ตนจะนำติดตัวไปด้วย
“ที่เจ้าตามข้าไปไม่ได้ ก็เพราะว่า เจ้ามีหน้าที่ที่ใหญ่กว่าต้องไปทำหนะสิ”
“หน้าที่?”
“ข้าได้ข่าวว่าช่วงนี้ท่านป้า อึนฮเย ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง นี่เป็นสมุนไพรชั้นดี มันอาจจะช่วยได้ไม่มาก แต่ข้าอยากให้เจ้าได้นำไปให้นาง”
“...!!!”
“อ๊ะ ไม่ต้องขอบคุณข้าหละ เพราะว่าข้ายินดี”
พรับๆ
“ข้าไปหละ ไว้เจอกันก่อนพระอาทิตย์ตก”
อียูยกมือขึ้นตบไหล่จียงอย่างสนิทสนมด้วยรอยยิ้มที่สดใสก่อนจะถือห่อผ้าอีกห่อเดินจากไป ทิ้งให้เขาปราบปลื้มยืนอมยิ้มอยู่เพียงลำพัง
มือใหญ่ของจียงบังคับบังเหียนของม้าให้หยุดวิ่งเมื่อเขาเดินทางมาถึงทางเข้าของบ้านหลังใหญ่ที่่อยู่ไม่ห่างจากในเมืองมากนัก เขาก้าวขาลงจากม้าไม่นานนักข้ารับใช้จากผายในบ้านสังเกตมองเห็นคุณหนูของตนที่ไม่ได้เจอกันมานานก็รีบทิ้งไม้กวาดวิ่งมาทำหน้าที่ดึงบังเหียนม้าแล้วพาไปเก็บยังโรงม้าแทน
“ไม่เจอกันนานเลยนะขอรับนายท่านจียง”
“อาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง?”
“แค่ท่านมาเยี่ยมเยียนนายหญิงบ้าง อาการก็คงดีขึ้นนะขอรับ”
“.....”
จียงยืนคิดคำนวลบางอย่างอยู่ในใจเพียงชั่วครู่ เขาก็คว้าบังเหี้ยนม้าจากมือของข้ารับใช้มาถือเอาไว้เอง ก่อนจะยื่นห่อสมุนไพรที่คุณหนูอียูให้มา ให้กับข้ารับใช้
“ข้าฝากเจ้าดูแลท่านแม่แทนข้าด้วย ไว้ข้าจะกลับมาใหม่”
“ตะ แต่นายท่าน!!”
“....!”
เมื่อถูกข้ารับใช้หยุดเอาไว้ จียงจึงหันกลับมามองเขาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก
“ได้โปรดเถอะ อย่างน้อยก็ให้นายหญิงได้เห็นหน้าท่านเสียหน่อย”
“.....”
เขายืนนิ่งอึ้งในคำพูดนั้น เรื่องราวในอดีตที่กัดกินใจเขาหวนกลับมาให้ได้นึกถึงอีกครั้ง
‘ซอจียง!’
‘.....!!’
เสียงผู้เป็นแม่ตะโกนไล่หลังขณะที่ชายหนุ่มคุณหนูของตระกูซอ กำลังตัดสินใจที่จะออกจากบ้านเพราะการทะเลาะกันระหว่างพ่อกับลูก
‘อย่าไปเลย ฮือๆๆ’
‘ท่านแม่’
‘อึนฮเย กลับเข้าไปในห้องของเจ้าเดี๋ยวนี้’
‘ท่านพี่’
ชายวัยกลางคนที่ออกมาจากชายคาคือพ่อของเขาเอง สายตาผู้เป็นพ่อดูโกรธเกรี้ยว ท่านแม่เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกเสียจากเดินคอตกกลับเข้าห้องของตนไปพรางร้องไห้ฟูมฟายเพราะห่วงลูก
‘ส่วนเจ้า อย่าได้กลับมาที่นี่อีก’
ภาพสะท้อนในหัวไหลย้อนเข้ามาไม่ขาดสายเขาจึงต้องส่ายหัวเพื่อไล่ภาพพวกนั้นออกไป ถึงแม้ท่านพ่อจะเสียไปหลังจากที่เขาออกจากบ้านแล้วใช้ชีวิตอย่างปุถุชนได้เพียงหนึ่งปีให้หลังท่านแม่ต้องการตามให้เขากลับไปรับตำแหน่งผู้นำตระกูลแทนท่านพ่อที่จากไป แต่เขาก็ไม่อาจจะก้าวผ่านความผิดลึกๆ ของตนที่มีต่อคนในตระกูลในอดีต จึงต่อต้านมาโดยตลอด
“ข้าจะกลับมาเยี่ยมอีกครั้ง ตอนนี้ข้าฝากดูแลนางแทนข้าด้วย”
“ขอรับ นายท่านซอ”
จิตรใจที่อ่อนโยนเกินไป ทำให้จียงยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับท่านแม่ได้ในตอนนี้ ด้วยความผิดในวัยเยาว์ที่ตนดื้นรั้นและเอาแต่ใจ ต้องทำให้ท่านแม่อยู่อย่างเจ็บปวดและทรมาน
ชายหนุ่มไม่รอช้ากระโดดขึ้นหลังม้าแล้วควบออกไปในทันที แสงจากดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับจากขอบฟ้า นั่นหมายถึงอียูคงจะกลับมาถึงบ้านแล้ว หากเป็นอย่างนั้น นางอาจจะโกรธเขาได้ที่กลับมาช้า.