“ผมชอบนะ” ตรัยคุณออดอ้อนด้วยยิ้มหวานทีไรเรื่องลำบากใจตามมาทุกทีจนจินเจตนึกขยาดถึงแม้ยิ้มนั้นจะทำให้สดชื่นก็ตาม
“ของคุณแม่”
“ถ้าผมไม่พูด คุณหนูไม่พูดก็ไม่มีใครรู้หรอก” นั่นไง ตัวเองเก็บไว้ใช้เองไม่พอยังขอให้จินเจตเก็บเป็นความลับอีก
“เลิกเรียกคุณหนูได้ยัง” ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ
“อะไรกัน ทีแม่กับยายยังเรียกได้เลย สองมาตรฐานชัดๆ”
“เธอไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเรียกฉันอย่างนั้นได้”
ตรัยคุณเกิดหลังจากที่คุณยายซึ่งเป็นแม่นมย้ายออกจากบ้านเมื่อคุณแม่แต่งงาน เป็นเช่นนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่ตรัยคุณต้องเรียกเขาตามผู้ใหญ่ในบ้าน
“งั้นก็เรียกนายใหญ่”
“กะอีแค่เรียกพี่เจตมันยากนักหรือไง”
“มาก” ที่จริงก็ไม่ยาก บางครั้งก็เรียกแต่ตอนนี้ไม่อยากเรียกก็เลยรู้สึกว่ามันยากที่จะต้องฝืนใจตัวเอง
ตรัยคุณตอบหน้าตายด้วยน้ำเสียงยียวนพร้อมกับฉีดน้ำหอมลงบนข้อมือตนเองอีกครั้งก่อนยกขึ้นมาใกล้จมูก
หอมมาก ลองดมอีกครั้งก็รู้สึกราวกับว่าตนยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้นานาพันธุ์
อยากได้จังเลยน้า ถ้าขอแม่ดีๆ แม่ต้องยอมให้ง่ายๆ แน่ แต่คนซื้อมาฝากนี่สิปัญหาใหญ่
“มันเข้ากับผมมากเลยนะคุณหนู” คนถูกเรียกคุณหนูถอนหายใจมองตรัยคุณที่กำลังฉีดน้ำหอมลงบนซอกคอของตน “ถ้าไม่เชื่อลองดมดูก็ได้”
“ถ้าเธอไม่เลิกเรียกฉันว่าคุณหนูล่ะก็...” จินเจตหยุดประโยคบอกเล่าเอาไว้ก่อนก้าวเพียงหนึ่งก้าวเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่าย ด้วยความตกใจที่อยู่ๆ คนเป็นคุณหนูก็เปลี่ยนท่าทีตรัยคุณจึงก้าวถอยแต่ช่างโชคร้ายเมื่อด้านหลังของเขาคือโซฟา
เจ้าของร่างสมส่วนเสียหลักนั่งลงบนเบาะนุ่มๆ
เจ้าของห้องลอบยิ้มชอบใจเมื่อเห็นคนเก่งแสดงท่าทางคล้ายหวาดกลัว
มาถึงขนาดนี้แล้วแกล้งซักหน่อยจะเป็นไรไป
คิดอย่างนั้นพลางโน้มลำตัวลงมา ฝ่ายตรัยคุณที่ตั้งสติได้แล้วก็ไม่มีท่าทีจะล่าถอย กลายเป็นว่าระยะห่างของทั้งคู่ค่อยๆ ลดลงจนกลายเป็นใกล้ชิด
“ถ้าผมไม่หยุดเรียกคุณหนูว่าคุณหนูจะทำไมเหรอครับ” ตรัยคุณถามพร้อมกับมือเรียวที่ยกขึ้นสัมผัสปกเสื้อเชิ้ตสีขาวของอีกฝ่าย ใช้นิ้วลูบไล้มันคล้ายกับยั่วอารมณ์ จะเป็นอารมณ์โมโหหรืออะไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับจินเจตแล้ว
“เธอนี่มัน...” ครั้นจะผละออกเพราะไม่สามารถสบตากับอีกฝ่ายในระยะประชิดได้อีกต่อไปก็ถูกรั้งคอเสื้อเอาไว้ “ไม่รู้จักกลัวบ้างหรือไง” ว่าพลางขืนตัวไว้
“กลัวอะไรครับ คุณหนูแค่จะลองดมน้ำหอมไม่ใช่เหรอ” ไม่พูดเปล่าตรัยคุณยังเอียงคอให้คนตรงหน้าดมน้ำหอมได้อย่างถนัด เป็นคนอายุมากกว่าเสียเองที่ทำตัวไม่ถูก
“กลิ่นมันไม่เหมาะกับเธอหรอก และถึงแม้จะเหมาะฉันก็ไม่มีทางยกให้”
“ใจร้ายจัง ยังไม่ลองดมเลยด้วยซ้ำ”
“กลับเลยมั้ย” เมื่อเจ้าเด็กเอาแต่ใจไม่มีท่าทีเปลี่ยนใจจินเจตจึงเปลี่ยนเรื่อง
“อยากได้น้ำหอมอะ” ตรัยคุณว่าอย่างเอาแต่ใจก่อนยกตัวขึ้นให้ใบหน้าอยู่ในระดับซอกคอของคนเป็นเจ้าของห้อง เป็นอีกครั้งที่จินเจตทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ๆ ก็มีคนมาทำจมูกฟุตฟิตแถวซอกคอ ถ้าไม่ตกใจสิแปลก
“อะไรของเธอเนี่ยต่อ”
“กลิ่นนี้ก็หอม ผมขอแลกเสื้อกับน้ำหอมคุณหนูได้มั้ย”
“แค่ได้น้ำหอมทุกอย่างก็จบใช่มั้ย”
คนถูกถามพยักหน้ารับอย่างง่ายดาย มองหน้าคุณหนูแล้วก็นึกขำ ด้วยวุฒิภาวะแล้วเขาน่าจะเก็บอารมณ์ได้ดีกว่านี้หน่อยใช่มั้ยล่ะ แต่นี่อะไรกัน คิดอะไรอยู่ก็แสดงออกทางสีหน้าหมดเลย
“รออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวฉันมา” เจ้าของห้องชี้นิ้วออกคำสั่ง
“คุณหนูจะไปไหน”
“เธออยากได้อะไรล่ะ”
“น้ำหอมแน่นอนอยู่แล้ว”
“ฉันก็จะไปเอาน้ำหอมมาให้เธอไง” ทั้งที่อยากแกล้งต่ออีกซักหน่อยแท้ๆ แต่เดี๋ยวเอาไว้แกล้งหลังจากได้ของแล้วก็ได้ อย่างไรก็ไม่สายเกินไปหรอก
พูดถึงน้ำหอม ที่จริงตรัยคุณก็ไม่ได้โปรดปรานมันขนาดนั้น แต่จินเจตดูหวงของที่ซื้อมาให้อดีตพี่เลี้ยงตัวเองมากๆ ก็เลยอดแกล้งไม่ได้
รอไม่นานคนเป็นเจ้าของห้องก็กลับออกมาพร้อมกับขวดน้ำหอม เขามาหยุดตรงหน้าแล้วยื่นมันให้คนที่ร้องขอว่าอยากได้นักหนา
“ขอบคุณครับ ผมลองเลยได้มั้ย”
“ก็แล้วแต่เธอ” ถึงแม้จินเจตจะไม่อนุญาตตรัยคุณก็คงดื้อด้านลองมันอยู่ดี เขาลองฉีดมันที่ท้องแขนตรงข้อมือคนละข้างกับที่เคยลองน้ำหอมคุณแม่ ก้มดมก่อนจะทาที่หลังใบหู
“ใช่กลิ่นที่คุณหนู เอ้ย คุณเจตใช้แน่เหรอ” เพราะว่าอีกฝ่ายยอมตามใจก็เลยคิดว่าทำตัวเป็นเด็กดีซักหน่อยดีกว่า
“ใช่สิ”
“กลิ่นไม่เห็นจะเหมือน หลอกปะเนี่ย”
“ฉันจะหลอกเธอให้ได้อะไรขึ้นมาเหรอต่อ”
“ก็ไม่รู้ ดูท่าทางคุณก็ไม่ค่อยเต็มใจให้มันกับผมซักเท่าไหร่ด้วยสิ”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงให้เธอเข้าใจในเมื่อเธอมองฉันในแง่ร้ายขนาดนี้”
“งอนหรือเปล่าครับเนี่ย บอกไว้ก่อนเลยว่าผมไม่ง้อนะ”
“ฉันก็ไม่เคยหวังให้เธอทำแบบนั้น”
“ดีแล้วครับจะได้ไม่ผิดหวัง ผมกลับเลยดีกว่า” ขวดน้ำหอมถูกวางลงก่อนตรัยคุณจะลุกขึ้นยืน
“ไม่เอาเหรอ” ถามด้วยความสงสัยทั้งที่เมื่อครู่อยากได้มากแท้ๆ แต่พอได้รับกลับไม่ยอมเอากลับบ้านด้วยซะงั้น
“มันไม่ใช่กลิ่นที่ผมอยากได้”
“ฉันไม่ได้โกหกนะต่อ”
“ผมไม่คิดว่าคุณเจตโกหกหรอก ที่จริงที่ผมชอบน้ำหอมกลิ่นนี้คงเพราะมันอยู่บนตัวคุณมั้ง” ตรัยคุณว่าพร้อมยิ้มหวานหว่านเสน่ห์
ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวตั้งใจหรือเปล่าแต่คนได้รับรอยยิ้มนั้นตกอยู่ในภวังค์แล้ว
นายใหญ่ต้องรีบบึ่งรถกลับเข้าประชุมด่วนที่กรุงเทพในเช้าวันต่อมาจึงไม่มีโอกาสได้เห็นคนเห่อของใหม่
“ขี้อวดฉิบหาย”
“ได้ใช้ของแพงก็ต้องอวดกันหน่อยสิ” คนเห่อของว่าพลางสะบัดมือปัดฝุ่นที่ปลิวมาเกาะเสื้อตัวใหม่
ถามว่าตรัยคุณเห่อของขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าไม่ยอมตัดป้ายราคาทิ้งนั่นแหละ น่าเสียดายที่คนซื้อมาฝากไม่มีโอกาสได้เห็น
“ของฝากจากนายใหญ่เหรอ”
“อือ” ตรัยคุณตอบพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
“อิจฉาว่ะกูก็อยากสนิทกับนายใหญ่บ้างเหมือนกัน”
“แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ว่ะ แต่แข่งบุญแข่งวาสนามันแข่งไม่ได้จริงๆ”
พิพิธเพื่อนวิศวกรรุ่นราวคราวเดียวกันที่อายุงานมากกว่าตรัยคุณเพียง 2 เดือนส่ายหน้าหน่ายให้กับความขี้โม้โอ้อวด เพราะเป็นอย่างนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตรัยคุณจะถูกเพื่อนวิศวกรคนอื่นๆ ในโรงงานเหม็นขี้หน้า แต่เจ้าตัวก็หาได้สนใจไม่ เป็นเด็กเส้นก็คือเด็กเส้น ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้
“ไปแข่งกันทำงานก็จะดีนะพวกมึง” ขณะคุยกันอย่างออกรสหัวหน้าก็เดินเข้ามา ทั้งคู่หันขวับไปมอง พิพิธหน้าซีดเผือดต่างจากเด็กเส้นที่ยังมีสีหน้าปกติ
“โธ่หัวหน้า นายใหญ่ก็ไม่อยู่ หยวนๆ หน่อยน่า”
“ไม่ได้ ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังนายใหญ่เราก็ต้องทุ่มเทให้กับการทำงานเข้าใจไหม” ทั้งคู่พยักหน้ารับด้วยท่าทางหน่ายใจ
หัวหน้าน่ะจริงจังจนเกินเหตุ แต่ถึงอย่างนั้นตรัยคุณก็รู้สึกชื่นชมเขาอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงานจนถึงตอนนี้หัวหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลย ช่างเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ
ในห้องประชุมเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเมื่ออยู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
วัตถุดิบสำคัญในการผลิตเบียร์ตัวใหม่ถูกไฟไหม้เสียหายไปกว่า 80% ส่งผลให้ต้นทางไม่สามารถส่งสินค้าตามออร์เดอร์ได้เลย ลำพังวัตถุดิบที่มีอยู่ในคลัง คำนวนอย่างไรก็ไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของตลาด
“เป็นไปได้มั้ยถ้าเราจะชะลอการผลิตไปก่อน” ในฐานะผู้ดูแลผลิตภัณฑ์โดยตรง ทำไมจินเจตจะไม่รู้ว่าการชะลอการผลิตส่งผลเสียมากขนาดไหน แต่ในเมื่อไม่มีทางออกอื่นจึงจำต้องเสนอทางออกนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ได้ยังไงกัน สินค้ากำลังติดตลาดเลยนะคะคุณเจต” หนึ่งในผู้บริหารยกมือคัดค้าน
“แต่เราหาวัตถุดิบคุณภาพตามสเป็กไม่ทันแน่นอนครับ” และกว่าพื้นที่เพาะปลูกจะได้รับการฟื้นฟูก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย
“ไม่ได้เด็ดขาด” ท่านประธานใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “น้ำขึ้นก็ต้องรีบตักสิ”
“เราจะตักได้ยังไงครับท่านประธานในเมื่อวัตถุดิบมันไม่มี”
“ก็ลดคุณภาพวัตถุดิบซะสิ แค่ผลิตให้ได้รสชาติเหมือนเดิมใครมันจะไปรู้” ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้บริโภคทั่วไปไม่มีทางรู้แต่นั่นมันเท่ากับหลอกลวงผู้บริโภคไม่ใช่เหรอ
ตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำงานบริหารผลิตภัณฑ์จินเจตให้คำมั่นกับตัวเองเอาไว้ว่าเขาจะไม่มีทางทรยศความไว้วางใจของผู้บริโภคที่เป็นส่วนสำคัญทำให้บริษัทของคุณพ่อเติบโตจนกลายเป็นบริษัทแถวหน้าของประเทศอย่างแน่นอน
“ไม่ได้ครับ ถ้าทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่าเราหลอกลวงและไม่ซื่อสัตย์กับผู้บริโภคนะครับ” เช่นนั้นเขาจึงค้านหัวชนฝา
“แกมีทางออกที่ดีกว่านี้หรือไง” ทั้งที่ควรจะคิดได้ทันทีแต่ในยามนี้ชายหนุ่มกลับมืดไปทั้งแปดด้าน
ทั้งที่สินค้าเพิ่งจะออกตลาดไปแท้ๆ อีกทั้งยังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากแต่กลับต้องมาเจอวิกฤตที่ไม่สามารถต้านทานได้ไม่ว่าทางไหนก็ตาม
จะหยุดผลิตก็ไม่ได้ ปล่อยให้ขาดทุนก็ไม่ไหว ลดคุณภาพของวัตถุดิบเหรอ บ้าไปแล้ว เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำนั้นจากปากคุณพ่อที่เคารพและนับถือเลย
โทรศัพท์ที่ตั้งเป็นระบบสั่นส่งเสียงครืดคราดในช่วงกลางดึกจนคนที่เพิ่งหลับจำต้องงัวเงียตื่นขึ้นมา
ตรัยคุณนึกในใจว่าหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายล่ะก็เจ้าของชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอเตรียมตัวขึ้นเมรุได้เลย
“คุณเจต” ชื่อที่ปรากฏขับไล่ความงัวเงียไปจนสิ้น
“นอนรึยัง”
“ดึกขนาดนี้นายใหญ่คิดว่าผมทำอะไรอยู่ล่ะครับ”
“ถ้าว่างก็ออกมาดื่มเป็นเพื่อนหน่อย”
“ตอนนี้เนี่ยนะ”
“อืม” เที่ยงคืน ให้ตายเถอะว่ะคิดว่าเป็นคนเซ็นอนุมัติจ่ายเงินเดือนแล้วจะเรียกใช้งานเมื่อไหร่ก็ได้อย่างนั้นเหรอ บ้าไปแล้ว
“พรุ่งนี้ผมเข้างานกะเช้า” แม้รู้ดีว่าไม่ควรปฏิเสธแต่ตรัยคุณก็ยังอยากจะลองดู
“เดี๋ยวฉันบอกหัวหน้าเธอให้หาคนอื่นมาทำแทน ลงมาได้ยัง”
“เอาแต่ใจจัง”
“ฉันรอหน้าตึก”
“ตึกไหน”
“หอพักเธอ” เอาแต่ใจได้โล่สมเป็นคุณหนูลูกเศรษฐี ตัวเองไม่หลับไม่นอนยังมาลากคนอื่นให้ตื่นด้วยอีก นิสัยไม่ดี
ตรัยคุณเกาหัวแรงๆ จนผมยุ่งเหยิงก่อนลุกจากเตียงอย่างเกียจคร้าน เขาสวมสลิปเปอร์ก่อนเดินออกจากห้องมายังหน้าตึกและก็พบว่าคุณหนูของแม่ยืนพิงรถรออยู่จริงๆ
“ลมอะไรหอบมา” ตรัยคุณร้องทักทั้งที่อีกเป็นร้อยเมตรกว่าจะถึงตัวอีกฝ่าย
“ลมยุโรปราคาหลายร้านคันนี้ไง” คนรวยพยักพเยิดไปยังรถยนต์คันหรูของตน ตรัยคุณส่ายหน้าหน่อยๆ อย่างไม่รู้ว่าจะปฏิเสธความรวยของอีกฝ่ายได้ยังไง
“ชวนผมดื่มดึกๆ แบบนี้มีเรื่องเครียดแน่เลย” เขาถามเมื่อก้าวมาหยุดตรงหน้าจินเจต เมื่อได้มองกันตรงๆ ก็พบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
“เครียดไม่ได้เหรอ”
“ถ้าเครียดแล้วไม่รบกวนคนอื่นก็เครียดได้อยู่หรอก”
“ฉันรบกวนเธอเหรอต่อ” ยังมีหน้ามาถามอีก ถึงไม่มีนาฬิกาบอกเวลาก็ควรรู้สิว่าหลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วไม่ควรขับรถไปหาใครสุ่มสี่สุ่มห้า
“นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วครับ”
“ดึกแล้วเนอะ งั้น...เราไปดื่มบนห้องเธอได้รึเปล่า”
“ผมไม่รับแขก”
“งั้นนั่งดื่มในรถ” ในเมื่อเจ้าของห้องไม่อนุญาตเจตก็ไม่คิดจะเซ้าซี้
“ก็ได้ เอาที่คุณสะดวกเลย” ตรัยคุณเข้ามานั่งบนเบาะฝั่งด้านข้างคนขับ เช่นเดียวกับที่เจ้าของรถเองก็เข้ามานั่งข้างกัน เมื่อมองไปยังเบาะหลังก็พบเบียร์ยี่ห้อที่พวกเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี “ไม่คิดจะดื่มเบียร์ยี่ห้ออื่นบ้างเหรอ”
“แล้วเบียร์ของบริษัทเราไม่อร่อยตรงไหน”
“ไม่ได้บอกว่าไม่อร่อยซักหน่อย”
จินเจตเอี้ยวตัวกลับไปหยิบเบียร์มายื่นให้ ตรัยคุณรับมาถือไว้ก่อนโดยที่ยังไม่คิดจะเปิดกระป๋อง
“พรุ่งนี้มีคนทำงานแทนผมแล้วจริงๆ ใช่มั้ย”
“ดูเธอไม่น่าจะเป็นคนห่วงงานเลยนะ”
“ผมเป็นคนขยันจะตาย”
“งั้นเหรอ” คนฟังตอบรับอย่างเอื่อยเฉื่อย ถ้าหากตัดสินจากรูปลักษณ์และท่าทางการแสดงออกอย่างกระตือรือร้นคงทำใจเชื่อได้อย่างง่ายดาย แต่ในยามที่ทำงานร่วมกันมากว่า 2 ปี อย่างไรก็ไม่มีทางเชื่อตรัยคุณแน่
ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบครอบครองพื้นที่ภายในรถคันหรู ไม่ใช่ว่าตรัยคุณไม่อยากรู้ถึงต้นสายปลายเหตุความเครียดของอีกฝ่ายแต่ในเมื่อเขาไม่ยอมเล่าออกมาเองก็ไม่อยากเซ้าซี้ถาม
“ฉันควรทำไงดี”
ตรัยคุณชะงักมือที่กระดกเบียร์เข้าปาก หันมองคนที่ไม่รู้ว่าพึมพำลำพังหรือกำลังคุยกับตนกันแน่
“ฉันควรทำไงต่อไปดีต่อ”
ใบหน้าของจินเจตตอนที่หันมามองกันเต็มไปด้วยความเครียดและกังวลอย่างเห็นได้ชัด เพราะเมาแล้วจึงกล้าแสดงความรู้สึกทั้งหมดรวมทั้งเล่าเรื่องที่กำลังกลัดกลุ้มออกมาจนหมดเปลือก
ถ้าหากเป็นคนอื่นอาจจะมีคำแนะนำดีๆ ให้บ้างแต่สำหรับตรัยคุณนอกจากเรื่องเครื่องจักรแล้วเขาก็ไม่ได้รอบรู้อะไรเป็นพิเศษ เพราะไม่รู้ว่าควรโต้ตอบอย่างไรจึงได้แต่เงียบเฉยเพื่อรับฟัง
ว่ากันว่าในยามกลัดกลุ้มหากได้ระบายออกมาให้ใครฟังบ้างจะทำให้รู้สึกดีขึ้น ตรัยคุณเองก็หวังเช่นนั้น
“ไม่คิดจะให้คำปรึกษาอะไรกันบ้างเหรอ”
คนถูกถามส่ายหน้าเบาๆ
“ถ้าผมเก่งขนาดนั้นก็คงไปทำงานฝ่ายบริหารแล้วล่ะ”
“ก็ถูกชองเธอ ขนาดฉันเองยังคิดไม่ออกเลย ฉันมันเป็นผู้บริหารที่แย่จริงๆ” ถึงไม่อยากยุ่งเรื่องคนอื่นแต่ตรัยคุณไม่ชอบเลยเวลาได้ยินคำพูดคล้ายตำหนิตัวเองแบบนี้
“คุณหนู”
“หืม”
“วันนี้นอกจากเรื่องแย่ๆ ที่ทำให้เครียดจนต้องขับรถมาชวนผมกินเบียร์แล้วเจออะไรที่มันดีๆ และทำให้ยิ้มได้บ้างมั้ย”
“ก็...” คิ้วเข้มขมวดมุ่นขณะใช้ความคิดอย่างหนัก “ฉันขับรถมาหาเธอโดยสวัสดิภาพ”
“เก่งมากครับ”
“อะไรกัน ไม่เห็นจะน่าภูมิใจ”
“หัดชมตัวเองบ้างก็ดีนะครับคุณหนู”
“ชมตัวเอง” จินเจตถามซ้ำ
“ไม่ได้ชมให้เหลิงแต่ชมเพื่อให้ตัวเราเองได้รู้ว่าเรายังมีข้อดี ได้เจอเรื่องราวดีๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง ผมน่ะชมตัวเองทุกวันเลยนะ อย่างวันนี้ใส่เสื้อที่คุณหนูซื้อมาฝากแล้วหล่อมากก็ชมตัวเองหน้ากระจก วันก่อนนั่งเฝ้าเครื่องโดยไม่วอกแวกได้ตั้ง 1 ชั่วโมงก็ให้รางวัลตัวเองด้วยของกินอร่อยๆ”
“เธอทำจริงหรือแค่ขายขำ”
“ขายขำอะไร ผมพูดจริงนะ ไม่เชื่อก็ลองทำดูสิ มันรู้สึกดีจริงๆ”
“ทำยังไง”
“ชมตัวเองอย่างที่ผมบอกไง”
“ชมให้ดูเป็นตัวอย่างหน่อยสิ”
ก็ได้ๆ ตรัยคุณยกธงขาวยอมแพ้ก่อนจ้องลึกเข้าไปดวงตาคมเข้มของอีกฝ่าย “วันนี้คงเต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวายแต่คุณหนูเก่งมากเลยนะที่ผ่านวันนี้มาได้ ทางแก้ปัญหาอาจจะยังหาไม่เจอในพรุ่งนี้มะรืนนี้ แต่ผมเชื่อว่าซักวันนึงคุณหนูต้องแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้แน่นอน”
พูดเองก็ขนลุกเอง ต่างจากจินเจตที่ดูเหมือนจะพอใจกับคำชมของตรัยคุณมาก
“ขอบคุณมากนะต่อ”
“ถ้าพอใจแล้วก็กลับไปนอนครับ คุณเมาแล้ว”
“ขับรถไม่ไหวหรอก นอนห้องต่อได้มั้ย”
“ไม่ได้”
ตรัยคุณตอบโดยไม่คิด ห้องนั้นเป็นโลกส่วนตัวของเขา แน่นอนว่าเมื่อขึ้นชื่อว่าส่วนตัวย่อมไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่มย่ามอยู่แล้ว
“ฉันขับรถไม่ไหว” ไม่รู้ว่าตนเองเมาเบียร์กระป๋องเดียวที่ดื่มเข้าไปหรือเปล่าถึงได้ยินอีกฝ่ายอ้อน
“เดี๋ยวผมไปส่ง” เบียร์ที่ซื้อมาหมดพอดี ทั้งคู่จึงสลับที่นั่งกัน
ไม่กี่ครั้งหรอกที่จะถูกตรัยคุณดูแลเอาใจใส่ เพราะเป็นเช่นนั้นท่ามกลางความเครียดที่กำลังรุมเร้าจินเจตจึงยิ้มออกบ้าง
ห้องของจินเจตเจตกว้างขวางและตั้งอยู่บนคอนโดสูงวิวทะเล
เจ้าของห้องทิ้งตัวลงบนเตียงนอนทันทีด้วยความเหนื่อยล้า ถุงเท้าก็ไม่ยอมถอดและไม่ต้องหวังเลยว่าตรัยคุณจะบริการให้ ฝันไปเถอะ คนที่ถึงแม้จะไม่เมาแต่ก็เหนื่อยล้าเต็มทนมองภาพคนอายุมากกว่านอนแผ่หราอยู่บนเตียงแล้วส่ายหน้ากับสภาพที่เห็น
กลับห้องไม่ไหวหรอกสภาพนี้
“คุณขยับไปฝั่นโน้นหน่อย” ไร้เสียงตอบรับใดนอกจากเสียงหายใจดังฟี้ๆ ของคนหลับลึก
ให้ตายเถอะ
ตรัยคุณทึ้งผมยุ่งๆ ของตัวเองก่อนก้าวขึ้นไปยืนบนเตียงก่อนลงมือลากเจ้าของห้องไปอีกฝั่งด้วยตัวเอง และนั่นก็ทำให้พลังงานเฮือกสุดท้ายหมดลง
มันเป็นกลิ่นหอมที่คุ้นเคย
ตรัยคุณลืมตาขึ้นมาบนเตียงกว้าง ใช้เวลาประมวลผลนิดหน่อยก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงของจินเจต
“ขี้เซาจังนะเรา” เมื่อหันไปมองยังต้นเสียงก็พบเจ้าของห้องในสภาพที่ทั้งเนื้อทั้งตัวพันผ้าขนหนูไว้เพียงผืนเดียว
หุ่นชวนฝันนั้นเกือบทำให้ตรัยคุณเคลิ้มอยู่แล้ว หากไม่ติดที่ว่าเขาเป็นคนโปรดของทั้งคุณยายและแม่ตน
“เมาหนักขนาดนั้นยังตื่นเช้าได้อีก”
ถ้าเป็นตรัยคุณล่ะก็พระอาทิตย์ไม่ส่องตูดเราไม่ตื่น
“ก็ไม่ได้เมาขนาดนั้นซักหน่อย”
“ไม่เมาเลยเนอะ” ตาเยิ้มขนาดนั้นถ้าบอกว่าแกล้งเมาคงเชื่อยาก
“ที่จริงนะต่อ” จินเจตว่าพลางหมุนตัวแล้วก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าคนที่นั่งอยู่ปลายเตียง “ฉันแค่แกล้งเมา”
“เห็นว่าเป็นเจ้านาย ผมจะปิดหูปิดตาเชื่อก็แล้วกัน แล้วก็นะ…” ตรัยคุณว่าด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์พลางช้อนตามอง ขณะนิ้วซุกซนวาดวนอยู่ที่ปมผ้าขนหนู “ผมอยากเอาคืนที่คุณแกล้งผมแล้วสิ”
แค่มองหน้าก็พอรู้แล้วว่าตรัยคุณจะทำอะไร “เล่นอะไรเป็นเด็กๆ”
มือเรียวถูกปัดออกหากแต่เจ้าของมันก็ไม่รู้สึกโกรธแม้แต่น้อย ทั้งยังหัวเราะชอบใจเสียด้วยซ้ำ
“คิดว่าผมจะทำอะไรเหรอครับคุณหนู”
“จะไปรู้เรอะ”
“ไม่รู้แต่จับผ้าขนหนูไว้แน่นเชียว” เจ้าเด็กว่ากลั้วขำพลางโบกมือไปมา “ของแบบนั้นน่ะผมไม่อยากดูหรอกน่า ถ้าเจ้าของไม่เต็มใจ”
ทะเล้น
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว ฉันหิว”
“เกี่ยวไรอะ” ตรัยคุณถามก่อนหันไปสำรวจขวดน้ำหอมซึ่งวางเรียงรายอยู่หน้ากระจก
“จะได้ออกไปหาอะไรกิน”
“ผมไม่หิว” นิ้วเรียวไล่สัมผัสขวดน้ำหอมไปเรื่อยกระทั่งสะดุดตากับขวดที่ค่อนข้างคุ้นเคย “ขอลองอันนี้หน่อยนะ”
“ลองอะไร เสียของ ยังไม่ได้อาบน้ำเลย”
“ขี้งกจัง” ตรัยคุณยู่หน้า ถือขวดน้ำหอมทรงสี่เหลี่ยมสูงนั้นไว้ในมือก่อนก้าวเข้าไปหาคนเป็นเจ้าของ
ท่าทางคุกคามสร้างความตระหนกไม่น้อย แต่จินเจตก็ไม่ได้ถอยห่าง เขาทำเพียงยืนนิ่งมองท่าทีของอีกฝ่ายอย่างสนอกสนใจ
จะทำอะไรกันแน่นะต่อ
ขณะที่กำลังจ้องมองเจ้าของมือเรียวที่กำลังยกขวดน้ำหอมขึ้นมาระดับอกไม่ละสายตา กลิ่นหอมก็ลอยฟุ้งพร้อมกับความรู้สึกเย็นวาบตรงอก
จินเจตเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ ตรัยคุณก็โน้มใบหน้าเข้ามาหา ใช้จมูกรั้นดอมดมตรงอกแกร่งของเขาด้วยท่าทางสบายๆ ต่างกับตนที่หัวใจเต้นแรงเสียจนแอบกลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะได้ยิน
“หอมแฮะ กลิ่นไม่เหมือนตอนดมจากขวดเลย” ตรัยคุณเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยด้วยสีหน้าฉงนสงสัย
“เพราะฉันเนื้อหอมล่ะมั้ง”
“งั้นเหรอ ผมชอบนะ” ตรัยคุณน่าจะหมายถึงชอบกลิ่นน้ำหอม แต่เพียงแค่ฟังประโยคนั้นคนฟังกลับเขินจนต้องถอยออกห่าง
จินเจตผละออกมา เขาทำทีเป็นเลือกเสื้อผ้าในตู้ ทว่าจิตใจกลับยังจดจ่อกับคนที่กำลังหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่เขาใช้แล้วขึ้นมา
“มีของใหม่อยู่ในตู้เล็กนั่น”
“ไม่เป็นไร ผมไม่ถือ”
“แต่ฉันใช้มันเช็ดตัวแล้ว”
“คุณหนูเป็นโรคผิวหนังรึเปล่า”
“ไม่”
“งั้นก็ไม่เป็นไร”
ดื้อ ตรัยคุณนี่มันดื้อเกินเยียวยา
ตรัยคุณเข้าห้องน้ำไปนานแล้ว นานจนคนเป็นเจ้าของห้องแต่งตัวเสร็จพร้อมออกไปข้างนอก
เสียงน้ำก็ไม่ได้ยิน ไม่ใช่ว่าแอบเข้าไปหลับในห้องน้ำหรอกนะ
“เธอเข้าไปทำอะไรตั้งนาน” ทันทีที่เด็กหนุ่มเดินออกมาด้วยสภาพไรผมเปียกชื้น จินเจตก็เอ่ยถามทันที
ตรัยคุณมุ่นคิ้วนิดหน่อยให้กับคำถาม “ห้องน้ำมีไว้ทำอะไร ผมก็ทำอย่างนั้นแหละครับ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ไม่มีกลิ่นหรอก”
“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นซักหน่อย”
“แล้วห่วงเรื่องอะไรล่ะครับ อ่อ ผมยืมแปรงสีฟันนะ”
“มีสำรองอยู่ในตู้”
“อืม ผมใช้อันที่วางอยู่ในแก้วตรงอ่างแล้ว”
“อันนั้นของฉันนะต่อ”
“ไม่เป็นไรผมไม่ถือ แต่ถ้าคุณหนูรังเกียจก็เก็บทิ้งไปเลย”
คนเป็นเจ้าของแปรงสีฟันได้แต่ถอนหายใจหน่าย แต่คนถูกตำหนิไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังเดินลูบท้องออกจากห้องนอนไปยังห้องครัวหน้าตาเฉย
“หิวจังเลย” ได้ยินเสียงบ่นแว่วมาขณะเดินตามออกไป
คนฟังอดคิดไม่ได้ว่าไหนเมื่อกี้ใครบอกไม่หิว
“มีเครื่องปิ้งขนมปังด้วย แต่ทำไมมันใหม่จัง” ตรัยคุณลูบเครื่องปิ้งขนมปังคล้ายสำรวจ
มันจะไม่ดูเหมือนใหม่ได้อย่างไรกัน ในเมื่อตั้งแต่ซื้อมาจินเจตไม่เคยใช้งานมันเลยซักครั้ง สำหรับคนไม่ชอบทานข้าวลำพังที่บ้านไม่ว่ามื้อไหนๆ เจ้าพวกของใช้ในครัวเรือนก็ไม่ต่างอะไรจากของตกแต่งห้องชิ้นนึงเท่านั้น
“จะกินขนมปังรึเปล่า”
เพราะว่าในห้องไม่มีของกินอื่นเลยนอกจากกาแฟ เมื่อตรัยคุณพยักหน้ารับคนเป็นเจ้าของห้องจึงต้องลงไปซื้อขึ้นมาให้
คล้อยหลังอีกฝ่ายตรัยคุณเริ่มสำรวจห้องครัว เขาต้องเตรียมน้ำร้อนชงกาแฟระหว่างรอ และเพราะไม่รู้ว่าคุณหนูชอบดื่มกาแฟแบบไหนก็เลยชงแค่ในส่วนของตัวเอง
จินเจตถือขนมปังไว้ในมือ กลิ่นกาแฟหอมฟุ้งชวนให้รู้สึกสดชื่นเมื่อเดินตรงเข้ามาในห้อง ตรัยคุณนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะ คนเป็นเจ้าของห้องพยายามมองหากาแฟส่วนของตนแต่ก็ไม่มี
“ไม่มีน้ำใจเลยอุตส่าห์ลงไปซื้อขนมปังมาให้”
“ไม่รู้นี่ว่าคุณชอบดื่มกาแฟแบบไหน ถ้าเกิดชงแล้วคุณไม่กินก็ต้องทิ้ง น่าเสียดายแย่” ที่ตรัยคุณพูดก็มีเหตุผลดี ดังนั้นคนอายุมากกว่าจึงไม่ว่าอะไรต่อนอกจากเดินไปชงกาแฟเอง
ถึงจะบอกว่าไม่รู้แต่สิ่งที่ตัวเองทำก็เหมือนคนไร้น้ำใจอย่างที่จินเจตว่าจริงๆ เช่นนั้นตรัยคุณจึงจับจ้องและสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายไม่คลาดสายตาจนได้รู้ว่ากาแฟที่คนโปรดของคุณยายชอบเป็นแบบเข้มๆ ไม่ใส่น้ำตาล
“กินกาแฟแบบนั้นเข้าไปได้ยังไง”
จินเจตหยุดมือที่กำลังคนกาแฟก่อนมองหน้าคนถาม “อร่อยดีออก”
“ผมเคยดื่มกาแฟแบบนั้นตอนทำธีสิส ปรากฏว่าตาค้างนอนไม่หลับเกือบ 30 ชั่วโมง”
“อ่อนไง”
“ครับ” ประหลาดจริง ปกติตรัยคุณไม่ยอมจบบทสนทนาง่ายๆ แบบนี้ อย่างน้อยก็ต้องต่อปากต่อคำบอกว่า ‘ผมไม่อ่อน’ อะไรแบบนี้ ตั้งใจจะแซวแต่เมื่อเงยหน้าจากแก้วกาแฟก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังยืนกินขนมปังปิ้งที่หน้าเตาอย่างเอร็ดอร่อย
“กินคนเดียวก็ได้เหรอ”
ตรัยคุณหันมามองทั้งที่ขนมปังปิ้งยังคาปากก่อนจะหยิบมันออกมาถือไว้ “ผมมันก็แค่คนอ่อนๆ คนนึง ไม่กล้าปิ้งขนมปังให้นายใหญ่หรอกครับ”
ว่าแล้วเชียว ไอ้เด็กบ้าเอ้ย
[TBC]
ไอ้เจ้าตรัยคุณ ถ้าไม่ใช่คุณเจตก็ไม่รู้แล้วว่าจะมีใครยอมเธอได้อีกมั้ย
ปากบอกไม่ให้ แต่เดินเข้าไปหยิบน้ำหอมให้น้องแล้ว
มันยังไงกันนะคุณเจต ไหนบอกซิ