(ต่อ)
คุณหญิงวารีสะท้อนใจในสิ่งที่ได้สัมผัส เด็กหญิงตัวเล็กนิดเดียว แบกรับความเจ็บปวดทั้งหมดบนร่างกายได้อย่างไร ท่านไม่อาจรับรู้ได้ ทว่ามันก็เตือนให้ท่านจดจำความรู้สึกที่เด็กผู้หญิงอีกคนพบเจอเช่นกัน
หากย้อนเวลากลับไปได้ ท่านจะตัดสินใจให้เร็วกว่านั้น แก้ปัญหานั้นให้ดีกว่านี้ และทำทุกอย่างอย่างมีสติมากกว่าที่ควร ทว่า… ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่ให้ท่านแก้ตัวอีกต่อไป
ดวงตาอารีแฝงเศร้าก้มลงมองร่างเล็กที่จับจูงมือไว้ เม้มริมฝีปาก ยามก้อนสะอื้นจุกแน่นในอก
ความเจ็บปวดของท่านในวันนี้ เทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดของเด็กคนนั้นในวันวาน แม้ทุกอย่างจะสายเกินไปแล้ว แต่หัวใจของท่านยังคงร่ำร้องขอแก้ไขในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ยิ่งเมื่อได้พบเจอกับ ‘ดวงตา’ คู่นี้ ซึ่งมันละหม้ายคล้ายดวงตาคู่นั้นในความทรงจำราวกับเป็นดวงตาดวงเดียวกันแล้ว ท่านก็ไม่ต้องหยุดคิดอีกต่อไป
“ไปอยู่ด้วยกันไหมคะ” น้ำเสียงที่ใช้ถามเบาหวิว หากชัดเจนในหัวใจของคนฟัง
ใบหน้าอารีก้มลงมอง ยิ้มอ่อนโยนส่งให้พร้อมกระชับมือที่จับจูงเอาไว้ให้แน่นขึ้น
“ไปอยู่กับแม่นะคะ”
เด็กหญิงนารี วงษ์ศิลป์ คือชื่อของเด็กน้อยผู้น่าเวทนา ทว่าตอนนี้เธอได้กลายเป็น เด็กหญิงอัยริน เพียงสุวรรณ เรียบร้อยแล้ว คุณหญิงวารีใช้เส้นสาย และอำนาจของนามสกุลตนเองดำเนินการโอนสิทธิ์การเลี้ยงดู รวมถึงทุกอย่างในชีวิตน้อยๆ ของเด็กหญิงให้เป็นสิทธิ์ของท่านแต่เพียงผู้เดียวโดยเด็ดขาด บิดามารดาที่แท้จริงของอัยรินจะไม่สามารถพบหรือเรียกร้องสิ่งใดกับเด็กหญิงได้อีก คุณหญิงลงมือทำหลายสิ่งด้วยตนเองเพื่อให้การรับอุปการะอัยรินเรียบร้อย และไม่มีช่องโหว่
หลังจากติดตามหาตัวพ่อแม่ที่แท้จริงของอัยรินมาเซ็นมอบอำนาจทุกๆ อย่างได้ ท่านก็จัดการให้ทั้งสอง ‘สัญญา’ ว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเด็กหญิงที่ไม่มีใครต้องการ ให้เด็กหญิงไม่ต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายไม่ว่าอะไรจากผู้ให้กำเนิด คำขู่ของท่านไม่ใช่สิ่งที่จะหลุดออกมาง่ายๆ หากในครั้งนี้ท่านทำมากกว่าข่มขู่หลายเท่า
“ฉันรวย และมีอำนาจมากพอจะทำให้เธอสองคนไม่มีแม้กระทั่งที่ยืนหายใจ” น้ำเสียงยามเอ่ยราบเรียบ แววตาเย็นชาทอดมองชายหญิงสองคนตรงหน้าอย่างไร้เมตตา
“เพราะฉะนั้นอย่าได้กลับมาแตะต้อง เรียกร้อง หรือแม้กระทั่งอ้างสิทธิ์ใดใดกับอัยรินอีกเด็ดขาด!”
หลังจากวันนั้นท่านให้ทนายมอบเงินจำนวนหนึ่งให้ชายหญิงทั้งคู่ นั่นไม่ใช่การซื้อขายตัวอัยริน หากมันคือค่าตอบแทนที่คนนึงให้กำเนิด อีกคนร่วมให้กำเนิด บุญคุณความเป็นบิดามารดาถือว่าขาดสิ้นกันตั้งแต่วันนั้นแล้ว
ที่ท่านต้องทำถึงขนาดนี้ก็เพราะผู้หญิงที่นำเด็กหญิงตัวเล็กๆ ร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยการถูกทำร้ายมาทิ้งเอาไว้หน้าสถานสงเคราะห์พร้อมกระดาษแผ่นเดียว และเสื้อผ้าขาดๆ ก็คือ… มารดา ส่วนบิดาก็ไม่แตกต่างกันนัก เพราะทันทีที่ทนายความประจำตระกูลของท่านติดต่อไป ทางนั้นตอบรับมาทันทีว่า… พร้อมจะเซ็นยินยอมในทุกๆ อย่าง ไม่เรียกร้องสิ่งใด ขอเพียงไม่ให้ตนเป็นผู้อุปการะเด็กหญิงนารีอีกก็เพียงพอ
คุณหญิงวารีจำได้ว่าตอนนั้นท่านโกรธจนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปน ร่างกายสั่นสะท้านยามมองไปยังร่างผอมบางที่กำลังนั่งแกว่งชิงช้าคนเดียวอย่างเหงาหงอย วินาทีนั้นท่านจึงตัดสินใจได้ทันที…
“ทำยังไงก็ได้ให้สองคนนั้นหมดสิ้นทุกสิทธิ์ในตัวของนารี ไม่สิ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปยัยหนูจะชื่ออัยริน หนูอัยย์ของฉันจะต้องไม่มีพันธะผูกพันกับสองคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นทางกฎหมายหรือทางจิตใจอีก!”
อัยริน แปลว่า ดวงตาที่งดงาม ส่วนชื่อเล่น อัยย์ หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ ซึ่งมีความหมายในภาษาญี่ปุ่น เมื่อออกเสียงว่า "ไอ" จะแปลว่า "ความรัก"
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเด็กหญิงจะมีแต่ความรักโอบล้อมดั่งความหมายแฝงในชื่อที่ท่านมอบให้
ตอนแรกคุณหญิงตั้งใจจะให้อัยรินใช้นามสกุลเลิศวรานนท์ของท่าน หากแต่ด้วยหลายปัจจัยส่งผลให้ความตั้งใจนี้ไม่ประสบความสำเร็จ รวมไปถึงคุณเพียงรักเจ้าของบ้านเพียงรักซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของท่านขอให้อัยรินใช้นามสกุลของตนเหมือนพี่น้องคนอื่น
“ให้หนูอัยย์เป็นลูกของฉันอีกคนเถอะนะรี”
น้ำเสียง และแววตายามเพื่อนวอนขอส่งผลให้ท่านใจอ่อนในที่สุด
“ก็ได้ ให้อัยย์ใช้นามสกุลเพียงสุวรรณของเธอ”
คุณเพียงรักยิ้มกว้าง พยักหน้าเป็นเชิงขอบใจ ก่อนเอ่ยปลอบอย่างอารมณ์โดยไม่ได้คิดอะไร
“ไม่แน่โตขึ้น หนูอัยย์ของเราอาจได้ใช้นามสกุลของเธอขึ้นมาจริงๆ”
คนพูดไม่ได้สนใจในประโยคปลอบใจของตนด้วยซ้ำ หากคนฟังกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างวาบผ่านมา
กลางอกปวดแปลบแล้วจางหายอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“หนูอัยย์ของเราอาจได้ใช้นามสกุลของเธอขึ้นมาจริงๆ” อย่างนั้นหรือ
ก็ดี… หากแต่ท่านหวังว่าเมื่อวันนั้นมาถึง มันจะเป็นเรื่องดีมากกว่าร้าย เพราะท่านไม่ประสงค์ให้เด็กหญิงต้องพบเจอความเสียใจ ความเจ็บปวด หรือแม้กระทั่งความอึดอัดใจไม่ว่าเรื่องใดอีก
“แม่จะดูแลหนูให้ดีที่สุดหนูอัยย์”
อัยรินไม่ใช่ตัวแทนของใคร ไม่ใช่เพราะดวงตากลมโศกที่ละหม้ายคล้ายใครอีกคนที่ยังปรากฏตัวในความฝันของท่านทุกคืน ท่านจึงตัดสินใจรับอุปการะเด็กหญิง หากแต่สิ่งที่ฉายแววในนัยน์ตาโศกเศร้าคู่นั้นต่างหาก
ความเจ็บปวดที่กำลังกัดกร่อนให้ข้างในเย็นชานั่นมากกว่าที่ทำให้ท่านยื่นมือออกไป
คุณหญิงวารีไม่อยากเห็นอัยรินต้องเผชิญกับความเลวร้ายของโลกใบนี้เพียงลำพัง การอยู่ในบ้านเพียงรักอาจเป็นอีกทางเลือกที่ดี ทว่าบ้านหลังนี้กว้างใหญ่ และเด็กหญิงที่บอบช้ำมาอย่างหนัก ควรได้รับอ้อมกอดมากกว่าที่เป็นอยู่ ท่านรู้สึกเช่นนั้น
ดวงตาอารีจ้องมองร่างผอมบางที่กำลังนั่งเงียบๆ อยู่ใต้ต้นมะม่วงเขียวเสวยด้านหน้าประตูสถานสงเคราะห์ ใกล้ๆ ทางเข้า ใกล้ป้อมยามของลุงชม มันเป็นที่ที่เด็กหญิงถูกนำมาทิ้งเอาไว้ในวันแรกของการพบกัน
ไม่ต้องบอก ทุกคนก็เข้าใจ ลึกๆ แล้วเด็กหญิงวัยห้าขวบกำลัง… นั่งรอ
รออย่างมีความหวังในส่วนลึกของหัวใจ รอว่าเมื่อไหร่มารดาจะกลับมารับตน
“น้องร้องไห้ค่ะ หนูเห็น แต่พอหนูถามน้องก็เช็ดน้ำตาแล้วเดินหนี”
นี่คือคำบอกเล่าจากเด็กหญิงอายุมากกว่าอัยรินไม่กี่ปีที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลน้อง และช่วยในเรื่องการปรับตัวกับสังคมของสถานที่ใหม่ ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายบอกมามันเป็นการกระทำที่ไม่มีใครเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่เด็กยังห้าขวบปฏิบัติ
ตั้งแต่นั้นผู้ใหญ่ทุกคนต่างประชุมปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียดพร้อมทั้งเรียกจิตแพทย์เด็กมารักษาอัยรินเป็นการด่วน ไม่มีใครคาดคิดว่าแม้บาดแผลภายนอกจางหาย แต่บาดแผลภายในที่เกิดขึ้นพร้อมกันกลับยิ่งอักเสบรุนแรง
“น้องต้องการเวลา ความรัก ความเอาใจใส่มากกว่าเด็กทั่วไปค่ะ เด็กห้าขวบทั่วไปควรร่าเริง สดใส ยิ้มง่าย หัวเราะ สนุกสนานกับเพื่อนได้ แต่น้องอัยย์ไม่ใช่ ข้างในนั้นเต็มไปด้วยหลายสิ่ง มันหนักมากสำหรับเด็กตัวแค่นั้น เด็กห้าขวบคนนึงไม่ควรต้องรู้สึกแบกรับขนาดนี้เเลย แต่น้องกำลังทำ น้องเป็นทุกอย่างที่เด็กห้าขวบไม่ควรเป็น”
หลังจากนั้นอัยรินต้องเข้ารับการรักษากับจิตแพทย์เด็กที่โรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด
“แบบนี้เรียกว่าเย็นชาได้ไหมคะคุณหญิง”
คำถามของแพรไหม เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจากสถานสงเคราะห์เอ่ยขึ้นในวันที่ต้องเดินทางไปส่งเด็กหญิงที่โรงพยาบาลด้วยกัน ส่งผลให้คุณหญิงวารีต้องนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ด้วยท่านก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน
“นั่นสินะ”
นั่นเรียกว่าเย็นชาใช่ไหมนะ
ท่านยังคงสงสัย กระทั่งจิตแพทย์ที่ทำการรักษาอัยรินสร้างความกระจ่างแก่ใจให้ในที่สุด
“เวลาที่บาดเจ็บรุนแรง ไม่ว่าจะร่างกาย หรือจิตใจ เราควรร้องไห้ใช่ไหมคะ แต่หนูอัยย์ไม่ได้ทำแบบนั้น โดยปกติสมองจะสั่งงานไม่แตกต่างกันนัก นั่นคือการสร้างกำแพงความรู้สึกขึ้นมาปกป้องตนเอง แต่นั่นมันก็ควรเกิดขึ้นตอนที่เราเติบโตมากพอจะเข้าใจความหมายของคำว่าเจ็บปวด เสียใจ แต่นี่…” ดวงตารีเรียวหลุบมองชาร์ทข้อมูลคนไข้ของตนแล้วถอนหายใจ
“หนูอัยย์อายุแค่ห้าขวบนะคะ”
อัยรินยังเด็กมาก เด็กขนาดที่ว่าไม่ควรจะประสีประสาในเรื่องอะไรแบบนี้ ทว่าเด็กหญิงกลับทำในสิ่งที่แม้กระทั่งจิตแพทย์ที่ให้การรักษายังเวทนา
“แกไม่ร้องไห้เลย”
คุณหญิงวารีและเจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์หันมองหน้ากัน ก่อนคนหลังจะเอ่ยถาม
“ไม่ดีเหรอคะคุณหมอ”
“ไม่ค่ะ” จิตแพทย์หญิงสูงวัยที่ให้การรักษาส่ายหน้า “มันไม่ใช่เรื่องดีเลย”
นั่นทำให้ท่านหวนคิดถึงบุตรชายทั้งสองคน วาคินเงียบขรึมไม่แสดงความรู้สึกราวหิมะในหน้าหนาว ในขณะที่มาวินยิ้มแย้มใจดี อบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ ทว่าใครจะรู้ว่าแท้ที่จริงคนที่นิ่งเงียบกลับไม่น่ากลัวเท่าคนที่ยิ้มหัวตลอดเวลา
มาวินทำหลายสิ่งที่วาคินไม่มีวันทำ และหนึ่งในเรื่องนั้นยังส่งผลแก่ท่านมาจนถึงทุกวันนี้ หากไม่ว่าบุตรชายคนโตจะทำสิ่งใด มากมายแค่ไหน หัวใจของท่านก็ยังเอนเอียงไปทางฝั่งนั้นเสมอ ไม่เคยมีวันไหนที่ท่านรักบุตรชายคนโตน้อยลงสักนิดเดียว ในทางตรงกันข้ามกับวาคินแล้วนั้นท่านไม่อาจรู้สึกเช่นนั้นได้… เท่าที่ควร
ท่านรักลูกไม่เท่ากัน… นั่นจริง
คนหนึ่งเกิดจากความรัก ส่วนอีกคน… เกิดจากความผิดพลาด
วาคินคงรู้สึกไม่แตกต่างจากอัยรินแม้แต่น้อย ทว่าทุกครั้งที่ท่านมองใบหน้า และดวงตาสีเทาเข้มที่ละหม้ายคล้ายบิดาของอีกฝ่ายมันส่งผลให้ภาพความทรงจำอันผิดพลาดหวนกลับมาตอกย้ำ ทุกครั้งที่มองลูกคนเล็กมันจะสะท้อนภาพความผิดพลาดซ้อนทับไปมาจนไม่อาจวางใจรักใคร่ได้อย่างใจนึก
คุณหญิงวารีถอนหายใจแรงๆ ลูบอกตนเองเพื่อปลอบประโลมความเจ็บปวดจากข้างในของหัวใจคนเป็นแม่
“คุณหญิงครับ” ดวงตาที่เหม่อลอยกะพริบปริบ ก่อนหันใบหน้ากลับมายัง ‘คนสนิท’ ของตน
“เรียบร้อยใช่ไหมวรันย์”
“เรียบร้อยครับ ผมส่งคุณทนาย และเดินเรื่องรับตัวหนูอัยย์เรียบร้อยแล้วครับ”
‘วรันย์’ คือเลขาคนสนิท บอดีการ์ดวัยกลางคนที่ทำงานกับบิดาของท่านมาก่อน หลังจากหม่อมหลวงรณเกียรติ เลิศวรานนท์เสียชีวิตลง วรันย์ก็ติดตามรับใช้คุณหญิงวารีนับแต่นั้น
“แล้วข้าวของของหนูอัยย์ล่ะ”
“คุณเพียงรักเก็บให้เรียบร้อยแล้วครับ ผมขนไปใส่ไว้หลังรถเรียบร้อยครับ”
แม้จะมีข้าวของติดกายมาเพียงไม่กี่อย่าง แต่อัยรินก็หวงแหนมันมากทีเดียว โดยเฉพาะตุ๊กตาเด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงสีชมพูซีดเซียวที่เย็บด้วยมือตัวนั้น เด็กหญิงกอดมันไว้ตลอดเวลาตั้งแต่มาถึงที่นี่ ของสิ่งนั้นน่าจะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่ และลึกๆ ภายในใจอาจกำลังคิดถึงคนที่เย็บให้ในอดีตมากทีเดียว
ทว่า… ท่านไม่ต้องการให้เด็กหญิงต้องหวนคิดถึงอดีตอันข่มขื่นอีกต่อไป
และดูเหมือนเด็กหญิงจะเข้าใจเรื่องยากๆ เหล่านี้ หลังจากปรับตัวได้มากขึ้นก็ไม่ได้กอดมันเอาไว้ตลอดเวลา แต่วางมันไว้เคียงหมอนอย่างทะนุถนอม และกอดมันก่อนนอนเท่านั้น ท่านจึงคลายใจไปได้บ้าง
“ดีมาก”
คุณหญิงวารีพยักหน้ารับเบาๆ หันกลับไปมองร่างผอมบางของเด็กหญิงอีกครั้ง ถอนหายใจเบาๆ เพราะไม่รู้เลยว่าท่านจะต้องใช้เวลาในการเยียวยารักษาบาดแผลใจหัวใจดวงน้อยนานแค่ไหน ทั้งๆ ที่ท่านเองก็ต้องรักษาบาดแผลในใจของตนเช่นกัน
“ไปเถอะ ไปรับหนูอัยย์กลับบ้านเรา”
ชายวัยกลางคนค้อมศีรษะ ก่อนเดินตามแผ่นหลังบางไปอย่างเงียบเชียบตามอุปนิสัยของตน
“หนูอัยย์”
อัยรินเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตากลมโศกคู่นั้นมีแสงระยิบแว๊บเดียวก่อนลับหาย ทว่านี่ก็มากแล้วในสายตาของคนที่เคยเห็นเพียงความมืดมนในดวงตาคู่นี้
“กลับบ้านกันค่ะ”
เด็กหญิงลุกขึ้นยืน ย่อกายพนมไหว้อย่างงดงาม จนคนมองอดยิ้มตามไม่ได้ แม้จะเย็นชาแต่กริยามารยาของเด็กหญิงก็งดงามชดช้อยราวกับได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี
คุณหญิงวารียอบกายลงนั่ง ยิ้มบางๆ พร้อมเอื้อมมือไปแตะแก้มนุ่มอย่างอ่อนโยน
“นี่คุณลุงวรันย์” ชายวัยกลางคนขยับตัวเดินออกมาเป็นการแนะนำตัว
“ต่อไปนี้คุณลุงวรันย์จะเป็นลุงรันย์ของหนูนะคะ ส่วนแม่จะเป็นแม่ของหนู”
เด็กหญิงไม่เข้าใจนัก หากใบหน้าอมทุกข์ก็ยังพยักรับเชื่อฟัง
“ต่อไปเวลาผู้ใหญ่พูดด้วยหนูต้องตอบนะคะ ไม่เอาพยักหน้านะเข้าใจไหม”
ไม่รู้เข้าใจหรือเปล่า แต่เด็กหญิงก็ขานตอบอย่างเชื่อฟัง “ค่ะ”
คุณหญิงวารียิ้มกว้าง จับจูงมือน้อยเอาไว้ในอุ้งมืออุ่น พาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แม้ท่านจะเป็นแม่ที่ดีให้ลูกทั้งสองคนไม่ได้ ทำหน้าที่แม่ได้ย่ำแย่แค่ไหน แต่นับจากวันนี้ท่านจะเลี้ยงดูอัยรินให้ดีที่สุด มันอาจเหมือนเป็นการแก้ตัว และใช่ ท่านกำลังแก้ตัวกับเรื่องราวในอดีตของตน เพราะท่านไม่อาจฝืนรักวาคินได้ แต่ก็ไม่อาจเข้าใจในตัวมาวินได้เช่นกัน
เพราะทั้งคู่… ต่างมองท่านเป็นมารดาเพียงในนาม ไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริง!