ภายในโรงงานมีเพียงเสียงเครื่องจักรที่กำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง ต่างจากวิศวกรคุมเครื่องที่กำลังนั่งสัปหงก
“พวกมึงนายใหญ่มาตรวจโรงงานว่ะ” เสียงโหวกเหวกของพิเชษฐ์หัวหน้าวิศวกรอายุงานมากกว่า 15 ปีเรียกให้ตรัยคุณลืมตาขึ้นมาพร้อมกับอาการงัวเงีย
นายใหญ่ ชื่อนั้นทำให้เขาตื่นเต็มตา
วิศวกรหนุ่มวัย 24 ยกยิ้มเจ้าเล่ห์พลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาตบหน้าเรียกความกระฉับกระเฉง ปล่อยผมเผ้าให้ยุ่งเหยิงเพื่อเป็นเครื่องการันตีว่าเขาไม่ได้อู้งานเลย ซักนิดก็ไม่เคย จะหาว่าเอาหน้าก็ได้เพราะอย่างไรมันก็เป็นเรื่องจริงที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้
ยืนทำเหมือนตั้งใจทำงานไม่นานคนที่ใครๆ เรียกว่านายใหญ่ก็เข้ามายืนใกล้ๆ ตรัยคุณยกมือไหว้อย่างพนักงานคนอื่นๆ ต่างกันแค่สีหน้าที่มองยังไงก็ไร้แววความเคารพยำเกรง
ก็ไม่ได้หวังให้เคารพกันอย่างเจ้านายกับลูกน้องซักเท่าไหร่ ยังไงซะตรัยคุณก็เป็นหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของอดีตแม่นมที่ตนเคารพรักเหมือนแม่คนที่สอง จินเจตคิดพลางกวาดสายตามองคนตรงหน้าที่ถึงแม้จะผมเผ้ายุ่งเหยิงแต่เขาก็รู้ดีว่านี่เป็นแค่การสร้างภาพ
ตลอดเวลา 2 ปีกว่าๆ ที่ตรัยคุณเข้ารับตำแหน่งวิศวกรคุมเครื่องจักรในโรงงานนั้นเขาได้เรียนรู้ตัวตนของเด็กคนนี้มากมายจนรู้ไส้รู้พุง
แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่ว่าอย่างไรตรัยคุณก็ไม่คิดจะเปิดเผยมันออกมา
“ไม่เจอกันนานเลยนะครับนาย” ชายหนุ่มวัยใกล้เบญจเพศฉีกยิ้มกว้างเต็มใบหน้าพร้อมเอ่ยทักทาย
“พักเที่ยงไปกินข้าวกลางวันด้วยกันหน่อยสิ”
คนถูกชวนเบิกตาโตแล้วเย้า “อะไรกันครับ คิดถึงผมขนาดนั้นเชียว”
“ถ้าเธอคิดอย่างนั้นแล้วสบายใจก็เชิญเลย” ตรัยคุณหัวเราะร่วน มองตามแผ่นหลังกว้างของคนที่แค่ถูกยียวนนิดหน่อยก็เดินหนีกันไป กระนั้นหนุ่มวิศวกรก็ไม่คิดยอมแพ้
เขาเดินตามแล้วชวนคุย
“นายใหญ่มาตรวจงานไม่ใช่เหรอครับ นี่เมื่อกี้ยังไม่ได้ตรวจผมเลยนะ”
“ก็ไม่มีอะไรให้ตรวจนี่”
“แปลว่าผมทำงานดี”
“เธอคิดงั้นเหรอต่อ”
“ถ้าไม่ดีนายใหญ่ก็ต้องจับผิดแล้วสิ หรืออยากจับอย่างอื่น” ตรัยคุณแซวน้ำเสียงเย้าๆ พลางยื่นมือไปให้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้ และก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกปฏิเสธ
“กวนประสาท” คนถูกหาว่ากวนประสาทหัวเราะชอบใจไม่เกรงใจคุณอาทิตย์เลขาสุดเนี้ยบที่หันมามองด้วยสายตาคล้ายตำหนิ
แล้วไงล่ะ ขนาดนายใหญ่ยังไม่ว่าอะไรซักคำเลยนี่นา คิดเหรอว่าตรัยคุณจะเกรงใจคนที่เป็นเพียงเลขา
ใกล้เวลาเที่ยงแล้ว ปกติตรัยคุณไม่ใช่คนตรงเวลา โรงอาหารของโรงงานตอนกลางวันคนเยอะจะตาย เพราะเบื่อหน่ายกับการต้องแย่งกันซื้อข้าวซื้อน้ำเขาจึงชอบแวบออกไปกินข้าวก่อนเวลาเสมอและวันนี้ก็เช่นกัน
อีก 20 นาทีกว่าจะเที่ยง แต่อยู่ๆ ประตูห้องนายใหญ่ก็ถูกเคาะหนึ่งทีเพื่อแสดงมารยาทก่อนบานประตูจะเปิดออก ใช่แล้วล่ะ คิดไม่ผิดเลย กล้าทำเรื่องเสียมารยาทกับนายใหญ่แบบนี้มีเพียงตรัยคุณคนเดียวเท่านั้น
“ยังไม่เที่ยงเลย” จินเจตเงยหน้าจากเอกสารมองผู้มาใหม่ครู่เดียวก่อนก้มหน้าทำงานต่อ
“ผมต้องออกไปนั่งรอนายใหญ่หน้าห้องก่อนแล้วพอนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงค่อยกลับมาเหรอ”
ตรัยคุณยืนพักขาอย่างสบายอกสบายใจพลางล้วงมือผ่านเสื้อฟอร์มโรงงานเข้าไปเกาหน้าท้อง
จินเจตเงยหน้าขึ้นว่าจะตอบคำถามแต่ก็สะดุดเข้ากับหน้าท้องขาวๆ วับแวมของอีกฝ่ายซะก่อน
“ต่อทำอะไรเกรงใจกันบ้าง นี่มันที่ทำงาน”
“แค่เกาพุงเอง ไม่ได้แก้ผ้าซักหน่อย จะอะไรนักหนา”
“มันก็ไม่ได้อะไรนักหนาหรอก เธอไม่ใช่เด็กๆ นะ หัดรู้จักกาลเทศะซะบ้าง”
“เดี๋ยวเสิร์ชแป๊บ” ตรัยคุณล้วงมือถือขึ้นมากดเข้ากูเกิ้ลและค้นหาคำว่า ‘กาลเทศะ’ จริงๆ
จินเจตรู้ดีว่าที่จริงตรัยคุณแค่ต้องการกวนประสาทเขา ที่ทำเป็นหน้านิ้วคิ้วขมวดเหมือนตั้งใจอ่านนั้นที่จริงแล้วเป็นแค่การแสดง
“อ่านแล้วเป็นไง”
“หิว”
“หือ”
“ผมหิวแล้วไปกินข้าวกันตอนนี้เลยเถอะ”
“นอกจากไม่รู้กาลเทศะแล้วยังไม่รู้เวร่ำเวลาอีกเหรอต่อ”
“ผมต้องเสิร์ชอีกมั้ย”
ตรัยคุณเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนือยๆ พลางทิ้งก้นลงบนเก้าอีกฝั่งตรงข้ามกับจินเจตอย่างถือวิสาสะ ตอนนี้เองที่จินเจตสังเกตว่ามือถือในมือตรัยคุณไม่ใช่เครื่องที่เขาเคยเห็นมาก่อน
“มือถือใหม่นี่”
“ผ่อนศูนย์เปอร์เซ็นสิบเดือน แต่ระดับนายใหญ่คงไม่ต้องผ่อนหรอกเนอะ เผลอๆ ซื้อซัก 10 เครื่องด้วยเงินสดยังไหวเลย ใช่มั้ย”
“ฉันจะซื้อมาทำไมตั้ง 10 เครื่อง”
“ซื้อมาอวดรวยมั้ง”
“ฉันดูเป็นคนขี้อวดขนาดนั้นเชียว”
“ก็เปล่า”
“ทีหลังจะพูดอะไรก็หัดใช้สมองคิดด้วย”
“ด่าโง่ยังไม่เจ็บเท่านี้”
“คิดไปเองทั้งนั้น ฉันยังไม่ได้ว่าเธอโง่เลย”
“ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่สัปดาห์เองปากคอเราะร้ายขึ้นนะครับ ตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้นายใหญ่ด่าผม 3 ครั้งแล้ว”
“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรที่ดูร้ายเลย”
“หาว่าผมคิดไปเองอีกแล้ว เนี่ยโดนไป 4 ดอกเต็มๆ โคตรเจ็บเลย” ตรัยคุณแสร้งทำเป็นเจ็บซะโอเวอร์จนคนมองได้แต่ส่ายหน้าหน่ายใจ
“แล้วแต่เธอจะคิดแล้วกัน” เถียงไปก็มีแต่แพ้ จินเจตจึงตัดบทซะเลย
ตรัยคุณยิ้มยียวนเมื่ออีกฝ่ายยกธงขาวยอมแพ้อีกแล้ว “ชวนผมคุยแปลว่างานเสร็จแล้ว”
“ก็ไม่ได้มีอะไรค้างนี่”
“ถ้างั้นก็ไปกินข้าวได้แล้วสิ หิวจะแย่อยู่แล้ว”
“ยังไม่พักกลางวันเลย”
“เถรตรงเกินไปหรือเปล่าครับนาย ลงไปก่อนเวลานิดหน่อยไม่มีใครว่าหรอก”
“ทำบ่อยล่ะสิ” จินเจตว่าอย่างรู้ทันทว่าคนเป็นผู้น้อยก็ไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน
“ไม่ยอมรับหรอก เดี๋ยวนายใหญ่ก็หักเงินผมอีก”
“ที่เธอพูดอยู่นี่ก็ไม่ต่างจากยอมรับหรอกนะต่อ”
“อย่าหักเงินผมเลย ผมต้องผ่อนมือถือนะ” ตรัยคุณออดอ้อนทั้งด้วยน้ำเสียงและสายตา
“ใครใช้ให้ซื้อ”
“ก็เครื่องเดิมมันพังไปแล้ว” ตรัยคุณทำหน้าง้ำงอขณะบอกเหตุผล ที่จริงก็เสียดายมือถือเครื่องเดิมไม่น้อย แต่พอไปถามราคาค่าซ่อมก็ได้แต่เดินคอตกออกมา ถ้าต้องจ่ายค่าซ่อมแพงขนาดนั้นสู้ซื้อเครื่องใหม่ไปเลยดีกว่า เพราะคิดเช่นนั้น ในวันนั้นเขาจึงได้มือถือเครื่องใหม่กลับบ้านมา
ตรัยคุณไม่ค่อยเข้าใจนายใหญ่เท่าไหร่เลย ไม่สิ เขาไม่เคยเข้าใจผู้ชายคนนี้แม้แต่ครั้งเดียว บุคลิกภายนอกดูเป็นคนเคร่งเครียดเอามากๆ ท่าทางเหมือนคนถือตัว แต่ในความเป็นจริงทุกอย่างกลับเป็นไปในทิศทางตรงข้าม
“นึกว่าจะพาไปกินข้าวข้างนอกซะอีก”
เมื่อความผิดหวังเข้าครอบงำจิตใจจนขุ่นมัวตรัยคุณจึงบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งขณะถือจานข้าวมันไก่มานั่งลงตรงข้ามนายใหญ่บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยพนักงานมากหน้าหลายตา
“กับข้าวโรงอาหารเราอร่อยจะตาย ร้านอาหารทุกร้านที่นี่ฉันเป็นคนคัดเองกับมือเลยนะ”
“มิน่าล่ะ” ตรัยคุณอ้อมแอ้มว่าแต่ถึงอย่างนั้นคนเป็นนายใหญ่ก็ได้ยินเต็มสองหู
“หมายความว่ายังไง”
“เปล่าคร้าบ”
“บอกมา” มือข้างที่ถือช้อนซึ่งกำลังตกอาหารเข้าปากถูกคว้าเอาไว้ จินเจตมองอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจังยิ่งกว่าตอนตรวจงานเสียอีก ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าชายหนุ่มวัย 30 ช่างเป็นคนจริงจังกับเรื่องเล่นๆ ซะจริง
“มิน่าล่ะมันอร่อยจนรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลย” น้ำเสียงเสแสร้งของตรัยคุณไม่ช่วยทำให้ประโยคที่เอ่ยน่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย
“จริงใจมาก” จินเจตเบ้ปากเอ่ยประชดประชัน ถามว่าตรัยคุณรู้สึกอะไรไหม บอกเลยว่าไม่
“นายใหญ่ชมแบบนี้ผมก็เขินแย่สิ”
“ฉันไม่คิดว่านั่นคือคำชมนะต่อ”
“ชมก็ยอมรับว่าชมดิค้าบ ไม่เห็นต้องอายเลย ผมล่ะช้อบชอบเวลาที่ถูกชมเนี่ย” ตรัยคุณแสร้งหัวเราะให้นายใหญ่จำต้องปล่อยมือพลางมองมาอย่างเอือมระอา
ตรัยคุณหุบยิ้มลงก่อนจะตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวสองสามทีก่อนจะกลืนแล้วพูดสิ่งที่คิดต่อ “ยอมรับแหละว่าอาหารที่นายใหญ่เลือกมามีแต่ดีๆ ทั้งนั้น รสชาติก็จัดว่าอร่อย แต่การต้องกินอาหารรสชาติเดิมซ้ำๆ มันก็ต้องมีอารมณ์เบื่อบ้างปะ”
จินเจตคิดตาม เขาเห็นด้วยกับความคิดตรัยคุณร้อยเปอร์เซ็นแต่ก็ยังอยากลองเอาชนะอีกฝ่ายดูซักครั้ง “ไม่เห็นเบื่อเลย”
“ก็นายใหญ่ไม่ได้กินข้าวที่โรงอาหารทุกวันเหมือนผมซักหน่อย เบื่อก็แปลกแล้ว”
“แล้วจะให้ทำไง”
“จะไปรู้ได้ไง มันไม่ใช่หน้าที่ของวิศวกรโรงงานซักหน่อย คนที่ต้องคิดคือผู้บริหารอย่างนายใหญ่ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่อยากคิด”
“แบบนี้ก็ได้ด้วย นี่เรียกว่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่ได้มั้ย”
“ตอนนี้เป็นเวลาพักกลางวัน”
“พักกลางวันก็ทำงานได้เหอะ”
“แล้วเธอทำมั้ยล่ะ”
“ไม่อะ กินข้าวอิ่มๆ หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน”
“ไม่มั้ง ไม่ใช่ว่าหนังตาหย่อนตลอดเวลาเหรอ” ตรัยคุณจิ๊ปากรำคาญคนรู้ทัน ยอมรับว่าเขาหลับเก่ง แต่นั่นใช่ความผิดของเขาซะที่ไหน เป็นเพราะว่างานที่เขาทำมันราบรื่นเกินไปต่างหาก
“จับผิดเก่งอะ จับอย่างอื่นเก่งด้วยปะ”
“หมายถึงจับอะไรล่ะ”
“ก็...” ตรัยคุณเสมองไปทางอื่นขณะคิดหาคำตอบมากวนประสาทนายใหญ่ซักหน่อย แต่ยังไม่ทันคิดได้มือก็ถูกจับหมับเข้าให้
“ถ้าหมายถึงจับมือล่ะก็ จับเก่งเฉพาะกับคนที่อยากจับเท่านั้นแหละ”
“แล้วนายใหญ่อยากจับมือใคร อย่าบอกนะว่าอยากจับมือผม”
“เข้าข้างตัวเองเนอะ”
“เข้าข้างอะไร ก็เนี่ยนายใหญ่จับมือใครอยู่อะ”
ตรัยคุณบุ้ยปากไปยังมือที่ถูกกอบกุมอยู่บนโต๊ะและวินาทีเดียวกันนั้นเองมือข้างนั้นก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมาพร้อมกับสายตาเจ้าเล่ห์ที่กวาดมองใบหน้าหล่อเหลาของจินเจตจนอีกคนถูกจ้องมองร้อนไปทั้งหน้า
“นายใหญ่ครับ”
“อะไร เรียกทำไม อยู่ใกล้กันแค่นี้อยากพูดอะไรก็พูดมา”
“ตอนนี้หน้าแดงมาก ร้อนหรือเขินครับ”
“เขินอะไร ทำไมฉันต้องเขินเธอด้วย”
“ยังไม่ได้พูดซักคำเลยว่านายใหญ่เขินผม ฮั่นแน่ อย่าบอกนะว่า...” ตรัยคุณเว้นช่วงประโยคเอาไว้พร้อมกับจ้องมองจินเจตราวกับกำลังจับผิดกัน ก่อนจะเอ่ยคำที่ทำเอาคนฟังใจกระตุกวูบ “หลงเสน่ห์ผมเข้าแล้วเหรอครับนายใหญ่”
“ตลกซะให้พอ” คนเป็นนายใหญ่กระแอมก่อนก้มหน้ากินอาหารในจานของตน ท่าทีโคตรมีพิรุธแบบที่ถ้าตรัยคุณตื๊อต่ออีกนิดจินเจตไปต่อไม่เป็นแน่ๆ
ตรัยคุณยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาชอบปฏิกิริยาแบบนี้ของจินเจตชะมัด ท่าทางที่เหมือนกับชอบเขาแต่ปากแข็งเอามากๆ ยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากแกล้งอีกฝ่ายเสมอเมื่อมีโอกาสได้เจอกัน
“ผัดลูกชิ้นนั่นน่าอร่อยจัง ขอซักคำได้มั้ยครับ” ยังไม่ทันอนุญาตอีกฝ่ายก็ตักลูกชิ้นไปต่อหน้าต่อตา แต่ในเวลาต่อมาเลือดที่ถูกตัดแบ่งเป็นชิ้นบางๆ ในจานข้าวมันไก่ก็ถูกส่งมาให้ “แลกกัน”
“เธอไม่กินหรือไง”
“เสียสละให้นายใหญ่ครับ”
“เธอไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอกต่อ”
“นายใหญ่ก็มองผมในแง่ร้ายเกินไป”
“ฉันมองเธอตามความเป็นจริง”
“ถ้านายใหญ่เชื่ออย่างนั้นแล้ว ผมก็ไม่กล้าอธิบายให้เข้าใจเจตนาแท้จริงของผมหรอกครับ” ตรัยคุณแสร้งทำหน้าสลดก่อนจะก้มหน้าตักข้าวมันไก่เข้าปากไม่พูดไม่จากระทั่งกินหมด
“ไหนบอกว่าไม่อร่อย”
“หิวครับ”
ทั้งที่ไม่มีอะไรให้ชวนยิ้มแต่จินเจตกลับยิ้มออกมาอย่างห้ามไมได้
“วันนี้เลิกงานกี่โมง”
“ถ้าไม่มีโอทีก็ 5 โมงเย็น จะชวนผมไปเดตเหรอครับ”
“เธอนี่นะ” คนเป็นนายใหญ่ส่ายหน้าระอาใจ “ฉันซื้อของมาฝากคุณแม่เธอ”
“อ่อ ของฝากจากต่างประเทศ ใจร้ายจังเลยนะครับ ผมอยู่ตรงนี้ทั้งคนแต่ไม่มีของมาฝากกันเลย”
“ฉันบอกซักคำหรือยังว่าไม่มี”
“มีเหรอ ขึ้นไปเอาตอนนี้เลยก็ได้นะ” ดวงตากลมบนใบหน้าหล่อเหลาเป็นประกายคล้ายกับเด็กน้อยยามได้ของเล่นไม่มีผิด
“ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น”
“ผมไม่เคยได้ของฝากจากต่างประเทศนี่นา”
“ของอยู่ที่คอนโด”
“หืม จะชวนขึ้นคอนโดเหรอครับ”
“ทำไม เธอมีปัญหาหรือไง”
“ใครจะกล้ามีปัญหากับนายใหญ่ล่ะ เอาไว้ผมเลิกงานแล้วจะโทรหาก็แล้วกัน”
“ห้าโมงเจอกันที่ห้องทำงานฉัน”
“ได้ยังไงครับ ผมอาจจะทำโอที”
“ก็ไม่ต้องทำ” ทำไมคนที่เป็นถึงนายใหญ่จะไม่รู้ว่าเย็นนี้คนในปกครองของตนไม่มีโอที
โรงงานผลิตเครื่องดื่มในเครือเรืองทรัพย์คอปอเรชั่นของครอบครัวจินเจตถึงแม้จะเดินหน้าผลิตสินค้าเต็มกำลังแต่ก็ใช้งานพนักงานอย่างเหมาะสม เขาจ่ายเงินเดือนเต็มที่ถึงแม้ไม่ทำโอทีก็ไม่เดือดร้อน ส่วนคนที่เดือดร้อนคือคนที่ใช้เงินเกินกำลังอย่างเช่นตรัยคุณเป็นต้น
“ผมต้องผ่อนมือถือนะครับ”
“ใครใช้ให้ซื้อ”
“ก็บอกไปแล้วไงว่า...” ตรัยคุณเริ่มร่ายประโยคเดิมๆ อีกหนราวกับนกแก้วนกขุนทอง คนฟังได้แต่ส่ายหน้าก่อนเดินนำออกจากโรงอาหารมา
สองทุ่มแล้ว
จินเจตมองนาฬิกาบนข้อมือตนก่อนคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถือไว้ ทั้งที่นัดไว้ตอนห้าโมงเย็นแท้ๆ หากแต่คนใช้เงินเกินกำลังกลับยังทำโอทีจนถึงป่านนี้
ชายหนุ่มถอนหายใจเป็นจังหวะเดียวกับเบอร์แปลกที่ไม่ได้บันทึกเอาไว้โทรเข้ามา
“จินเจตครับ” เขารับสายอย่างไม่ลังเลเพราะค่อนข้างมั่นใจว่าคนโทรเข้าต้องเป็นตรัยคุณอย่างแน่นอน
“ทราบครับ นายใหญ่ยังไม่กลับอีกเหรอ”
“กลับแล้ว” ซะที่ไหนล่ะ ยังนั่งรอตรัยคุณอยู่ในห้องทำงานเนี่ย
“แต่ห้องทำงานยังเปิดไฟอยู่เลยนะ เปิดไฟทิ้งไว้แบบนี้ไม่ดีเลยครับ” ตรัยคุณแหงนหน้ามองห้องทำงานของปลายสาย หยอกล้อด้วยน้ำเสียงทะเล้นพลางหัวเราะอย่างสดใส
“เธอรู้อยู่แล้วนี่ต่อ แล้วจะถามฉันเพื่ออะไร ตลกมากมั้ง”
“โอ๋ๆ ไม่งอนสิครับนาย เนี่ยผมรอหน้าตึกแล้ว ถ้าคิดถึงมากก็รีบลงมานะ”
“ใครคิดถึงเธอ” น้ำเสียงจิตเจตขุ่นนิดๆ แต่ที่จริงแล้วเขาไม่ได้โกรธจริงๆ หรอก แค่หัวเสียที่โดนแกล้งเท่านั้นเอง
“คนแถวนี้มั้ง”
“ไม่ใช่ฉันแหละหนึ่ง”
“ผมหมายถึงไอ้ด่าง หมาน้ารปภ.กะดึกอะครับ เนี่ยมาเดินมาขอขนมด้วยแต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้หยิบขนมติดมือมา นายใหญ่พอมีมั้ย ถ้ามีฝากหยิบลงมาให้หมาน่ารักๆ แถวนี้หน่อยสิ”
จินเจตหันรีหันขวางมองหาขนมแต่น่าเสียดายที่ในห้องทำงานของเขาไม่เคยมีขนมขบเคี้ยวเลย ดังนั้นขณะที่อีกฝ่ายพล่ามซะยืดยาวเขาจึงเดินออกจากห้องทำงาน มุ่งตรงไปยังครัวออฟฟิศแล้วหยิบขนมมาถุงนึง
“รีบหน่อยนะครับ ตรงนี้ยุงเยอะมากเลย” เสียงออดอ้อนของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของคนเป็นนายใหญ่กระตุกวูบเหมือนตกจากที่สูง
เอาอีกแล้วนะต่อ เธอกำลังล้อเล่นกับความรู้สึกฉันหรือไง
ไม่ใช่ครั้งแรกแต่คนเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เคยชินกับการถุกเจ้าเด็กหยอกเย้าเลยซักครั้ง
เพราะว่าเด็กนั่นบอกว่ายุงเยอะ จินเจตจึงลงบันไดไปยังชั้น 1 อย่างเร่งรีบ เขาไม่มีเวลาปรับความรู้สึกที่กำลังปั่นป่วนอยู่ในอกด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อพยายามมองหาคนที่บอกผ่านสายว่ารอหน้าตึกก็พบว่าหน้าอาคารมีเพียงความว่างเปล่า
ไม่ว่าอย่างไรก็หาไม่เจอ จินเจตจึงต่อสายหาตรัยคุณอีกครั้ง รอไม่นานวิศวกรหนุ่มก็กรอกเสียงผ่านสัญญานมาอย่างร่าเริง
“ครับนายใหญ่”
“เธออยู่ไหน”
“กำลังเดินไปครับ อย่าบอกนะว่านายใหญ่ลงมาที่หน้าตึกแล้ว” ตรัยคุณโกหก ที่จริงแล้วเขาแอบอยู่หลังพุ่มไม้จ้องมองคนอายุมากกว่าที่กำลังกวาดสายตามองหาตนอย่างร้อนรน
“เปล่า”
ยิ่งอีกฝ่ายพยายามปฏิเสธด้วยเสียงเย็นชาขัดกับท่าทางร้อนรนก็ยิ่งกลั้นขำจนหน้าแดงก่ำ ทั้งที่อายุมากกว่าตั้งหลายปีแต่ตรัยคุณกลับรู้สึกว่าคุณหนูของแม่ช่างน่ารักสมเป็นคุณหนูจริงๆ
“โกหกไม่เนียนเลย” ตรัยคุณว่ากลั้วหัวเราะก่อนสายจะถูกตัดไป
ในความสลัวของทางเดิน ตรัยคุณก้าวออกจากพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง เขาทำเป็นเดินช้าๆ พลางยิ้มร่าและโบกไม้โบกมือที่กำลังไกวแกว่งโทรศัพท์มือถือไปบนอากาศเพื่อทักทาย จินเจตเบือนหน้าไปอีกทาง มือหนากำถุงขนมแน่น ไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขาถูกเด็กคนนี้ปั่นจนหัวหมุนไปหมด
“ว้าว หยิบขนมมาจริงๆ ด้วย พอดีเลย ผมหิวมากๆ ขอนะ”
ยังไม่ทันที่ตรัยคุณจะเอื้อมหยิบขนมมาครอบครองได้ จินเจตก็ดึงมันไปหลบไว้ด้านหลังซะก่อน คนถูกขัดใจถึงกับหน้างอ
“ขี้งกอะ”
“เธอก็ขี้โกหก แถมยังเปลี่ยนเบอร์มือถือไม่บอกไม่กล่าวอีก”
“ที่ไม่ยอมให้ขนมเพราะโกรธเรื่องนี้เหรอครับ”
“ใครโกรธ”
“นายใหญ่โกรธ” จินเจตตอบคำถามพร้อมทั้งก้าวเข้าไปหาจินเจตแล้วตวัดแขนคล้องคออีกฝ่ายทันทีโดยไม่ให้คนตัวใหญ่ได้ตั้งตัว “ถ้าผมอธิบายให้ฟังแล้วต้องหายโกรธนะครับ” น้ำเสียงออดอ้อนกับสายตาหวานซึ้งที่มองกันทำเอาจินเจตแทบละลาย
“ปล่อยก่อน”
“ไม่เอา เดี๋ยวนายใหญ่หนี”
“ฉันไม่หนี”
“ไม่เชื่อ”
ไม่เห็นท่าทีว่าตรัยคุณจะล่าถอย จินเจตจึงยอมรับชะตากรรม เขาผ่อนลมหายใจอย่างยอมจำนนก่อนจะเสมองไปทางอื่นเพราะไม่กล้าสบตา “ว่ามา”
“มองหน้าก่อน” ดูเหมือนว่าตรัยคุณจะไม่เห็นด้วยซะเท่าไหร่ เพราะเจ้าตัวกอบกุมใบหน้าหล่อเหลาไว้แล้วบังคับให้มองตากัน
ให้ตายเถอะ จินเจตไม่รู้เลยว่าตรัยคุณจะเห็นอะไรในดวงตาของเขาบ้าง
“มองแล้วนี่ไง รีบว่ามาสิ”
“นายใหญ่เนี่ยหล่อขนาดนี้ไม่มีแฟนจริงหรอ”
“เราไม่ได้คุยกันเรื่องนี้นะต่อ”
“ผมสงสัยนี่นา ตอบหน่อย”
“เหมือนเธอมั้ง”
“ขี้ก๊อปอะ”
“หยุดเฉไฉได้ยัง”
“คุยกันได้ขนาดนี้แถมยังสบตากันนานที่สุดด้วย แบบนี้เรียกว่าหายโกรธได้รึยังนะ”
“ฉันไม่ได้โกรธ”
“โอเคครับ” เอ่ยเหมือนยอมแพ้แต่สีหน้าเจ้าเลห์ไม่น่าไว้ใจสุดๆ “ยอมรับว่าเปลี่ยนเบอร์ แต่ไม่ยอมรับเรื่องที่นายใหญ่กล่าวหาว่าเปลี่ยนเบอร์หนี เพราะผมไม่ได้หนี”
“ไม่ได้หนี” จินเจตจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยของตรัยคุณเผื่อจะจับผิดอีกฝ่ายได้บ้างแค่เพียงสักนิดก็ยังดีแต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะนอกจากความเจ้าเลห์แสนกลแล้วในดวงตาคู่นั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย แม้แต่แววหวั่นไหวก็ไม่มี
“เพราะซื้อมือถือใหม่ ขี้เกียจทำเรื่องย้ายค่ายแต่อยากได้ส่วนลดก็เลยเปลี่ยนเบอร์ซะเลย”
“ถือโอกาสหนีเจ้าหนี้ด้วยล่ะสิ” จินเจตไม่ได้คิดไปเอง ยามตรัยคุณอยู่ต่อหน้าเขาแม้จะไม่บ่อยนักแต่ก็เห็นว่าอีกฝ่ายชอบมีสายเข้าเสมอและก็ไม่เคยรับเลย เอาแต่ตัดสายทิ้งจนอดคิดไม่ได้ว่าตรัยคุณไปเป็นหนี้นอกระบบแล้วถูกเจ้าหนี้โทรมาทวงเงินหรือเปล่า
“ไม่มีหรอกเจ้าหนี้อะ แต่แต่คนโทรมาตื๊อจีบ”
“หืม”
“ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ” จินเจตแทบลืมวิธีหายใจเมื่ออยู่ๆ ตรัยคุณก็ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้อีก พอเขาเอนตัวหนีก็โน้มใบหน้าตามมาจนเกือบหงายหลังเขาจึงหยุด
ตรัยคุณหัวเราะเบาๆ อย่างชอบอกชอบใจก่อนจะยอมผละห่างออกไปแต่โดยดี
“ไม่ยักรู้ว่านายใหญ่รังเกียจผมขนาดนี้”
“ไม่ได้รังเกียจ”
“แต่ขยับหนีใหญ่เลยน้า”
“ก็เธอเข้ามาใกล้เกินไป”
“ทำไมครับ ผมทำให้นายใหญ่หวั่นไหวหรอ แต่ก็ไม่แปลกนะเพราะผมน่ะออกจะมีเสน่ห์ขนาดนี้”
ยอมรับว่าตรัยคุณหลงตัวเองในระดับนึงแต่จินเจตก็ไม่คิดจะค้านเลย
คนเป็นนายใหญ่มองตามวิศวกรหนุ่มที่เดินนำไปยังรถของเขาด้วยความสงสัยที่ติดตรึงอยู่ในใจตลอดมา อยากรู้แต่ก็ไม่อยากถามว่าที่จริงแล้วตรัยคุณนั้นชอบผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ เพราะเจ้าตัวอัธยาศัยดีเกินไป เป็นมิตรกับคนอื่นไปทั่ว ซ้ำยังชอบยิ้มยียวนหว่านเสน่ห์ให้เขาอยู่เสมอ เพราะเป็นแบบนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ใครต่อใครจะหลงเสน่ห์เอาง่ายๆ
“เปลี่ยนรถอีกแล้วแฮะ เกิดเป็นคนรวยนี่น่าอิจฉาจริงๆ”
รถยุโรปราคาแพงถึงแม้จะไม่เคยเห็นนายใหญ่ใช้มาก่อนแต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าต้องใช่ของเขาแน่ๆ เพราะที่โรงงานนี้ไม่มีใครขับรถหรูกันหรอก
“แล้วจะไม่ไปรึไง”
“ไปค้าบ” ตรัยคุณรีบเปิดประตูเข้าไปนั่งบนเบาะหนังชั้นดีข้างคนขับ “แอร์ไม่ค่อยเย็นเลย” บ่นพลางปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกจนถึงกลางอก เผยผิวขาววับๆ แวมๆ ให้เจ้าของรถซึ่งบังเอิญหันมามองต้องรีบเบือนหน้าหนี
อยู่ๆ จินเจตก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเฉยๆ เพียงเพราะเห็นผิวกายใต้ร่มผ้าของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ
ที่เป็นแบบนั้นอาจเพราะเขามีรสนิยมชอบหนุ่มน้อยอยู่แล้วด้วยมั้ง ตรัยคุณเองก็ค่อนข้างตรงสเป็คเขาอยู่ไม่น้อย หากไม่ติดว่าเป็นหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของแม่นมล่ะก็ป่านนี้คงได้สนุกกันอยู่บนเตียงไปแล้ว
“แวะหาอะไรกินก่อนสิ ผมยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย”
“คุณแม่เธอเคยบอกฉันว่าเธอทำกับข้าวอร่อย”
“โน หยุด อย่าแม้แต่จะคิด เหนื่อยขนาดนี้ผมไม่เข้าครัวทำมื้อเย็นแน่” ตรัยคุณโบกมือปฏิเสธ
“แปลว่าถ้าไม่เหนื่อยก็ทำได้สิ”
“ไม่ทำเด็ดขาด ซื้อกินง่ายกว่าอีก นายใหญ่เห็นด้วยมั้ยครับ”
สายตาตรัยคุณที่มองมาเจ้าเล่ห์เกินกว่าจะเชื่อว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องมื้อเย็น ที่จริงนอกจากอาหารแล้วจินเจตก็ซื้ออย่างอื่นกินเหมือนกัน แล้วอย่างไรล่ะ เขาไม่เคยใช้บริการเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะซักหน่อย อย่างไรก็ไม่มีความผิดแน่นอน อีกอย่างพอเขาซื้อเด็กพวกนั้นก็ได้เงิน ส่วนเขาก็ได้ปลดปล่อย มีแต่ได้กับได้ไม่เสียหายอะไรซักหน่อย
“ว่าแต่นายใหญ่มีที่แนะนำผมบ้างมั้ย”
“หมายถึงอะไรล่ะ”
“ก็ต้องอาหารอยู่แล้วสิ เรากำลังพูดถึงมื้อเย็นอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ฉันไม่ค่อยถนัดแถวนี้หรอก ถ้าเป็นกรุงเทพก็ว่าไปอย่าง”
“วันหลังถ้าผมเข้ากรุงเทพอย่าลืมพาผมไปกินบ้างนะ แต่ตอนนี้ผมต้องเป็นคนแนะนำใช่มั้ย”
ตรัยคุณเลือกร้านอาหารที่ตั้งอยู่ข้างทาง พอเห็นป้ายร้านก็บอกอีกฝ่ายแวะทันที เมื่อถูกถามว่ากับข้าวอร่อยเหรอ คนเลือกร้านก็ส่ายหน้าบอกว่าไม่เคยกินหรอก ที่เลือกเพราะร้านมันใกล้ดี
“เธอนี่เอาง่ายเข้าว่าจริงๆ”
“ก็ไม่ง่ายตลอดนะครับ บางทีก็ยากอยู่เหมือนกัน” แอบสงสัยอยู่ว่าหากไม่ได้กวนประสาทเขาสักชั่วโมงตรัยคุณจะมีอาการลงแดงบ้างไหม จินเจตถึงกับพ่นลมหายใจอย่างเบื่อหน่าย เจ้าเด็กนี่อายุน้อยกว่าเขาตั้ง 6 ปีแต่ไม่เคยมีซักครั้งที่จะยอมกัน เหมือนกับว่าไม่เคยมองเขาเป็นผู้ใหญ่เลยด้วยซ้ำ
“อาหารรสชาติไม่ได้เรื่องเลย มิน่าล่ะไม่ค่อยมีลูกค้า”
ตั้งแต่ออกจากร้านมาตรัยคุณยังไม่หยุดบ่นซักนาที กระทั่งขึ้นลิฟต์มาที่ห้องก็ยังบ่นไม่เลิก
“แต่ก็อิ่มท้องไม่ใช่เหรอ”
“ก็ไม่เถียงครับ แต่เสียดายเงิน” คนขี้บ่นเบ้หน้า
“เงินฉัน”
“นั่นสิ ผมจะบ่นทำไมนะ” พอคิดได้ก็เลิกบ่น
มันควรจะคิดได้ตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือไง
“นายใหญ่ซื้ออะไรมาฝากแม่” ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องก็ถามหาของฝากแสดงความกระตือรือร้นอยากได้ของฟรีอย่างไม่ปิดบัง ซึ่งก็สมเป็นตรัยคุณแล้ว
“อันนี้ของเธอ” ถุงกระดาษถูกส่งมา ตรัยคุณดูเหมือนตื่นเต้นมากตอนที่รับของมาแต่ความรู้สึกนั้นก็พลันหายไปเมื่อพบว่าสิ่งที่ซุกตัวอยู่ภายในถุงนั้นแสนจะธรรมดา
“เสื้อ!? ไปตั้งไกลซื้อเสื้อมาฝากเนี่ยนะ”
“หรือจะไม่เอา” มือหนายื่นมาตั้งท่าจะคว้าของฝากกลับแต่ก็ยังช้ากว่าตรัยคุณที่ถอยออกไปก้าวนึง
“ยังไม่ได้พูดซักคำว่าจะไม่เอา”
“สีหน้าเธอมันฟ้องอะต่อ”
“ไม่ยักรู้ว่าสีหน้าพูดได้ด้วย” ตรัยคุณเอ่ยเสียงเบาคล้ายกับไม่อยากให้จินเจตต่อบทสนทนาก่อนจะถอดเสื้อตัวที่สวมอยู่ออก
จินเจตร้องเสียงหลงพลางห้ามแต่ก็เท่านั้นเมื่อตรัยคุณไม่คิดจะทำตาม กระทั่งท่อนบนเปลือยเปล่าเผยผิวขาวอย่างชายหนุ่มที่ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมกลางแจ้ง
“นายใหญ่เป็นไรอะ ผมแค่จะลองเสื้อ” ตรัยคุณเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะคลี่เสื้อตัวใหม่แล้วสวม ต่างจากจินเจตที่กำลังรู้สึกว่าใบหน้าของตนเห่อร้อนจนต้องเบือนหน้าไปทางอื่นพลางยื่นของอีกอย่างมาให้
“ส่วนอันนี้ของแม่เธอ”
“วางไว้สิครับ นายใหญ่ก็เห็นอยู่ว่ามือผมไม่ว่าง” จินเจตถอนหายใจอีกครั้ง เหลือบมองคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจติดกระดุมเสื้อตัวใหม่จนถึงเม็ดสุดท้ายตรงคอ
“นายใหญ่”
“เลิกเรียกนายใหญ่ได้รึยัง ไม่ได้อยู่โรงงานแล้ว” เรื่องความดื้อจินเจตปลงแล้วแต่เรื่องเรียกว่านายใหญ่เนี่ยเขาก็ยอมไม่ได้เด็ดขาด
“นายน้อย” ดูคนดื้อเขาตอบโต้สิ มันน่าจับตีก้นไหม
“ต่อ!!” คนถูกดุด้วยเสียงแข็งๆ ถึงกับหัวเราะก๊ากอย่างไม่สะทกสะท้าน เป็นอย่างนี้จะไม่ให้จินเจตเหนื่อยใจได้ไง
“คุณเจต” ตรัยคุณเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างจงใจ “ช่วยดูกระดุมเม็ดนี้ให้ที มันติดไม่ได้”
“อะไรของเธอ” ถึงแม้จะบ่นแต่ก็ยอมลุกจากโซฟาเดินเข้าไปหา และเป็นเพราะตรัยคุณตัวเตี้ยกว่านิดหน่อยจินเจตจึงจำต้องก้มหน้าลงไปหา ใช้ดวงตาคมจ้องมองกระดุมเจ้าปัญหาก็ไม่เห็นว่ามันจะผิดปกติตรงไหน
อันที่จริงด้วยราคาแสนแพงที่จ่ายไปมันไม่ควรผิดปกติเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดกันจริงๆ คนรับต่างหากที่ดูเหมือนจะมีปัญหา
“ก็ปกติดีนี่”
“งั้นเหรอครับ ผมมองไม่เห็น คุณหนูช่วยติดให้หน่อยได้มั้ย” ไม่ชอบให้เรียกคุณหนูพอๆ กับนายใหญ่แต่นาทีนี้จินเจตขี้เกียจจะต่อปากต่อคำแล้ว
“จะติดทำไม ไม่อึดอัดรึไง”
“ผมขอคุณหนูมากไปเหรอ”
“เธอมันเรื่องมากต่อ”
มือเรียวถูกปัดออกไปและแทนที่ด้วยมือหนาของอีกฝ่าย นิ้วเรียวบรรจงติดกระดุมให้อย่างนุ่มนวล ทุกขณะที่ใกล้ชิดตรัยคุณไม่ละสายตาจากใบหน้าหล่อเหลาของคนตัวสูงเลย และการถูกจับจ้องก็ทำให้คนเจนจัดไปซะทุกเรื่องออกอาการประหม่า
“ร้อนเหรอครับคุณหนู” เป็นเพราะว่าใบหน้าของอีกฝ่ายขึ้นสีแดงระเรื่อแถมยังมีเหงื่อซึ่มตรงไรผมตรัยคุณจึงตั้งข้อสงสัยทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าอาการเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากอากาศ
“เปล่า”
“เหงื่อออกเต็มหน้าเลย” ทักพลางตั้งท่ายื่นมือไปช่วยเช็ดให้แต่จินเจตกลับรีบถอยห่างราวกับรังเกียจ เมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นตรัยคุณเองก็นิ่งไป
“ฉันติดกระดุมเสร็จแล้ว”
“อ่า ใส่ได้พอดีเลย คุณหนูนี่เลือกเสื้อเก่งจัง รู้ได้ยังไงว่าผมใส่ไซส์นี้”
“เธอมันไซส์มาตรฐาน”
“รู้ได้ยังไง”
“อันนี้น้ำหอมของแม่เธอ” สายตาของตรัยคุณที่มองมาคล้ายกับกำลังจับผิดให้คนเป็นเจ้าของห้องต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนอีกฝ่ายจะจับได้ว่าตนแอบมองและสังเกตุอยู่ห่างๆ ตลอดมา
“ขอลองได้รึเปล่า”
“มันเป็นกลิ่นของผู้หญิง”
“อยากลองนี่นา” ตรัยคุณว่าอย่างเอาแต่ใจพลางเปิดกล่องน้ำหอมของคุณแม่ เมื่อลองดมก็รู้สึกถูกใจและอยากครอบครอง
อันที่จริงเขาจะอุบอิบเอาไว้ใช้เองโดยไม่บอกใครก็ได้ แต่น่าเสียดายที่ตรัยคุณเป็นคนตรงไปตรงมา อยากได้อะไรก็ขอตรงๆ ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าของจะให้หรือไม่นั้นก็คงต้องลองวัดดวงกันดู
[TBC]
จำได้ว่าเคยบอกไปแล้วว่านายเอกเรื่องนี้ไม่ใส แต่น่ารักไหมนั้นคงต้องถามคุณเจตนะคะ
ฝากน้อง #ตรัยคุณเป็นคนพิเศษ ด้วย
:)