ลงหลักปักเมือง พิธีกรรมของผู้กล้าแห่งรัฎฐณสุวรรณ
ฉันเคยอ่านในหนังสือประวัติศาสตร์หรืออ้างอิงถึงประวัติศาสตร์หลายเล่ม แม้แต่ละครอีกหลายเรื่องที่บอกเหมือนกันหมดว่า พิธีลงเสาหลักเมืองจะต้องใช้คนเป็น ๆ ไปอยู่ในหลุมก่อนที่จะปล่อยเสาหลักเมืองลงไปทับคนเหล่านั้น แต่คนที่จะได้ลงไปอยู่ในหลุมที่จะนำเสาหลักเมืองลงได้นี้ก็มีเงื่อนไขหลายข้อ สิ่งหนึ่งที่ฉันจำได้คือ จะต้องมีชื่อว่า อิน จัน มั่น คง
แต่สำหรับบนทุ่งที่กลายมาเป็นหมู่บ้านแห่งนี้ดูแล้วไม่มีการเตรียมชื่อ อิน จัน มั่น คง เอาไว้แน่นอน แต่ก็นะ ที่ ๆ ฉันอยู่นี้ระยะเวลาก็ไกลจากสมัยอยุธยามาเยอะพอสมควร
ตั้งแต่อำมาตย์รณกฤตสันตเดโลชัยขึ้นมายังเมืองนี้ เขาพยายามจะอธิบายให้พระเจ้าหรรษาชยวรมันต์และเจ้านางศศิพินทุเทวีได้รู้ว่าสาเหตุใดที่เขาหายไป แต่ทั้งสองพระองค์ไม่ได้ทรงให้โอกาสแก่เขา มีเพียงขุนหลวงลาภวัตมนตรีผู้ที่ตามขบวนของพระเจ้าหรรษาชยวรมันต์มาเท่านั้นคอยพูดคุย เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง
“ข้าเลือกเรือนหมู่นี้ไว้ เอาไว้สำหรับเป็นเรือนของเรา และอีกเรือนหนึ่งเอาไว้ยามอำมาตย์กฤตธรรมฤทธิ์ขึ้นมา เรือนเครื่องผูกไม้ไผ่ 4- 5 หลังทางด้านโน้น คงน่าจะเพียงพอต่อบ่าวไพล่ของเราที่เหลืออยู่”
“ท่านพ่อคงเหนื่อยมาก ร่างกายผ่ายผอมไปจนผิดรูป”
อำมาตย์รณกฤตสันตเดโชชัยก้มกราบลงแทบเท้าผู้เป็นพ่อ
“ขึ้นเรือนของเราเถิด ข้ามีเรื่องต้องแจ้งแก่เจ้าหลายเรื่อง”
เรื่องที่แจ้งนั้นก็เป็นเรื่องการปักเขตหลักเมืองทั้งสี่ทิศ การทำพิธีพลีกรรม รวมทั้งความมหัศจรรย์ของประตูเมืองต้นไม้
“ดินแดนนี้ลี้ลับมาก เสมือนจิตใจของเจ้านางศศิพินทุเทวีที่ตอนนี้ลูกไม่เข้าใจพระองค์อีกเลย ดวงตาที่มองลูกว่างเปล่ายิ่งนัก”
“เจ้านางทรงโกรธลูกมาก โชคดีแค่ไหนแล้วที่เจ้ายังผ่านเข้ามาในนี้ได้ เพราะประตูแดนนี้จะเปิดให้คนเข้าหรือออกได้ต้องมาจากความเต็มใจของเจ้านางตามที่ได้สั่งมะลิมาศเอาไว้ และมะลิมาศก็ทำได้ดีนับตั้งแต่วันแรกที่ต้องปฎิบัติหน้าที่ ไม่เคยทำให้เจ้านางต้องทรงผิดหวัง”
“หากมีวาสนาต่อกันลูกคงมีโอกาสได้อธิบายให้เจ้านางรับทราบ ส่วนพระองค์จะเข้าใจหรือไม่นั้นก็แล้วแต่ชะตาลิขิต”
“เราคงต้องหางานต่าง ๆ ในหมู่บ้านนี้ทำ เพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่ของพระเจ้าหรรษาชยวรมันต์และเจ้านางศศิพินทุเทวี”
สิ้นเสียงของขุนหลวงลาภวัต ก็มีเสียงของพระมหาราชครูเรียกจากบันไปเรือนด้านล่างว่า
“ขุนหลวงลาภวัต ท่านอำมาตย์มนตรี ข้าขอเชิญท่านไปคุยร่วมกันกับพระเจ้าหรรษาชยวรมันต์และเจ้านางศศิพินทุเทวีที่ศาลากลางหมู่บ้าน”
เรื่องที่พระมหาราชครูหารือมีอยู่ว่า
1.จะต้องพิธีเซ่นไหว้อีกครั้งเพื่อเข้าไปเอาไม้ในป่าทึบด้านบนมาเพิ่มเติม ทั้งเอามาสร้างสิ่งปลูกสร้างและกั้นคอกสัตว์เลี้ยง โดยในครั้งนี้สามารถใช้เลือดของอำมาตย์รณกฤตสันตเดโชชัยได้เพราะเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวพันธ์กับผู้เป็นใหญ่ที่ดูแลเทือกเขานี้เช่นเดียวกับเจ้านาง
ซึ่งไม่เป็นที่พอใจของเจ้านางเป็นอย่างมาก
“ข้ายังอยู่ ข้ายังทำได้ ไม่จำเป็นต้องให้คนที่ละเลยต่อหน้าที่ของแผ่นดินมีค่าคู่ควรกับหน้าที่นี้”
“ในครั้งนี้ต้องใช้โลหิตสดมากกว่าครั้งที่แล้ว และข้าคิดว่าผู้ที่คอยพิทักษ์สถานที่แห่งนี้ยินดีที่จะเป็นเลือดจากผู้ชายมากกว่าผู้หญิงพะยะค่ะ”
“แล้วผู้ชายคนอื่นบนนี้ไม่มีแล้วหรือ”
“เจ้านางเองก็ทรงทราบว่าเคยมีการทำนายเอาไว้ว่าเจ้านางและอำมาตย์รณกฤติสันตเดโชชัย เคยมีภพภูมิที่เกิดเป็นพญานาค แล้วท่านคิดว่าหากไม่ใช่ท่านและอำมาตย์รณกฤตสันตเดโชชัยร่วมมือกันในครั้งแรกที่บุกลุยมาสร้างเมืองแห่งนี้ ความสำเร็จจะเกิดขึ้นเช่นวันนี้หรือ”
เจ้านางไม่ตอบอะไรได้แต่แสดงท่าทีปั้นปึงไม่พอใจอยู่เช่นนั้น
2.ฤกษ์ลงเสาหลักเมืองเหลืออีกไม่กี่วัน เครื่องสักการะบูชา เซ่นไหว้ต่าง ๆ ต้องจัดเตรียมให้พร้อม และงานนี้เราต้องใช้คนถึงสองคน ต้องเป็นคนที่มีความจงรักภักดีต่อเจ้าผู้ครองแคว้นเป็นอย่างยิ่ง เป็นคนที่มียศมีศักดิ์ เป็นที่เคารพของข้าไทไพล่ฟ้า ซึ่งข้ากับเจ้านางได้จัดเตรียมไว้แล้ว 1 คน ส่วนอีกคน ข้าคงต้องหารือกับทั้งสองพระองค์อีกครั้งในคืนนี้
“หมดหน้าที่ของเจ้าแล้วอำมาตย์รณกฤตสันตเดโชชัย เจ้าไปได้แล้ว”
“หม่อมฉันเองก็ขอไปเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ต่อผู้ปกปักษ์รักษาเทือกเขานี้ก่อนนะพะยะค่ะ ตอนนี้ผู้คนเรามีมากพอที่จะก่อสร้างมหาวิหารและสถูปเจดีย์ต่าง ๆ แล้ว”
“แล้วท่านจะหาศิลาแลง ศิลาทราย เครื่องสอยึดแนวได้จากที่ไหน”
พระเจ้าหรรษาชยวรมันต์ถามด้วยความเป็นห่วง
“ส่วนหนึ่งเราได้จากภูเขานี้ และอีกส่วนหนึ่งได้มาจากการวางทับสิ่งของที่มาจากเหล่าเครื่องลากทั้งหมด และในเวลานี้เตาเผาดินของเราแข็งแรงเรียบร้อยดีแล้ว พอที่จะใช้มุงหลังคากันแดดกันฝนได้เป็นอย่างดี เสร็จจากพิธีเซ่นต่อเจ้าผู้ครองเทือกเขาแห่งนี้ อาจจะให้บรรดาขุนทหารใช้รถลากทั้งหมดลงไปนำขึ้นมาอีกเท่าที่จะบรรทุกได้”
เช้าวันรุ่งขึ้นคณะของอำมาตยนายกก็เข้ามายังหมู่บ้าน มีผู้คนตามมาอีกนับสิบคน ทั้งลูกเด็กเล็กแดง ที่สามารถเดินขึ้นภูเขาได้ง่ายแล้ว ยังมีผู้เฒ่าคนชราอีกส่วนหนึ่ง
“รณกฤตเจ้าพาพวกเขาไปเลือกเรือนที่จะพออยู่ได้ให้พวกหมู่นี้ หากเรือนหมดแล้วก็ให้อยู่รวมกันไปก่อน จนกว่าจะสามารถเอาไม้ออกมาได้เพิ่มจึงค่อยช่วยกันสร้าง”
“หม่อมฉันนำพันธ์ไก่ วัว ควายและเมล็ดพันธ์พืชขึ้นมาอีกหลายชนิดด้วยพะยะค่ะ”
“ข้าขอบคุณท่านมากท่านอำมาตยนายก พื้นที่นี้ปลูกอะไรก็ขึ้นก็งาม หมู่เราคงไม่อดอยากกันอีกแล้ว”
“แต่หม่อมฉันขอแจ้งว่า บนภูเขานี้ห้ามทุกคนกินเนื้อสัตว์นะพะย่ะค่ะ หากเลือดสัตว์ตกลงดินจะเกิดอาเภทใหญ่หลวง เรากินได้แค่น้ำนมจากวัวหรือควาย และไข่ไก่เท่านั้น”
พระมหาราชครูแจ้งต่อทุกคน
“เช่นนั้นท่านจงให้คนไปป่าวประกาศให้รู้ทั่วกันเถิด”
พระเจ้าหรรษาชยวรมันต์สั่งการเสร็จ ก็หันมาคุญกับเจ้านางศศิพินทุเทวี
“พ่อไม่สบายใจเลย ที่ผู้ต้องลงไปยังหลุมปักเสาหลักเมืองต้องเป็นอำมาตยนายกและขุนหลวงลาภวัตมนตรี พวกเขาทำงานรับใช้พ่อมานานด้วยความจงรักภักดี เห็นกันจนเสมือนเป็นพี่น้อง”
“ลูกก็รู้สึกไม่ต่างจากเสด็จพ่อดอกเพคะ และนึกไม่ถึงด้วยว่าคนอีกผู้หนึ่งนั้นจะต้องเป็นขุนหลวงลาภวัตมนตรีเช่นกัน”
สีหน้าทั้งสองพระองค์เคร่งเครียดและเศร้าสร้อย ฉันรู้ถึงความรู้สึกของเจ้านางที่ทรงห่วงใยความรู้สึกของอำมาตย์รณกฤติสันตเดโชชัย ที่ต้องอยู่ในเหตุการณ์ตอนลงเสาหลักเมืองลงไปในหลุม จึงเดินไปยังหลุมที่ฝังร่างของมะลิมาศ เมื่อไปถึงก็ทรงนั่งนิ่ง ๆ ทอดอาลัยโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย การต้องเป็นผู้นำความตายมาให้คนที่อยู่ใกล้ชิดตนเองนั้นมันทรมานความรู้สึกมากเหลือเกิน คงมีแต่มะลิมาศที่สามารถปลอบใจพระองค์ได้ นางจึงนั่งลงตรงหน้าของเจ้านาง และมองมายังฉันด้วยหวังจะให้ช่วยประคับประคองจิตใจเจ้านาง แต่ฉันไม่สามารถสัมผัสกายเนื้อหรือสื่อสารใด ๆ กับเจ้านางได้เลย จึงได้แต่สบตากับมะลิมาศอย่างเศร้าสร้อยเช่นกัน
เย็นวันเดียวกันนั้น พระมหาราชครูได้มาที่เรือนของขุนหลวงลาภวัตและอำมาตย์รณกฤติสันตเดโชชัย เมื่อขึ้นไปนั่งกินหมากกินพลูกันเรียบร้อย พระมหาราชครูก็กล่าวขึ้นว่า
“ข้ามีเหล็กเนื้อดีอยู่ 4 แท่ง เป็นเหล็กที่ครูบาอาจารย์ของข้าเก็บไว้มานานจนตกทอดสู่ข้า วันนี้ข้าจะมาขอให้เจ้าช่วย”
พระมหาราชครูหันไปทางอำมาตย์รณกฤติสันตเดโชชัย
“เจ้าช่วยตีหินนี้ให้กลายเป็นมีดสั้นที่คมจนสามารถตัดเชือกเส้นใหญ่ได้ขาดในคราเดียวให้ข้าทีเถิด ข้าให้พวกคนที่ขึ้นมาก่อนทำเตาเผาสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งหลอมเหล็ก ตีดาบ ไว้ที่ท้ายหมู่บ้านเพื่อเอาไว้ใช้ถากไม้ ตัดไม้หรือเฉือนของทำอาหาร เจ้าช่วยข้าทีได้ไหม”
“ข้ายินดีช่วยท่านเป็นอย่างยิ่งพระมหาราชครู”
อำมาตย์รณกฤติสันตเดโชชัยยิ้มกว้าง ตื่นเต้นและยินดีที่จะได้ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อเมืองนี้ให้มากที่สุด ให้สมกับที่เขาทำช่วงเวลาหนึ่งหายไป
“ส่วนท่าน ขุนหลวงลาภวัตมนตรี ข้าต้องการฟั่นเกลียวเชือกให้เป็นเส้นใหญ่มากมากพอที่จะยึดไม้หลักเมืองเข้ากับเสาทั้งสี่ต้นไว้ได้ ข้าให้คนเอาไม่สักต้นใหญ่แข็งแรงลงปักลึกในพื้นดินทั้งสี่ด้านแล้ว รอเพียงยกเสาหลักเมืองขึ้นแล้วผูกค้างไว้ด้วยเชือก รอเวลาที่จะเอาลงในพื้นดิน ก็จะเสร็จพิธีกรรมทั้งหลายในการสร้างเมืองใหม่แห่งนี้”
ขุนหลวงลาภวัตเองก็ยินดีและรู้สึกไม่ต่างจากลูกชาย ในการที่จะทำงานใด ๆ ชดเชยความรู้สึกผิดที่มีในใจตกกลางคืนสองพ่อลูกนอนคุยกันเงียบ ๆ ว่า
“ท่านอำมาตยนายกนำคนขึ้นมามากทั้งผู้เฒ่าผู้แก่แต่กลับไม่มีคนจากเรือนของเราแม้แต่คนเดียว”
ขุนหลวงลาภวัตเอ่ยขึ้นมา แขนข้างหนึ่งก็พาดไว้บนหน้าผาก
“ท่านแม่คงยังไม่ขึ้นมาเพราะห่วงเจ้ารุจิภาศอยู่กระมัง ลูกข้ามันไม่แข็งแรงนัก ย่ากับยายคงกลัวจะได้ไข้ได้โรค”
“ตอนนี้ในแคว้นก็คงเหลือเพียงคนในเรือนของเราและบรรดาผู้ทรงศีลในมหาวิหารของเจ้านางเท่านั้น”
“ท่านพ่อไม่ต้องกังวลใจไป หลังพิธีลงเสาหลักเมืองลูกจะลงไปยังแคว้นอีกครั้งเพื่อร่วมพิธีทำบุญล้างเมืองและจะกลับไปที่เรือนเพื่อเอาทุกคนมาที่นี่”
“แม่เจ้ามีญาติอยู่ทางอาณาจักรสุพรรณภูมิ ไม่ใช่ว่าโกรธพ่อ โกรธเจ้าจนอพยพไปแล้วหรือ”
“ข้าไม่คิดเช่นนั้นหรอกท่านพ่อ แท้จริงแล้วท่านแม่ก็จงรักภักดีต่อพระเจ้าหรรษาชยวรมันต์ พระมเหษีเทวีนทีนาถและเจ้านางศศิพินทุเทวีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเรา หากแต่ท่านแม่คงสงสารนางรำเพยและหลานที่จะออกมาโดยที่ทั้งท่านพ่อ อำมาตย์กฤตธรรมฤทธิ์ ไม่ได้เอาใจใส่ดูแล ทั้งยังภัยอันตรายที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ท่านแม่คงเสียขวัญเช่นกันจึงอยากให้เราอยู่กันให้พร้อมหน้า”
“แม่เจ้าไม่น่าทำเยี่ยงนั้นเลย ทุกวันนี้ข้าไม่กล้าแม้แต่จะสบตาพระเจ้าหรรษาชยวรมันต์และเจ้านางศศิพินทุเทวีเลยสักครั้ง”
พูดจบก็นอนหันหลังให้ลูกชายที่ตอนนี้ก็ยกเอาแขนพาดบนหน้าผากนอนลืมตาโพลงมองดูหลังคามุ้งอย่างเลื่อนลอย
“พ่อไม่กล้าสบตาอำมาตยมนตรี ขุนหลวงลาภวัตมนตรีและรณกฤตมาหลายเพลาแล้ว”
“ลูกเองก็เช่นกันเพคะเสด็จพ่อ และยิ่งรู้จากพระมหาราชครูว่าผู้ที่ตีเหล็กอาคมให้เป็นมีดสั้นตัดเชือกนั้นคืออำมาตย์รณกฤติสันตเดโชชัยเอง และผู้ที่จะตัดเชือกทั้งสี่ด้านนั้นเขาต้องเป็นคนตัดเองด้วย และต้องตัดให้ขาดในคราเดียว ตัวลูกเองก็ใจคอไม่ดีกลัวว่าถึงเวลานั้นลูกจะสามารถทำได้หรือไม่”
“พ่อเองก็เช่นกัน”
พูดจบพระเจ้าหรรษาชยวรมันต์ก็ทรงพลิกไปนอนตะแคงหันหลังให้กับเจ้านางที่ทรงปูผ้านอนลงกับพื้น
วันรุ่งขึ้นทุกคนต่างกินข้าวในเรือนของตนเอง นายเวรขุนทหารที่เคยดุูแลปรนนิบัติรับใช้เหล่าผู้ทรงศีลทั้งหลายก็กระจายตัวไปดูแลเรือนใหญ่ที่ผู้ทรงศีลอยู่รวมกัน แม้จะไม่ใหญ่ขนาดศาลากลางหมู่บ้านแต่ก็เล็กกว่าไม่มากนัก อีกไม่นานพื้นที่ด้านนี้ก็จะถูกสร้างเป็นมหาวิหารเพื่อประดิษฐ์เครื่องสักการะบูชาที่พวกเขาอุตส่าห์ขนนำขึ้นมาจากแคว้นด้านล่าง หากเสร็จเรียบร้อยทุกคนในหมู่บ้านนี้ก็จะมีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเช่นเดิม ตอนนี้พวกเขาต่างพากันช่วยขัดเครื่องเป่าทั้งหลาย เช่นหอยสังข์เลี่ยมด้วยทองคำ ขลุ่ยไม้ลำยาว เครื่องตีที่ทำจากไม้ไล่ระดับลงมา
เหล่าสาวงามในหมู่บ้านก้เตรียมการฟ้อนบูชาเสาหลักเมือง ดอกดาวเรือง มะลิ พุด ออกดอกกันอร่ามตาไปหมด เหมือนจะรู้ว่างานที่จะถึงนี้ต้องใช้กลีบดอกไม้ พวงมาลัยจำนวนมาก
อำมาตย์รณกฤติสันตเดโชชัยใช้เวลาตีมีดสี่เล่มนั้นถึง 3 วัน ในช่วง 3 วันนี้เป็นวันที่ดูสดใสมากสำหรับเขา ทุกคนในหมู่บ้านต่างช่วยกันเตรียมงาน เครื่องนุ่งห่ม ผ้าแพรพรรณ เครื่องประดับทั้งหลายที่อุตส่าห์ขนกันมาก็จะได้ใส่กันในงานที่จะถึงนี้ ความรื่นเริงนี้ทำให้เขาอดยิ้มไปทำงานไปด้วยไม่ได้
แต่คนที่ดูไม่มีความสุขและอมความมทุกข์จนต่างจากคนอื่นคือ พระเจ้าหรรษาชยวรมันต์และเจ้านางศศิพินทุเทวี แต่เขาเดาไม่ออกว่าเรื่องใดกันที่ทำให้ทั้งสองพระองค์ดูทุกข์ใจเยี่ยงนี้ พระเจ้าหรรษาชยวรมันต์เองก็เอาแต่อยู่กับบรรดาผู้ทรงศีล เจ้านางเองก็ขึ้นไปที่ลาดเชิงเขาที่สูงกว่าเมืองนี้ ที่ซึ่งเขาได้รับการบอกเล่าว่ามะลิมาศนางกำนัลคนสนิทของเจ้านางเป็นผู้ปกปักษ์รักษาเมืองทางด้านนี้และคอยดูแลคนที่สามารถจะผ่านเข้าออกเมืองนี้ด้วยต้นไม้ที่ผุดขึ้นมากจากหลุมของนาง
“พรุ่งนี้ก็คงจะรู้แล้วนะว่าผู้ใดจะทำหน้าที่รองรับเสาหลักเมือง”
“ใช่แล้วล่ะท่านพ่อตอนนี้พิธีก็จัดเตรียมไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ประกาศว่าใครจะได้ทำหน้าที่นั้น”
“ใจคอพ่อไม่ค่อยดีเลยรณกฤต เดี๋ยวก็รู้สึกดี อิ่มเอิบ ปลื้มปิติ บัดเดี๋ยวก็เศร้าสร้อย ใจหาย หากพ่อเป็นอะไรไป เจ้าจงดูแลทุกคนในเรือนเราให้ดี เลี้ยงดูรุจิภาศให้สนองคุณแผ่นดินแกเช่นเรานะลูก”
ท่านพ่อคงเหนื่อยมากและคิดถึงท่านแม่ด้วย อีกไม่นานแล้วที่ลูกจะลงไปและจะพาท่านแม่ขึ้นมา”
ทำไมฉันถึงรู้สึกได้ว่าอำมาตย์รณกฤติสันตเดโชชัยจะไม่ได้ทำในสิ่งที่เขาพูด มันดูไม่น่าจะมีอุปสรรคอะไรแล้วที่เขาจะนำคนในเรือนทั้งหมดมาที่นี่
รุ่งเช้าขบวนกลองเครื่องดนตรีปี่ระนาด เท่าที่ฉันมองออกเพราะคล้าย ๆ กัน ต่างเล่นประโคมกันตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น อาหารคาวหวานเต็มศาลากลางเมืองเลี้ยงผู้คนได้ทั้งหมู่บ้าน ท่ามกลางเสียงเฮฮานั้นพระมหาราชครูก็เดินนำหมู่คณะผู้ทรงศีลมานั่งบนแท่นยกพื้นยาวไปตลอดด้านข้างศาลาและเป็นด้านข้างของหลุมลึกที่จะปักเสาหลักเมืงลงไปด้วย ด้ายสีขาวที่ดูหยาบกว่าสายสิญจน์ที่ฉันเคยเห็นแต่ขาวบริสุทธิ์เหมือนมีแสงสว่างแผ่ออกมาถูกโยงไปตามเสาหลักทั้งสี่ต้น แล้วไปผูกยังหัวที่สลักไว้กลมมนเคลือบด้วยทองคำ พระมหาราชครูต้องใช้บันไดพาดเพื่อทำการนี้ แล้วลากสายสิญจน์ที่เหลือนั้น มายังพานที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของเหล่าผู้ทรงศีล
พระเจ้าหรรษาชยวรมันต์ลุกขึ้นกล่าวต่อทุกคนว่า
“บัดนี้เมืองใหม่ของเราที่แม้นมิได้ใหญ่โตเช่นแคว้นรัฎฐณสุวรรณเบื้องล่าง หากแต่ทุกคนแคล้วคลาดรอดพ้นจากภัยพิบัติต่าง ๆ แม้กระทั่งแผ่นดินที่สั่นไหวรุนแรงก็ยังไม่กระทบพวกเราบนนี้มากนัก พวกเราทุกคนบนนี้กินอิ่มนอนหลับกันมาหลายเพลาแล้ว อีกไม่นานเหล่าผู้ทรงศีลข้างล่างก็จะขึ้นมายังหมู่บ้านเราทั้งหมด ที่นี่ทุกคนจะปลอดภัยจากทุกอย่าง เพราะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ใช่ใครก็ขึ้นมาได้ และต่อไปเมื่อขึ้นมาได้ก็ไม่สามารถที่จะเห็นหรือเข้าเมืองของเราได้ ตามที่ท่านมหาเถรสังฆราชเจ้าและพระมหาราชครูได้วางหลักให้พวกเรา
ต่อไปเพื่อให้เมืองเป็นเมือง เป็นเสาหลักของเมืองที่จะค้ำจุนพื้นที่แห่งนี้ จึงต้องทำพิธีลงเสาหลักเมืองที่พวกเจ้าช่วยกันทำอย่างงดงาม ต่อไปคือผู้ที่จะเสียสละลงไปเป็นผู้อารักขาเมืองแห่งนี้ของเรา เป็นเทพเทวาที่ช่วยปกปักรักษาพวกเราให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ข้าอยากถามเหลือเกินว่าใครจะเป็นผู้เสียสละ แต่ทว่าหน้าที่นี่มิใช่ใครก็ได้ที่จะทำ หนึ่งในผู้ที่จะลงไปรอรับเสาหลักเมืองนี้ต้องเป็นผู้ที่เกิดปีมะโรง เป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับหน้าถือตา มีเกียรติมีศักดิ์สมกับที่ข้าไทบ่าวไพล่ไหว้สากราบกราน และยังต้องจงรักภักดีต่อเจ้าผู้ครองแคว้นเป็นอย่างมาก
อีกผู้หนึ่งนั้นก็จะต้องมีทุกอย่างเหมือนกัน หากแต่ว่าต้องเกิดตรงกับวันเสาร์เพลาพระจันทร์ตรงศรีษะ หน้าที่นี้แม้จะยิ่งใหญ่นัก แต่ก็ต้องเสียสละความรักความผูกพันธ์ที่จะอยู่ดูแลครอบครัว แล้วยังต้องเข้มแข็งตั้งมั่นกับหน้าที่ของตน หากผู้ใดมีคุณสมบัติเช่นนี้ขอให้ก้าวออกมา”
ความเงียบแบบ Death Air เกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่งก่อนที่อำมาตยนายกและขุนหลวงลาภวัตมนตรีจะก้าวออกมาจากผู้คน ด้วยท่าทางที่มั่นคง แน่วแน่กับการตัดสินใจของตนเอง
อำมาตย์รณกฤติสันตเดโชชัย ทรุดนั่งลงกับพื้น หยาดน้ำตาคลอด้วยความตื่นตระหนกและไม่ได้คิดมาก่อน เจ้านางศศิพินทุเทวีมองไปยังเขาด้วยความเห็นใจยิ่งนัก
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอให้เจ้าทั้งสองไปทำความสะอาดร่างกาย และตกแต่งร่างกายของเจ้าตามยศและฐานะของเจ้าต่อเมืองนี้”
พระเจ้าหรรษาชยวรมันต์ทรงหันหลังกลับเข้าไปในศาลาใหญ่นั้นทันทีที่กล่าวจบ น้ำที่กระเด็นมาโดนแขนของฉันคงเป็นน้ำตาที่หยาดลงมาขณะหมุนตัว ทำไมน้ำตานี้ถึงข้ามมิติมายังฉันได้ หรือเพราะฉันเองก็ร้องไห้เช่นกัน
“โยมลูกนก เจ้าเกี่ยวข้องอะไรถึงต้องเอาจิตเข้าไปยึดเข้าไปสัมผัส”
เป็นเสียงของหลวงพ่อที่เข้ามาในจิตของฉัน
“ถ้านกไม่เกี่ยวแล้วทำไมนกต้องมารับรู้ทุกอย่างนี้”
“ถูกต้องแล้ว เจ้ามาเพื่อรู้ ไม่ได้มาเพื่อยึดติด เมื่อรู้แล้วเจ้าก็จะได้ทำหน้าที่ของตนได้ถุูกต้องเช่นกัน”
“นกต้องตายด้วยพิธีพลีกรรมชดใช้คนอื่นหรือคะหลวงพ่อ”
“เจ้าอย่าเดาไปเลย อีกไม่นานทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว อีกไม่นานระฆังที่วัดก็จะดังขึ้น เจ้าก็จะได้หมดหน้าที่ที่ต้องมายังดินแดนนี้”
“รณกฤตพ่อได้ทำหน้าที่ต่อแผ่นดินแล้ว พ่อได้ชดใช้สำหรับช่วงเวลาที่ทิ้งให้ทุกคนบนนี้ต้องลำบาก พระมเหษีเทวีนทีนาถต้องตาย เจ้านางศศิพินทุเทวีต้องเปื้อนเลือดไปทั่วทั้งพระวรกาย พระเจ้าหรรษาชยวรมันต์ต้องนอนบนกระดานเยี่ยงคนอื่น ขอเจ้าจงภูมิใจในสิ่งที่พ่อทำครั้งนี้แล้วเล่าให้ลูกหลานฟังเขาจะได้ภูมิใจไปกับบรรพบุรุษของเขา”
อำมาตย์รณกฤติสันตเดโชชัยช่วยบิดาของเขาทำความสะอาดร่างกาย ถูแผ่นหลังเพื่อไม่ให้บิดาต้องเห็นน้ำตา
ขุนหลวงลาภวัตมนตรีก็สัมผัสได้ถึงมือที่สั่นของลูกชาย
อำมาตยนายกนั้น ภรรยาเสียตั้งแต่เขาเป็นอำมาตย์มนตรี ลูกชายเพียงคนเดียวก็ออกถือศีลห่มผ้าดิบปฎิบัติธรรมในพระมหาวิหารของเจ้านางเบื้องล่าง
“เจ้าคงไม่ได้มาเห็นหน้าที่อันน่าภาคภูมิใจของพ่อ แต่เมื่อเจ้ารับรู้พ่อคิดว่าเจ้าต้องภูมิใจร่วมไปกับพ่อเป็นแน่”
พระมหาราชครูไต่บันไดไม้ลงไปยังก้นหลุมเพื่อเอาแผ่นทองคำจารึกอักขระที่ฉันไม่รู้ว่าเป็นอักษรใดแต่คงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะผู้ทรงศีลแต่ละคนส่งต่อให้กันตั้งแต่ท้ายแถวมาจนถึงหัวแถวแล้วจึงส่งให้พระมหาราชครู ทุกคนต่างเทินแผ่นทองคำนี้เหนือหัวกันทั้งนั้น
หลังจากนั้นต้องมีผู้ที่อยู่ข้างบนคอยขยับบันไดให้พระมหาราชครูใช้ผ้าสีขาวเขียนด้วยอักขระที่ฉันดุูไม่ออกเช่นกัน แปะไว้ทั้งสี่ด้าน
“ท่านอำมาตยนายกและขุนหลวงลาภวัตมนตรี มาเบื้องหน้าข้านี้”
ทั้งสองคนที่อาบน้ำแต่งกายมาเกลี้ยงเกลาดูมีสง่าราศรีแผ่ออกมาจากตัว ใบหน้าผ่องไม่มีร่องรอยของความหวาดกลัวเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว
เมื่อมาถึงยังบริเวณพิธี ทั้งสองคนต่างก็คุกเข่าเบื้องหน้าพระเจ้าหรรษาชยวรมันต์ แล้วทุกคนต่างนึกไม่ถึงในสิ่งที่พระเจ้าหรรษาชยวรมันต์ทรงทำ พระองค์ถอดมงกุฎสวมให้กับขุนหลวงลาภวัตมนตรี ใช้เวลาในการจัดให้เข้าที่และแน่นหนา จากนั้นทรงถอดสังวาลที่พาดเฉวียนบ่ามีตราของแคว้นรัฎฐณสุวรรณประดับด้วยอัญมณีสีแดง ที่ฉันรู้เพราะว่าเป็นตราที่เหมือนกับที่สลักไว้บนพระราชอาสน์ และที่หน้าพระมหาราชวัง คล้องไส่ให้กับท่านอำมาตยนายก จัดให้เข้าที่เข้าทางด้วยพระองค์เอง แล้วจึงถอดทับทรวงดวงใหญ่ที่มีอักษรปัลวะสวมคอไปอีกชั้น ทรงใช้น้ำจากสังข์รดลงบนหัวของบุคคลทั้งสอง
“ต่อไปนี้จะไม่มีพระเจ้าหรรษาชยวรมันต์ เจ้าผู้ครองแคว้นรัฎฐณสุวรรณอีกแล้ว เพราะข้าขอมอบหน้าที่ในการดูแลปกปักเป็นเสาหลักให้แก่ผู้คนบนนี้ รวมทั้งข้าที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านบนนี้ เจ้าทั้งสองเหมาะสมกับเครื่องประดับยศเหล่านี้แล้ว”
ทั้งสองคนก้มลงกราบแทบเท้าของพระเจ้าหรรษาชยวรมันต์และถวายความเคารพสูงสุด ก่อนที่จะเลื่อนไปกราบเจ้านางศศิพินทุเทวี ที่สามารถเอ่ยปากได้เพียงแค่ว่า
“ข้าขอบคุณท่านทั้งสองยิ่งนัก”
ทรงพูดมากกว่านี้ไม่ได้แล้วเพราะก้อนสะอื้นมาอยู่ที่คอแล้ว เจ้านางจึงต้องคอยมองด้านบนของเสาไม้เหมือนว่าน่าสนใจแต่แท้จริงแล้วทรงเงยหน้าเพื่อไม่ให้น้ำตาหลั่งออกมาในเวลานี้
ที่มุมของเมืองทั้ง 4 ทิศ ร่างโปร่งแสงของวีระภัทร ถิรัต ขวัญเมือง ชุติเทพ และมะลิมาศ ต่างก็มองตรงมายังพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วยใบหน้ายิ้มละมัย
พระมหาราชครูนำมีดสั้น 4 เล่มที่อำมาตย์รณกฤตสันตเดโชชัยตีมาให้ออกจากย่ามนำมามอบให้กับพระเจ้าหรรษาชยวรมันต์ เจ้านางศศพินทุเทวี อำมาตย์รณปฤติสันตเดโชชัย ส่วนอีกเล่มเก็บไว้กำตัวเขาเอง
“ทำไมต้องเป็นข้าพระมหาราชครู”
เสียงอำมาตย์รณกฤติสันตเดโชชัย สั่นพร่าจนเจ้านางเองก็เกือบจะมองอะไรไม่เห็นเพราะม่านน้ำตาบังเอาไว้ ต้องทรงเงยหน้าบ่อยครั้ง เพื่อให้น้ำตาไหลกลับเข้าไป แต่ด้วยประโยคและน้ำเสียงของอำมาตย์รณกฤติสันตเดโชชัย ทำให้ในขณะที่เงยหน้า น้ำตาก็ยังรินไหลลงมา
“ข้าในฐานะตัวแทนแห่งพราห์มทั้งหลาย พระเจ้าหรรษาชยวรมันต์ในฐานะผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้น ท่านและเจ้านางคือผู้สืบสายโลหิตของผู้ที่ปกปักษ์รักษาเทือกเขานี้ทั้งหมด”
สำหรับอำมาตย์รณกฤติสันตเดโชชัย เขาขวัญเสียเพราะบิดาของเขาคือผู้ที่ต้องอยู่ในหลุมนี้แล้วเขาต้องเป็นทั้งผู้ตีมีดสั้นนี้ขึ้นมายังจะต้องเป็นผู้ตัดเชือกที่ผูกรั้งเสาหลักเมืองต้นใหญ่นี้ไว้อีกด้วย
สำหรับเจ้านางศศิพินทุเทวี คือความรู้สึกที่เจ็บปวด อีก 2 คนที่พระองค์ต้องมีส่วนในการพรากชีวิตของพวกเขาและกำกับหน้าที่ให้กระทำ
สำหรับพระเจ้าหรรษาชยวรมันต์ ทรงว่างเปล่านัก ด้วยหลายความรู้สึกที่เข้ามาและถกเถียงกันเองในสมอง จนถึงจุดที่ความคิดทั้งมวลดับลง
“ข้าขอให้ทุกคนไปยังทิศของตัวเองตามที่พราห์มเวรุพาท่านไป และขอให้ทุกคนตั้งสติให้มั่น เอาจิตกำหนดที่เสาหลักเมืองแห่งนี้ อย่าให้น้ำตาตกมายังแผ่นดินและต้องฟันครั้งเดียวให้เชือกขาด มิเช่นนั้นพิธีนี้จะล่มลงไป และต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนข้าก็มิรู้ได้จึงจะเหมาะสมเท่าเวลานี้”
ทั้งสามคนยืนนิ่ง ตั้งสติ กำหนดจิตใจของตัวเองตามที่ท่านมหาราชครูบอก ยึดเอาประโยชน์ของแผ่นดิน ของผู้คนที่มาอยู่รวมกันบนพื้นที่แห่งนี้ แล้วปีนขึ้นไปยังบันไดที่พาดไว้ โดยมีผู้จับอย่างมั่นคงที่เบื้องล่าง
“ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตรงศรีษะแล้ว ท่านทั้งสองพร้อมหรือยัง”
“ข้าพร้อมสำหรับหน้าที่นี้แล้ว”
เป็นเสียงที่ตอบพร้อมกันของขุนหลวงลาภวัตมนตรีและอำมาตยนายก เป็นเสียงที่เข้มแข็งห้าวหาญสมกับเป็นทหารของแผ่นดิน
“เช่นนั้นเจ้าทั้งสองมายังขอบหลุมนี้เมื่อเสียงเป่าสังข์ดังขึ้นขอให้ท่านทั้งสองลงไปยังก้นหลุมนี้เหยียบลงบนแผ่นทองคำที่ข้านำไปวางไว้ เมื่อแตรสังข์ครั้งที่สองดังขึ้น ขอให้ทุกคนตัดเชือกที่ผูกไว้ให้ขาดในครั้งเดียว”
เสียงแตรสังข์ครั้งที่หนึ่งดังขึ้นแล้ว ทั้งสองคนค่อย ๆ ทิ้งตัวลงยังก้นหลุมและยืนอย่างมั่นคงบนแผ่นทองคำ
เสียงแตรสังข์ครั้งที่สองดังขึ้นแล้ว ผู้ที่ทำหน้าที่ตัดเชือกทั้งสี่ทิศเงื้อมแขนฟันลงจนขาดในทีเดียว
เสียงที่ดังมาจากก้นหลุมเป็นเสียงของแข็งที่กระแทกลงไปยังผู้ที่อยู่เบื้องล่าง ไม่มีแม้เสียงร้องใด ๆ จากคนทั้งสองให้ได้ยิน พระมหาราชครู หมู่พราห์มและผู้ทรงศีลทั้งหมด รวมทั้งพรเจ้าหรรษาชยวรมันต์ทรงช่วยกันโกยดินอัดลงไปให้แน่นท่ามกลางบทสวดที่ดังก้องในที่แห่งนั้น
คงมีแต่อำมาตย์รณกฤติสันตเดโชชัยและเจ้านางศศิพินทุเทวีเท่านั้นที่ไม่สามารถลงจากบันไดไม้นั้นได้ กลับเกาะแน่นขึ้นจนมือเกร็งแน่น แม้มิได้ร้องไห้ออกมา แต่ก็กัดริมฝีปากด้านในจนเลือดไหลกลับเข้าไปในคอ