“คุณทำให้ผมพลาดโอที” ทั้งที่ดูเหมือนเป็นคนไม่คิดอะไรมากและไม่ค่อยขยันทำงาน แต่เมื่อพูดถึงเรื่องโอทีก็ตาเป็นประกายขึ้นมา และพอไม่ได้ทำทั้งที่มีโอกาสก็บ่นเป็นหมีกินผึ้ง
นี่คือตรัยคุณล่ะ
“เดี๋ยวฉันจ่ายเธอเอง”
“อวดรวย ถ้าคุณอยากไปเยี่ยมแม่ผมนักทำไมไม่ไปคนเดียว”
“ไม่ได้ไปนานแล้ว มันก็จะเขินหน่อยๆ น่ะสิ”
“คุณหนูเนี่ยนะ นึกภาพไม่ออกเลย”
“เธอก็ทำให้ฉันเขินสิ”
“ไม่อะ ไม่มีอารมณ์”
ที่จริงลำพังเรื่องโอทีไม่ได้ทำให้ตรัยคุณเซ็งนักหรอก แต่แผนที่วางไว้ว่าจะออกไปดื่มหลังเลิกงานนี่สิที่น่าเสียดาย ทั้งที่ตั้งใจจะไปหาใครซักคนมาแก้เหงาแท้ๆ ให้ตายเถอะ อีตาคุณหนูนี่ชอบหาเรื่องให้กันจริงๆ ธุระกงการรึก็ไม่ใช่
“จากชลบุรีไปจันนี่ต้องขับรถกี่ชั่วโมง”
“ถ้านับจากตอนนี้ก็...” ตรัยคุณว่าพลางก้มดูเวลาที่หน้าจอมือถือ “ห้าสิบกว่าชั่วโมง”
“ห๊ะ! นั่นนั่งรถหรือเดิน”
“จะนั่งรถหรือเดินก็ใช้เวลาเท่าๆ กันนั่นแหละ ก็นี่เพิ่งวันศุกร์เอง ต้องผ่านเสาร์อาทิตย์ไปก่อนสิค่อยถึงวันจันทร์”
“คนละจันทร์แล้ว” จินเจตพยายามปั้นหน้านิ่งไม่ขำแต่ก็หลุดขำอยู่ดี
“ไม่ตลกเหรอ อุตส่าห์เล่นมุก”
“อารมณ์ดีแล้วรึไง”
“ไม่ คุณหนูเถอะยังแก้ปัญหาเรื่องนั้นไม่ได้ล่ะสิ” ทุกครั้งที่ตรัยคุณคิดไม่ตก สถานที่แรกที่นึกถึงคือบ้าน จินเจตเองก็คงไม่ต่างกัน เขาเป็นที่รักของคุณยายในยามที่ว้าวุ่นก็คงอยากได้กำลังใจและกอดอุ่นๆ จากท่านล่ะมั้ง
“ก็ไม่เชิง”
“แปลว่ายังแก้ไม่ได้”
“ถ้ามันง่ายฉันคงไม่เครียดขนาดนี้หรอก”
“วันนี้พูดเรื่องดีๆ กับตัวเองรึยัง”
“เรื่องดีๆ เหรอ” จินเจตทวนคำพลางมองตรงไปข้างหน้าอย่างพยายามใช้ความคิด การพูดสิ่งดีๆ กับตัวเองฟังดูเหมือนง่ายแต่เอาเข้าจริงก็ไม่ง่ายขนาดนนั้น
คิดนานจนตรัยคุณนึกรำคาญ “คุณหนูเหมาะกับเสื้อสีน้ำทะเลนะ”
“เหรอ” เมื่ออีกฝ่ายบอกอย่างนั้นเขาจึงก้มมองเสื้อที่ตัวเองสวม เป็นเสื้อยืดธรรมดาสีน้ำทะเลเข้ม “แล้วต่อล่ะพูดเรื่องดีๆ กับตัวเองรึยัง”
“พูดตั้งแต่ตื่นนอนแล้ว แล้วก็พูดทั้งวันเลยด้วย”
“เธอเป็นคนดีกว่าที่คิดอีกนะ”
คนที่อยู่ๆ ก็ถูกชมนิ่งงัน ไม่เข้าใจคำว่าคนดีของจินเจตเอาซะเลย “ชมมาชมกลับไม่โกงแน่นอนรึเปล่า”
“แล้วแต่เธอจะคิด”
“ตอนนี้ก็คิดได้แค่นี้แหละ พูดถึงที่บ้านแล้วก็คิดถึงรสมือแม่เลยอะ โทรบอกแม่ทำกับข้าวไว้รอดีมั้ยนะ” ไม่ใช่การปรึกษาแต่คือการเปรยให้อีกฝ่ายได้ยินพร้อมกับกดเบอร์โทรผู้เป็นแม่ หากก็ถูกจินเจตห้ามเอาไว้ซะก่อน
“อย่าเลย เกรงใจ”
“เกรงใจแม่น่ะเหรอ” คนถูกถามกดหน้าลงแทนคำตอบ “แต่ไม่ยักเกรงใจผม”
แล้วก็ไม่วายวนกลับมาเรื่องเดิม
“เธอหิวรึไง”
“ก็ต้องหิวอยู่แล้วสิ” ก็ไม่แปลกซะทีเดียวเพราะนี่ก็เลยเวลามื้อค่ำมาแล้ว “แต่ไม่ต้องแวะร้านอาหารหรอก เข้าเซวงเซเว่นก็จบแล้ว”
พลขับจำเป็นพยักหน้ารับ และมื้อค่ำในคืนวันศุกร์ก็เป็นอาหารสำเร็จรูปง่ายๆ ในร้านสะดวกซื้อ
“ต่อนี่เลี้ยงง่ายจังเลยเนอะ”
คนเป็นเจ้าของรถว่าเมื่อกลับเข้ามานั่งในรถอีกครั้ง
“อยากเลี้ยงผมรึไง” คนถูกถามทำเป็นเมินด้วยการเปิดเพลง ถามว่าอยากเลี้ยงมั้ย ตอนนี้อาจจะยังตอบไม่ได้แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ คนอย่างตรัยคุณหากเปรียบก็คงเหมือนแมวที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง นึกอยากอ้อนก็อ้อนซะจนเผลอคิดว่ามันรักเรา บทจะเมินเรียกหาเท่าไหร่ก็ไม่หันมามองกัน
บนท้องฟ้ายามค่ำคืนปรากฏพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ถูกรายล้อมด้วยดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ นานๆ จะมีรถสวนมาซักคัน แอร์เย็นๆ ในรถทำให้คนที่เสียบหูฟังมาตั้งแต่หยุดคุยกันเริ่มหนาว
จินเจตเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยความห่วงใย เพราะเขาเองที่ดื้อดึงและเอาแต่ใจบังคับให้ตรัยคุณขึ้นรถมาด้วยโดยไม่ได้เตรียมตัว ดังนั้นเขาจึงควรรับผิดชอบ คิดแล้วก็จอดรถข้างทาง และทันทีที่ล้อหยุดหมุนคนที่คิดว่าหลับไปแล้วกลับตวัดสายตามามองกันคล้ายกับไม่พอใจ
“คุณหนูจอดรถทำไม” น้ำเสียงสั่นติดหวาดกลัวทำให้จินเจตนึกสงสัย
“จะหยิบเสื้อคลุมให้เธอ”
“ผมหยิบเองได้ ออกรถเดี๋ยวนี้เลย” ยิ่งถูกเร่งจินเจตก็ยิ่งอ้อยอิ่งไม่ยอมทำตาม อย่างน้อยก็ควรบอกเหตุผลกันก่อนไม่ใช่เอาแต่ออกคำสั่งแบบนี้
“อะไรของเธอ ฉันอุตส่าเป็นห่วง”
“คุณไม่รู้ประวัติของถนนเส้นนี้สินะถึงได้กล้าจอดรถ”
“ประวัติอะไร” ไม่ใช่คนแถวนี้ซักหน่อยใครจะไปรู้
“จะให้เล่าตรงนี้เหรอ ผมไม่เอาด้วยหรอก ถ้าเกิดว่า...” ตรัยคุณหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้นก่อนมองฝ่าความมืดไปรอบๆ กาย เห็นท่าทางหวาดกลัวอย่างจริงจังไม่มีแววล้อเล่นซักนิดของอีกฝ่ายจินเจตจึงยอมออกรถแต่โดยดี
ไม่ใช่เพราะกลัวหรอก ผีไม่มีอยู่จริงซักหน่อย
“คุณหนูกลัวผีรึเปล่า” เครื่องเสียงในรถถูกลดเสียงลง และท่ามกลางความมืดของสองข้างทางตรัยคุณก็เอ่ยถามขึ้นมา
ถึงไม่กลัวแต่โบราณก็บอกไว้ว่าไม่ควรพูดถึงในตอนกลางคืนเช่นนี้
“เธอกลัวรึเปล่า”
“ผมถามก่อน”
“ไม่กลัว”
“แต่เมื่อกี้รีบขับรถออกมาอย่างเร็วเลย”
“ก็เธอทำเหมือนกลัว”
“เป็นห่วงผมว่างั้น แหมซึ้งใจจัง แต่จะบอกให้นะคุณเจตที่จริงผมก็ไม่ได้กลัวเท่าไหร่หรอก” แต่ท่าทางที่เห็นเมื่อกี้ไม่ใช่นี่
“ก็ดีแล้วที่ไม่กลัวอะไรที่เรามองไม่เห็น”
“ก็ดีแล้วที่คุณเจตไม่กลัว งั้นเดี๋ยวผมเล่าประวัติถนนเส้นนี้ให้ฟังดีมั้ยในรถจะได้ไม่เงียบเกินไป”
“ฉันก็ไม่รู้สึกว่าเงียบนะ เพลงก็เปิดอยู่”
“ไหนบอกไม่กลัวไง”
“ไม่กลัวแต่ไม่ชอบฟังเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้”
“เท่ากับกลัว” รู้ว่ากำลังถูกท้าทายแต่ก็ยังเล่นด้วย
“งั้นก็เล่ามา” ตรัยคุณหันมายิ้มกว้าง เข้าทางล่ะ จะทำให้ยอมรับออกมาให้ได้เลยว่ากลัว
“อีก 200 เมตรข้างหน้าถ้ามองไปทางขวามือคุณเจตจะเห็นบ้านไม้หลังนึง” คนเป็นเจ้าของรถเหลือบมองไปทางขวามืออย่างที่ตรัยคุณบอกและก็พบกับบ้านหลังที่ว่าจริงๆ
ท่ามกลางป่ารกชัฎมีบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงหลบซ่อนอยู่ ถึงแม้มองเห็นไม่ชัดแต่ด้วยบรรยากาศอันเงียบสงัดของกลางดึกทำให้บ้านหลังนั้นดูน่ากลัว
“เมื่อก่อนแถวนี้ไม่ได้น่ากลัวและเงียบเหงาขนาดนี้หรอก ถ้าลองสังเกตุข้างทางดีๆ ก็จะเห็นว่ามันเป็นพื้นที่การเกษตร”
จะไปเห็นได้อย่างไรกันมืดขนาดนี้
“เจ้าของบ้านหลังเมื่อกี้ก็เป็นเกษตรกรธรรมดานี่แหละ ปกติจะมีคนเป็นพ่ออยู่คนเดียว ส่วนลูกชายเข้าไปเรียนในกรุงเทพ”
ตรัยคุณเล่าด้วยเสียงยะเยือกเพื่อสร้างบรรยากาศแต่ถึงแม้ไม่สร้างบรรยากาศรอบกายตอนนี้ก็เป็นใจมากอยู่แล้ว
“ทุกอย่างก็ดำเนินมาอย่างปกติ กระทั่งเมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อนมั้งตอนที่ยาเสพติดระบาดหนัก อยู่ๆ ลูกชายที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ก็กลับบ้านมาพร้อมกับรถยนต์ราคาแพง สร้อยแหวนเงินทองเต็มคอเต็มแขนเต็มกระเป๋า”
“ค้ายาหรอ”
“คนแถวนี้ลือกันว่าอย่างนั้น”
“แล้วไงต่อ”
“พ่อลูกเขาก็ใช้ชีวิตกันอย่างปกตินะ ถึงแม้จะมีเงินแต่คนเป็นพ่อก็ยังทำไร่ทำสวนเหมือนเดิม ส่วนลูกชายก็ไปๆ มาๆ”
“นี่เรื่องผีจริงรึเปล่าต่อ” เล่ามาตั้งนานแล้วยังไม่มีผีซักตน
“ใจเย็นสิคุณหนู ไหนบอกไม่อยากฟัง”
“ก็เธอเล่นเล่ามาขนาดนี้แล้ว” ตอนแรกอาจจะไม่อยากฟังแต่ตอนนี้อยากติดตามแล้ว
ตรัยคุณยิ้มอย่างมีชัยเมื่อจินเจตแสดงความสนใจเรื่องที่ตนกำลังเล่า
“อยู่มาวันนึง ในช่วงโพล้เพล้ลูกชายก็โผล่มาที่บ้านด้วยท่าทีร้อนรนกระวนกระวาย คนเป็นพ่อถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟัง กระทั่งตกดึก คืนนั้น ในความเงียบอยู่ๆ เสียงปืนก็ดังปั้ง นกที่นอนอยู่บนต้นไม้ตกใจบินแตกฮือ พ่อเองก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เสียงฝีเท้าย่ำอยู่ในบ้านซักพักนึงก็เงียบไป พอพ่อออกมาร้องเรียกหาลูกชายก็ไม่มีเสียงตอบรับ เขาคิดว่าตายแน่แล้ว เสียงปืนนั่นบวกกับข่าวเรื่องการวิสามัญที่เห็นในทีวียิ่งทำให้พ่อปักใจเชื่อ”
“ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดใช่มั้ย”
เรื่องที่ตรัยคุณเล่ามันละเอียดเกินไปจนคล้ายเรื่องแต่ง
“อรรถรสน่า จะฟังต่อมั้ย” และตรัยคุณก็ไม่ปฏิเสธว่าบางอย่างเขาเติมรสชาติลงไปเพื่อความกลมกล่อมและตื่นเต้น
“ว่าไป”
“พอพ่อคิดอย่างนั้นเขาก็ไปเปิดห้องลูกชาย สิ่งที่อยู่ในห้องทำให้คนเป็นผงะแทบหงายหลัง”
“ศพลูกชายเหรอ”
“ใช่”
“ไม่มีหักมุมเหรอ”
“ถ้าคิดว่าผมเล่าเรื่องหลอกก็ไม่ต้องฟังต่อ”
“ฟังสิฟัง” ตรัยคุณระบายยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากเมื่อคนอายุมากกว่ายอมตนขนาดนี้ เช่นนั้นเขาจึงเล่าต่อ
“พอเห็นศพลูกชายนอนจมกองเลือดอยู่บนที่นอน พ่อก็หมดสติไป พอตื่นขึ้นมาก็กลายเป็นคนเสียสติไปเลย วันๆ แกเอาแต่นั่งคุยกับลูกชาย”
“ไหนบอกว่าลูกชายตายไปแล้วไง”
“ใช่มั้ยล่ะ ลูกชายแกตายไปแล้ว แล้วแกจะคุยกับใครล่ะถ้าไม่ใช่วิญญาน”
“แต่แกก็ไม่ได้ไปทำความเดือดร้อนให้ใครนี่”
“มันยังไม่ถึงจุดนั้น”
“ยังไม่จบอีกเหรอ ใกล้จะถึงบ้านแล้วนะ”
“งั้นเอาไว้เล่าต่อวันกลับดีกว่า”
“ต่อ!!” เล่ามาขนาดนี้แล้วทำไมต้องให้รอติดตามตอนต่อไปด้วยล่ะ แม้ไม่ได้สนใจมากแต่ก็รู้สึกว่ามันไม่ควรถูกทิ้งค้างเอาไว้แบบนี้
“นี่เรียกผมหรือให้เล่าต่อ”
“เธอคิดว่าไงล่ะ” คนถูกถามทำหน้าคิดหนัก
“คิดไม่ออกหรอก ผมไม่ได้อยู่ในใจคุณเจตนี่”
“แล้วอยากอยู่มั้ยล่ะ”
“อยู่ในใจคุณเจตแล้วได้อะไร”
“ก็ไม่ได้อะไร”
“งั้นไม่อยากอยู่หรอก” ตรัยคุณไหวไหล่อย่างไม่แยแสทำเอานักธุรกิจหนุ่มไฟแรงถึงกับจ๋อย กลายเป็นว่าตรัยคุณก็ไม่ยอมเล่าเรื่องลึกลับนั้นต่อ จินเจตเองก็ไม่ได้เร้าหรืออะไรมากมาย พ้นจากถนนเส้นนั้นขับมาอีกไม่นานก็ถึงบ้านของตรัยคุณที่อยู่แถวชานเมือง
บ้านขนาด 2 ชั้นตั้งอยู่ภายในรั้วไม้ ระหว่างทางเล็กๆ เพื่อเข้าสู่ตัวบ้าน สองข้างทางถูกจัดตกแต่งเป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับ ถึงแม้จะมองเห็นไม่ค่อยชัด แต่แสงไฟสลัวก็พอทำให้เห็นความร่มรื่นเหล่านั้นอยู่บ้าง
รถยนต์จอดตรงสุดทาง ยังไม่ทันดับเครื่องคุณน้าภพก็โผล่หน้าออกมาดู เจ้าของใบหน้าซึ่งแม้จะไม่เผยรอยยิ้มก็ดูเป็นมิตรมุ่นคิ้วมองรถซึ่งไม่คุ้นเคยก่อนหรี่ตามองผ่านกระจกหน้าเข้าไปที่คนขับ
“น้าภพ” ตรัยคุณที่อาสาลงไปเปิดประตูเดินอย่างสบายอารมณ์ตามเข้ามา พอเห็นคนเป็นน้าก็วิ่งเข้ามากอด
“มาไงล่ะเนี่ย แล้วนั่นแฟนเรอะ”
“โหน้า ถ้าแฟนรวยขนาดมีปัญญาขับเบนซ์ต่อก็ลาออกจากงานมาอยู่บ้านเฉยๆ ให้เขาเลี้ยงแล้ว”
“ไอ้ขี้เกียจ” คนขี้เกียจโดนเขกกะโหลกไปที และจินเจตที่เพิ่งหยิบของจากเบาะหลังเสร็จก็เปิดประตูออกมาเจอฉากนั้นพอดี
จะว่าไป เขาไม่เคยเห็นตรัยคุณยิ้มสดใสน่าเอ็นดูขนาดที่ที่โรงงานเลย
คงจะเป็นรอยยิ้มสำหรับคนในครอบครัวโดยเฉพาะรึเปล่านะ
“รูปหล่อนั่นเป็นใครล่ะถ้าไม่ใช่แฟน”
คนถูกเรียกว่ารูปหล่อรีบวางกระเช้าของฝากในมือลงแล้วยกมือไหว้
“จินเจตครับ”
“อ่อ หล่อขนาดนี้ทำไมไม่อ่อยเขาซะล่ะ รับรองว่าสบายกันทั้งครอบครัวตลอดชาติเลย” เพราะเป็นคนขี้เล่นจึงพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้สนใจคนถูกพาดพิงที่เหวอไปจังหวะนึง
สรุปว่าตรัยคุณชอบผู้ชายอย่างนั้นหรือ และเมื่อคิดอย่างนั้นอยู่ๆ ความรู้สึกบางอย่างในใจก็พลันเบ่งบานขึ้นมา
“น้าเลิกพูดเรื่อยเปื่อยได้แล้วน่า เข้าบ้านกัน แม่กับยายล่ะ” จินเจตมองคนที่ดันหลังคุณน้าเข้าบ้านแล้วก็ส่ายหัวให้กับภาพนั้นอย่างนึกเอ็นดู
ทั้งที่ออกจะปากร้ายและเจ้าเล่ห์ขนาดนั้นบทจะน่ารักก็น่ามองซะไม่มี
“สวดมนต์อยู่ในห้องพระโน่น นั่งก่อนคุณ” คนเป็นแขกถูกเชื้อเชิญให้นั่งบนโซฟารับแขกหน้าทีวีซึ่งถูกเปิดรายการมวยทิ้งไว้ “ดื่มน้ำหน่อยมั้ย”
“ไม่...”
“บริการตัวเองได้เลยครับคุณเจต” คนเป็นแขกยังพูดไม่จบก็ถูกตรัยคุณแทรกพร้อมทั้งผายมือไปยังห้องครัวที่อยู่ถัดจากห้องรับแขกไป
“แล้วสรุปรูปหล่อนี่” น้าภพมองหน้าจินเจตชัดๆ อีกครั้ง “หน้าคุ้นๆ แฮะ”
“จะไม่คุ้นได้ไงล่ะน้า ลูกรักยายไง”
“คุณหนูจินเจต” พอได้ยินว่าลูกรักของแม่ สมภพก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร
“ถูกต้องนะคร้าบ”
“เจอกันล่าสุดเมื่อหลายปีก่อนเนอะ ก็ไม่แปลกที่จะจำกันไมได้”
คุณน้าว่าพลางมองชายหนุ่มไม่วางตา
ตรัยคุณปล่อยให้ทั้งคู่คุยกัน ส่วนตัวเองผละออกไปที่ห้องครัวเพื่อหาน้ำดื่ม ที่จริงก็เริ่มหิวนิดๆ แล้ว โชคดีที่อาหารเย็นยังพอเหลืออยู่บ้าง
จะว่าไปก็คิดถึงอาหารฝีมือแม่สุดๆ เลย
ทั้งแม่และยายดีใจยกใหญ่เมื่อเห็นว่าใครนั่งรออยู่ในห้องรับแขก ทั้งสองทั้งกอดทั้งหอมคุณหนูสุดที่รักจนลูกชายแท้ๆ เอือมระอาและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จนผู้เป็นแม่หันมามองค้อน
“อิจฉาคุณหนูรึไงเรา”
“ใครอิจฉา”
“ไม่อิจฉาก็อย่ามาถอนหายใจใส่ มันไม่น่ารักเข้าใจรึเปล่า”
“จ้าแม่” ตรัยคุณตอบไปส่งๆ ก่อนลุกขึ้นเพื่อขอตัวขึ้นห้องไปนอนแต่ก็ถูกแม่รั้งเอาไว้
“มาช่วยแม่เตรียมที่นอนให้คุณหนูหน่อย”
“อะไรอะแม่ต่อก็เหนื่อยเหมือนกันนะ”
“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมช่วยเอง” ได้ยินดังนั้นตรัยคุณก็ฉีกยิ้มกว้างก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตนโดยไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองเลย
“เจ้าเด็กนั่นพออยู่ห่างแม่ก็เริ่มดื้อ”คุณแม่เริ่มนินทาเมื่อแผ่นหลังของลูกชายคนเดียวลับสายตาไป
“นึกภาพตอนต่อเป็นเด็กดีไม่ออกเลยครับ”
“นิสัยดื้อรั้นเหมือนพ่อเขา”
“ถ้ารู้ว่าน้าอนุญาตให้ผมนอนห้องเขาคืนนี้จะไม่โวยวายเหรอ”
“ก็ให้โวยวายไป คุณหนูอย่าไปยอมเด็ดขาด เข้าใจมั้ยคะ”
คุณแม่กำชับเสียงแข็ง คนอย่างตรัยคุณน่ะยิ่งตามใจยิ่งดื้อรั้นเอาแต่ใจ
“เข้าใจแต่ไม่มั่นใจเลยครับ”
“เด็กนั่นโดนพ่อตามใจจนเคยตัว” เพราะหนี้สินจากการไปค้ำประกันเงินกู้ให้เพื่อนสนิท คุณพ่อของตรัยคุณจึงต้องไปทำงานต่างประเทศเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ก่อนบ้านหลังนี้ถูกยึด ตอนเกิดเรื่องทางบ้านของจินเจตยินดีให้ความช่วยเหลือแต่ก็ถูกปฏิเสธเพราะเกรงใจ
“อีกนานมั้ยครับกว่าคุณพ่อของต่อจะกลับมา”
“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะอีกสองปีมั้งจ๊ะ”
“ต่อคงคิดถึงพ่อน่าดู”
“คิดถึงสิแต่โกรธก็เลยไม่กล้าแสดงออก”
“ยังไงครับ”
“ต่อเขาอยากไปทำงานกับพ่อ อยากช่วยเรื่องหนี้นั่นแหละแต่พ่อเขาไม่ยอม เขาอยากให้ลูกทำงานตามสายที่เรียนมา จบวิศวะมาอย่างยากเย็นจะให้ไปเสิร์ฟอาหารทำงานในครัวได้ยังไงล่ะ จริงไหม”
“ตอนนี้ก็ยังโกรธอยู่เหรอครับ” ตั้งแต่ตรัยคุณเรียนจบจนถึงตอนนี้ก็เกือบ 3 ปีแล้วถ้ายังโกรธอยู่ก็ถือว่าเป็นคนใจแข็งมาก
“เจ้าเด็กนั่นจะโกรธได้ซักกี่น้ำกันคุณหนู ก็แค่ทำฟอร์มจัดไปงั้น พ่อวีดีโอคอลมาก็ทำเป็นหลบกล้องไม่คุย ไม่ให้เห็นหน้าแต่ก็แอบมองอยู่ห่างๆ”คุณแม่ว่ากลั้วหัวเราะอย่างเอ็นดู อดคิดไม่ได้ว่าตรัยคุณเป็นเด็กน่ารักขนาดไหนกันนะเวลาอยู่กับครอบครัว
“คืนนี้ดึกแล้วคุณหนูเข้านอนเถอะ เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยคุยกัน”คุณแม่หยุดเดินเมื่อตรงหน้าพวกเขาคือประตูห้องซึ่งมีแสงไฟลอดผ่านออกมาจากช่องด้านล่างให้รู้ได้ทันทีว่ามีคนอยู่ข้างใน
หลังจากคุณแม่เคาะประตูแค่ไม่กี่วินาทีลูกบิดก็ถูกหมุนก่อนคนในห้องจะโผล่หน้าออกมา
แววตาของตรัยคุณซ่อนความรู้สึกขุ่นเคืองไม่มิด
“อะไรแม่ต่อจะนอนแล้ว”
“เปิดประตูกว้างหน่อยแม่พาคุณเจตมาส่ง”
“อะไร ต่อไม่รับ” เจ้าของห้องปฏิเสธเสียงแข็ง
“อย่าเห็นแก่ตัวนะเจ้าต่อ” พอถูกคุณแม่ดุเจ้าลูกชายก็ถึงกับหงอยและถึงแม้จะไม่อยากเปิดประตูต้อนรับอีกฝ่ายแต่ก็จำใจต้องทำ
ทันทีที่คุณแม่ออกจากห้องไปจินเจตก็สัมผัสได้ถึงความอึดอัดที่ทำให้เจ้าตัวรู้สึกหายใจหายคอลำบาก มองไปยังเจ้าของห้องก็พบว่ารังสีอำมหิตแผ่อยู่รอบตัวอย่างน่าหวาดหวั่น
“ต่อเธอควรจะไปสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย” ถึงอารมณ์ของตรัยคุณยามนี้จะน่าหวาดหวั่นแต่การที่เขานุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวเผยร่างกายอันเย้ายวนนั้นมันชวนหวั่นไหว
“รู้อย่างนี้ไม่น่าพาคุณมาเลยว่ะ”
“ฉันนอนพื้นได้ ไม่รบกวนเธอหรอก”
“แค่นอนห้องเดียวกันก็ถือว่ารบกวนแล้ว” น้ำเสียงเจ้าของห้องไม่มีแววล้อเล่นขณะนั่งลงบนเตียง ชายผ้าที่ซ้อนทับกันอยู่เปิดออกเผยเรียวขาขาวทำเอาคนมองกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
“แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไง” จินเจตพยายามดีงสายตากลับมาแต่ก็ช่างยากเย็นเหมือนถูกความขาวซื้อไปแล้ว
“คุณน่าจะค้านแม่ตั้งแต่ต้น”
“ดึกมากแล้วฉันไม่อยากทำให้ท่านลำบาก”
“แต่ผมลำบาก”
“มันจะอะไรนักหนานะต่อ”
“คุณหนูรู้รึเปล่าแม้แต่เพื่อนสนิทผมยังไม่เคยให้เข้าห้องนี้เลย แล้วคุณเป็นใคร”
“แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไง”
“ถ้าผมไล่คุณออกไปแม่ต้องดุผมแน่” เจ้าของห้องว่าอย่างปลงตกพลางถอนหายใจหน่ายก่อนลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าในตู้มาสวม “ช่างเถอะ ทะเลาะกันไปก็เปล่าประโยชน์ ห้องน้ำอยู่ทางโน้น”
เขาผายมือไปยังประตูสีขาวซ้ายมือ
“ถ้าเรียบร้อยแล้วก็ช่วยปิดไฟด้วย ผมจะนอนแล้ว”
ว่าจบคนเป็นเจ้าของห้องก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนหลังเล็กสำหรับนอนคนเดียว หมอนข้างสีเดียวกับผ้าปูถูกดึงมากอดแล้วจึงหลับตาลง
ถึงแม้จะหลับตาแต่ตรัยคุณก็รับรู้ถึงทุกความเคลื่อนไหวในห้อง
แต่ไหนแต่ไรแล้วที่เขาไม่สะดวกใจให้ใครก็ตามยกเว้นคนในครอบครัวเข้ามายุ่มย่ามในห้องนอน เพราะไม่สะดวกใจจึงพาลทำให้นอนไม่หลับไปด้วย
“ต่อราตรีสวัสดิ์”
ไฟในห้องถูกปิดแล้ว จินเจตนอนลงบนฟูกที่ถูกปูเอาไว้ก่อนบอกอีกฝ่ายอย่างไม่คิดว่าจะได้รับการโต้ตอบแต่เขาคิดผิด
“ฝันดีคุณหนู”
“ยังไม่นอนอีก”
“นอนแล้ว”
“แต่ยังไม่หลับ อึดอัดรึไง”
คนเป็นเจ้าของห้องไม่ตอบแต่ถึงอย่างนั้นจินเจตก็รู้ทันทีว่าการมีอยู่ของตนสร้างความลำบากใจให้อีกฝ่ายไม่น้อย เขาเอาแขนก่ายหน้าผากครุ่นคิดว่าควรทำอย่างไรดี
“ให้ฉันออกไปนอนข้างนอกมั้ย”
“อยากให้ผมโดนแม่ตีรึไง”
“กลัวแม่ขนาดนั้นเชียว” พออีกฝ่ายงอแงกลัวแม่ก็อดยิ้มไม่ได้
“แล้วคุณไม่กลัวเหรอ”
“เธอคงจะลืมไปว่าฉันไม่ได้อยู่กับแม่”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ตรัยคุณลืมไปว่าคุณแม่ของจินเจตเสียไปตั้งนานแล้ว
“ผมขอโทษ”
“ฉันไม่คิดมากหรอก” ถึงแม้อีกฝ่ายจะบอกว่าไม่คิดว่าแต่ตรัยคุณก็ไม่กล้าชวนคุยต่อ
ความเงียบค่อยๆ ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดในห้อง ตรัยคุณคิดว่ามีแต่เขาที่อึดอัดและนอนไม่หลับ เช่นเดียวกับจินเจตที่เอาแต่นอนลืมตาในความมืดพลางคิดซ้ำๆ ว่าตนกำลังรบกวนอีกฝ่าย
กระทั่งเช้า...
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นจินเจตก็ลุกขึ้นเก็บที่นอน เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวคนเป็นเจ้าของห้องก็รีบพลิกตัวหันหน้าเข้าข้างฝาทำเหมือนหลับทั้งที่ไม่ได้นอนทั้งคืน
คล้อยหลังคนเป็นแขกเมื่อเสียงประตูปิดดังขึ้นตรัยคุณจึงผล็อยหลับไป
บนโต๊ะในครัวเต็มไปด้วยของโปรดของจินเจตจนคนเป็นแขกนึกเกรงใจแต่ขณะเดียวกันทุกอย่างที่ปรากฏตรงหน้าก็ชวนให้หวนนึกถึงอดีต ตอนที่ครอบครัวยังอบอุ่น ตอนที่แม่นมและพี่เลี้ยงเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังใหญ่
“เจ้าต่อจะนอนกินบ้านกินเมืองรึไงนะ” คุณแม่บ่นพลางตั้งท่าจะขึ้นไปเรียกแต่ตรัยคุณน่ะตายยากชะมัด พอบ่นถึงก็เดินลงบันไดมา
ตรัยคุณในสภาพเสื้อยืดสีสันสดใสกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าเป็นคืบแปลกตาจนจินเจตเผลอมองอยู่นานสองนาน
“ได้ยินนะแม่ บ่นต่ออีกแล้วเหรอ”
“แทนที่จะลงมาช่วยแม่ทำข้าวเช้า”
“ต่อเคยตื่นมาช่วยเหรอก็ไม่”
“เธอนี่รักสบายจนเคยตัว”
“ใครไม่รักสบายบ้างล่ะแม่ เนอะคุณหนู” คนถูกถามทำเพียงไหวไหล่ไม่แสดงความเห็นจนตรัยคุณมุ่ยหน้าใส่ “ลืมไปว่าคุณหนูไม่เคยลำบาก”
“รู้ได้ยังไงว่าฉันไม่เคยลำบาก”
“ก็คุณหนูเกิดมารวย”
“แค่นี้”
“คนรวยลำบากด้วยเหรอ”
“ถ้าในแง่การใช้เงินก็ไม่ลำบาก” จินเจตตอบตามจริง แต่ถ้าพูดถึงจิตใจก็ไม่ใช่ว่าไม่เคย บางทีเขาอาจจะลำบากกว่าตรัยคุณด้วยซ้ำ
จินเจตเติบโตมาบนกองเงินกองทองก็จริงแต่ทุกการใช้ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังจนไม่รู้ว่าความสบายใจแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
“ถ้ามีเงินให้ใช้ไม่ขาดมืออย่างคุณหนูผมคงมีความสุขมาก”
ตรัยคุณเองก็พูดอย่างใจคิด ถึงแม้ครอบครัวของเขาจะไม่ได้ลำบากมากมายแต่ก็ไม่ได้มีเงินมากจนสามารถซื้อทุกอย่างที่ต้องการได้ ยิ่งตอนที่พ่อโดนฟ้องให้ชดใช้หนี้เพราะไปค้ำประกันให้คนอื่นตรัยคุณก็ยิ่งรู้สึกว่าเงินมีอำนาจมหาศาล ถ้าไม่มีเงินก็ต้องลำบากอย่างที่ครอบครัวของเขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้
อาจจะเพราะพูดเรื่องเงินอยู่ๆ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่ควรจะสดใสรับเช้าวันใหม่ก็เคร่งเครียดขึ้นมา คุณน้าภพผู้เป็นตัวสร้างบรรยากาศของบ้านจึงเริ่มชวนคุยถึงเหตุบ้านการเมืองจากข่าวที่ดูเมื่อเช้า
“เบียร์ที่เปิดตัวใหม่เห็นว่าขายดีมากเลยใช่มั้ยคุณเจต”
คนถูกถามหยุดมือที่กำลังตักข้าวเข้าปาก จินเจตยิ้มแหยอย่างไม่รู้จะเริ่มอธิบายเหตุการณ์ที่เขาเพิ่งเจออย่างไรดี เพราะว่ามันค่อนข้างเป็นความลับแม้อยากระบายความทุกข์ใจให้ใครซักคนฟังก็เป็นเรื่องยากเย็น
สำหรับคนที่เลี้ยงจินเจตมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกมีหรือจะไม่รู้ว่าคุณหนูของตนกำลังเป็นทุกข์ด้วยเรื่องบางอย่าง
หลังมื้อเช้าตรัยคุณขอตัวขึ้นไปนอนต่อแม้คุณแม่จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ห้ามไม่ได้
ขณะที่หญิงชราผู้เป็นแม่นมกำลังตัดแต่งกิ่งของไม้พุ่มเล็กๆ เหมือนกระต่ายอยู่ในสวนจินเจตก็เดินเข้าไปหา เมื่อเขานั่งลงข้างๆ คุณยายอัญชัญก็หันมายิ้มสวย ดวงตาของท่านเต็มไปด้วยความรักและห่วงใยชวนให้คนถูกมองรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ
“มีเรื่องไม่สบายใจหนักเลยสิถึงมาหานมถึงบ้าน”
จินเจตยิ้มแหย เขาถอนหายใจพลางใช้มือใหญ่ลูบหน้าตัวเอง “นม เจตเหนื่อยจัง”
“เหนื่อยก็พักสิลูก”
“อยากพักจะแย่แล้วนมแต่ทำไม่ได้ ถ้าเจตหยุด บริษัทก็ไปต่อไม่ได้ คนงานก็จะลำบาก
มากกว่าความสุขสบายของตัวเอง ทุกการตัดสินใจของจินเจตเขามักจะนึกถึงพนักงานในความดูแลของตนเสมอ
“นมไม่รู้หรอกนะว่าคุณหนูเจออะไรมาแต่อย่าลืมว่าทุกปัญหามีทางออกเสมอ อยู่ที่ว่าเราจะมีสติรู้เท่าทันมันรึเปล่า หากวันนี้ยังมีสติไม่มากพอก็ค่อยๆ ทวบทวน” มือเหี่ยวย่นของแม่นมยื่นมาสัมผัสแก้มคุณหนูของตนที่เติบโตมาอย่างมีคุณภาพ เจ้าเด็กขี้สงสัยคนนั้นพอโตมาทั้งหล่อเหลาและเฉลียวฉลาดจนคนเลี้ยงอดที่จะภาคภูมิใจไม่ได้
“แล้วถ้าเจตแก้ปัญหาไม่ได้ล่ะ” เพราะว่าเขาพยายามหาทางออกมาเป็นเวลาหลายวันแล้วแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เห็นหนทาง
“คุณหนูคิดจะยอมแพ้รึเปล่า” คนถูกถามส่ายหน้า “งั้นรึ ถ้าอย่างนั้นซักวันนึงคุณหนูต้องชนะมันได้แน่ๆ นมเชื่อมั่นในตัวคุณหนูนะคะ”
“เจตไม่มั่นใจในตัวเองเลยครับนม”
“คุณหนูจำตอนประถมได้มั้ย ที่คุณครูให้สร้างเครื่องบินจากของเหลือใช้”
จินเจตคิดตาม
เขาจำเรื่องนั้นได้ดี ตอนเขาอยู่ประถมคุณครูสั่งให้ทำเครื่องบินจากของเหลือใช้ ด้วยความตื่นเต้นเขาทำมันเสร็จภายในคืนเดียว แต่หนึ่งวันก่อนไปส่งเกิดอุบัติเหตุจนเครื่องบินลำนั้นพังไม่เป็นท่า เขาร้องไห้โวยวายอยู่หลายชั่วโมงกระทั่งนมเข้ามาปลอบแล้วบอกให้เขาเริ่มสร้างมันใหม่อีกครั้ง
กรุงโรมสร้างเสร็จในคืนเดียวได้ฉันใด เครื่องบินลำเล็กของเขาก็สร้างเสร็จได้ในคืนเดียวเหมือนกัน
ปัญหาครั้งนี้อาจจะใหญ่กว่าเครื่องบินจากของเหลือใช้หลายเท่า แต่ไม่ว่าอย่างไร ลำบากแค่ไหนเขาก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็หวังว่าคุณพ่อจะเชื่อมั่นในตัวเขามากกว่านี้
การคุยกับแม่นมอาจจะไม่ได้ช่วยให้คิดวิธีแก้ปัญหาได้แต่ก็ทำให้มีแรงฮึดสู้
ตลอดช่วงเช้าจินเจตจึงขลุกอยู่ในสวนช่วยท่านหยิบโน่นจับนี่เรื่อยเปื่อย เวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ได้ใช้ไปโดยไม่ต้องคิดอะไรนั้นช่างสบายใจอย่างน่ามหัศจรรย์
“เจ้าต่อนั่นจะไปไหน”
เจ้าของชื่อที่กำลังวิ่งไปหน้าบ้านจำต้องหยุดฝีเท้าแล้วหันขวับมามองคนในสวนที่กำลังรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยต้นไม้กันอยู่
“ต่อจะไปหาพี่เฟิน”
“เฟินลูกชายป้าช้อยร้านขายก๊วยเตี๋ยวอะนะ”
“อือ”
“ไปทำงานเมืองจีนไม่ใช่เรอะ”
“แม่คิดว่าต่อจะบินไปหาเขารึไง”
“ตลกมากมั้ยล่ะเรา” ตลกรึเปล่าไม่รู้แต่ทั้งคุณยายและจินเจตต่างก็พากันหัวเราะชอบใจ
“โธ่แม่ พี่เฟินกลับมาเมื่อเช้า ตอนนี้อยู่หน้าบ้านเราเนี่ย ไม่เชื่อก็รอตรงนี้เดี๋ยวพามาให้เจอ”
ว่าจบก็วิ่งออกไปหน้าบ้านไม่นานก็กลับมาพร้อมกับชายหนุ่มตัวสูงใบหน้าเกลี้ยงเกลาผิวขาวสไตล์หนุ่มตี๋ทว่ากลับมีดวงตากลมโตสดใส
เฟินยกมือไหว้ทักทายผู้ใหญ่ของบ้านก่อนจะถูกตรัยคุณลากเข้าไปข้างใน
จินเจตมองตามทั้งคู่ที่เดินควงแขนกันอย่างสนิทสนมแล้วอดสงสัยในความสัมพันธ์อันคลุมเครือไม่ได้จนต้องลุกขึ้นทำเป็นเดินเข้าไปข้างในโดยให้เหตุผลว่าอยากเข้าห้องน้ำ และเขาก็ต้องตกใจจนพูดไม่ออกเมื่อพบว่าในห้องรับแขกนั้นทั้งคู่กำลังจูบกันอย่างดูดดื่มอย่างไม่เกรงกลัวว่าใครจะเข้ามาเจอ
ตรัยคุณไม่มีท่าทีตกใจแม้แต่น้อย เขาเลียปากชื้นๆ ของตัวเองขณะมองมายังผู้มาใหม่
ทั้งคู่สบตากันเงียบๆ ความอึดอัดบีบร่างของจินเจตจนเขาแทบหายใจไม่ออกจนต้องเป็นฝ่ายผละออกมา
“ใครอะต่อ” คล้อยหลังร่างสูงเฟินจึงถาม
“คุณหนูของแม่กับยายอะ”
“เขาจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกแม่กับยายใช่มั้ย”
“ไม่รู้สิ” ตรัยคุณไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ “แต่ถ้าแม่กับยายรู้เข้าล่ะก็ต่อโดนตีแน่เลย บอกพี่เฟินแล้วใช่ป่ะว่าให้ใจเย็นๆ”
“ก็พี่คิดถึงต่ออะ อยากกอด”
“ไม่ต้องมาพูดเลย อดอยากปากแห้งมากนักรึไง ก็รู้ป่ะว่าต่อไม่ชอบให้ทำในบ้าน”
“แล้วให้ทำที่ไหน บ้านพี่ก็ทำไม่ได้”
“ก็ไม่ต้องทำ” ตรัยคุณว่าอย่างไม่ใส่ใจ ที่จริงการที่เขายอมให้เฟินเข้าบ้านก็เพราะเห็นว่าไม่เจอกันนาน อยากพูดคุยและทักทายในฐานะคนรู้จักที่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันบางครั้งคราวเท่านั้น
“ใจร้ายว่ะ ต่อไม่คิดจะจริงจังกับพี่บ้างเหรอ”
“เดี๋ยวบ้านเราก็เข้าหน้ากันไม่ติดหรอก”
“ไม่เห็นจะต้องแคร์เลย”
“แคร์ดิ ต่อแคร์คนที่บ้านมากกว่าพี่เฟินเยอะเลย”
“ใจร้ายเสมอต้นเสมอปลายเลยว่ะ”
“ไม่เท่าพี่เฟินมั้งมีแฟนแล้วยังมาทำแบบนี้กับต่ออีก ไม่ละอายใจบ้างเหรอ”
“ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากคนอย่างต่อนะ”
ก็จริงที่ว่าตรัยคุณเคยมีความสัมพันธ์กับคนมีเจ้าของ
“ก็แค่ความสัมพันธ์คืนเดียวต่อไม่เคยสานต่อกับพวกนั้นซักหน่อย จะมีหรือไม่มีแฟนก็ไม่เห็นจะน่าสนใจเลย”
ตรัยคุณคิดอย่างนั้นเสมอ เขาไม่ต้องการความรักจากใคร พอเรื่องบนเตียงจบก็แยกย้ายไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับใครหน้าไหนทั้งนั้น ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิด บางคนลีลาบนเตียงถูกใจมากอยากขอเบอร์ติดต่อเพื่อจะได้นัดเจอกันครั้งต่อไปแต่ก็ยั้งตัวเองเอาไว้เสมอ
เป็นอย่างนี้นี่เอง
เรื่องที่ได้ยินทำให้จินเจตที่เพิ่งใช้ห้องน้ำเสร็จตกใจนิดหน่อย
ไม่ได้รู้สึกแย่ที่ตรัยคุณชอบผู้ชายและเคยมีความสัมพันธ์ทางกายกับใครต่อใครแบบวันไนท์แสตน แต่ในยามที่ข้างในจิตใจกำลังสับสนวุ่นวายเขาคงไม่สามารถมองหน้าอีกฝ่ายได้ซักพัก
เช่นนั้นจินเจตจึงเลือกออกไปยังสวนผ่านประตูหลังบ้านแทนที่จะกลับทางเดิม
จะสามารถมองตรัยคุณด้วยสายตาแบบเดิมได้มั้ยนะ
จินเจตถามเฝ้าถามตัวเอง
แม้รู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบก็คืออะไรแต่เขาก็ยังถามตัวเองซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น
[TBC]
ตอนต่อไปและต่อๆ ไปจะแซ่บแล้วนะจ๊ะ
ฝาก #ตรัยคุณเป็นคนพิเศษด้วยน๊า
จะพยายามอัพเดตให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ :)