-16-
“พ่อคะ นั่นพ่อใช่ไหม ช่วยหนูด้วย...ฮือ”
“ปล่อยลูกฉันเดี๋ยวนี้!”
“ปิดปากผู้หญิง ฉันรำคาญ” มิคาเอลหันไปบอกลูก้าที่ตามมาถึงแบบติดๆ อย่างเฉยชา ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปหาลูกน้องของตัวเองที่ยืนอยู่อีกฝั่งโดยที่ไม่มีใครกล้าขัด แม้แต่อังเดรย์ก็ด้วย
“เลล่า!!”
พอได้เห็นสภาพลูกสาวซึ่งถูกจับมัดมือไพล่หลังน้ำตานองหน้า มีผ้าพันทับปิดบังการมองเห็น และกำลังจะถูกเอาผ้ามัดปากไม่ให้ส่งเสียงดัง คนเป็นพ่อก็แทบใจสลาย อยากก่นด่ามิคาเอลเป็นล้านๆ รอบแต่กลับไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากเลยสักคำเดียว ด้วยกลัวว่ายิ่งพูดลูกสาวคนสำคัญก็จะยิ่งเจ็บ
คนอย่างมันต้องกล้าทำร้ายลูกเขาแน่ๆ ไม่ว่าเธอจะบริสุทธิ์หรือไม่ก็ตาม
“ขอเตือนว่าอย่าพูดชื่อฉันจะดีกว่านะ ถ้าไม่อยากให้ลูกสาวใจสลาย”
มันรู้!
มันรู้ได้ยังไงว่าเลล่าชื่นชอบมันมาก!
อังเดรย์เบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก ขณะเงยหน้ามองชายในชุดสูทโดดเด่นซึ่งกำลังยกนาฬิกาขึ้นมอง เพียงเท่านั้นเขาก็เข้าใจทุกอย่างได้ในทันใด
“แก...วางแผนทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว”
“…”
“ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ถูกจับมาตั้งแต่แรก ตัวประกันที่แกพูดถึงคือลูกสาวฉัน”
“เริ่มฉลาดแล้วนี่” มิคาเอลพยักหน้าน้อยๆ ขณะหันไปส่งสัญญาณให้ลูก้า และเพียงไม่นานหลักจากนั้น หญิงสาวที่ถูกจับตัวมาก็หมดสติไปอย่างรวดเร็ว
“แกทำอะไรเธอ!”
“แค่ทำให้หลับ... หรืออยากให้ปลุกมาฟังวีรกรรมของพ่อ จะเอาแบบนั้นก็ได้นะ ฉันไม่ได้มีปัญหาอะไร”
“ไม่!… ฉันยอมแล้ว ยอมทั้งหมด อย่าทำอะไรเธอ ปล่อยเธอไปเถอะ” ดวงตาของอังเดรย์แดงก่ำอย่างหวาดหวั่น โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นแววตาไร้ความปรานีของมิคาเอลยามเบนไปมองลูกสาวของเขาราวกับกำลังมองเศษขยะไร้ค่า
“อย่าทำเหมือนฉันเป็นตัวร้ายได้ไหม เรื่องทั้งหมดไม่ใช่นายเป็นคนเริ่มหรือไง”
“แกพาเลล่ามาได้ยังไง”
“ก็แค่ส่งข้อความไปหา บอกให้ออกมาเจอ” คนตอบยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เหมือนจะบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดเยอะอะไรเลยสักนิด อีกทั้งคนที่ส่งข้อความไปก็ไม่ใช่เขาด้วย แต่เป็นลูก้าที่จัดการแทนทุกอย่าง ต้องโทษที่เลล่าไม่รู้จักระวังตัวเลยสักนิด เห็นเบอร์แปลกก็ไม่นึกสงสัย หลงมิคาเอลจนโงหัวไม่ขึ้น เขาส่งข้อความให้แอบออกมาอย่าให้ใครรู้ก็ทำโดยง่ายเพราะคิดว่าเคยให้เบอร์ติดต่อไว้เอง
และมั่นใจได้เลยว่าผลสุดท้าย เธอต้องคิดว่าโดนคนเลวหลอกว่าเป็นมิคาเอลเพื่อล่อออกมาให้ติดกับแน่ ไม่มีทางคิดว่าเขาเป็นคนต้นเรื่องทุกอย่างเด็ดขาด เพราะตั้งแต่แรกเลล่าก็ยังไม่เห็นหน้าคนร้ายเลยสักคน
ดีเหมือนกัน ตัดปัญหาไปได้เยอะ
“แก...เอาคนบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยว”
“ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างนายจะกล้าพูดประโยคนี้ออกมา” มิคาเอลรับปืนกระบอกหนึ่งมาจากการ์ดข้างกาย ใช้เวลาไปกับการจ้องมองมันอยู่พักหนึ่งจึงเงยหน้ามองอังเดรย์ที่นั่งหมดสภาพอยู่กับพื้นอีกครั้ง “อย่าโง่ไปหน่อยเลยอังเดรย์ ถามตัวเองให้ดีว่าเรื่องนี้มันเริ่มต้นมาจากใคร”
อังเดรย์หลุบตาลงต่ำ ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ จะโต้แย้ง ตาจ้องมองปืนพกสีดำสนิทที่ถูกโยนมาตรงหน้า เพียงเท่านั้นเขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าอะไรคือสิ่งที่มิคาเอลต้องการ
“ชาลอฟควรเป็นของฉันมาตั้งแต่แรก...”
“จริงๆ แค่ให้ฉันถอนตัวแล้วหายไปเงียบๆ จากนั้นก็ฆ่าโรมันทิ้ง ทุกอย่างก็เป็นของนายหมดแล้ว แต่ก็นะ...คนโง่มักจะคิดว่าคนอื่นจะโง่เหมือนตัวเอง แค่ตำแหน่งไร้สาระของตระกูลสกปรกๆ ตระกูลเดียวก็ทำได้ทุกอย่างจนถึงขั้นเอาชีวิตคนสำคัญมาเสี่ยง”
“…”
“ในเมื่อเลือกแล้ว... ก็ต้องรับผลจากการตัดสินใจของตัวเองให้ได้” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ มิคาเอลก็ยืดกายตั้งตรง แววตาเย็นชายิ่งกว่าทุกครั้ง แม้ยามเอ่ยประโยคถัดไปก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อย “จับปืนซะ”
“…เลล่าจะต้องปลอดภัย”
“ตราบเท่าที่ไม่หาเรื่อง”
อังเดรย์จ้องมองใบหน้าของลูกสาวสุดที่รักเป็นครั้งสุดท้าย ดวงตาที่ดูเลือดเย็นและเห็นแก่ตัวมาโดยตลอดฉายแววอ่อนโยน ไม่ได้คิดว่าจะหาทางออกอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อย เพราะทุกอย่างมันจบลงตั้งแต่ตัวประกันที่โผล่มาคือลูกสาวของเขา ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นแล้ว
มิคาเอลพูดถูก...
ในเมื่อเลือกแล้วก็ต้องยอมรับผลจากการตัดสินใจของตัวเองให้ได้
และนี่ก็คือผลจากการพ่ายแพ้ของเขา
สองมือผอมยกอาวุธขึ้นช้าๆ ก่อนจะแนบปากกระบอกปืนกับขมับของตัวเองอย่างเงียบเชียบ ในแววตาไร้ซึ่งภาพของใครอื่นนอกจากเลล่าที่ยังคงไม่ได้สติจนถึงตอนนี้
ปัง!
หลังสิ้นเสียงลั่นไกปืน ความเงียบอันไร้ที่มาพลันเกิดขึ้นโดยรอบ พร้อมๆ กันกับที่ร่างของอังเดรย์ทรุดลงกับพื้น ดวงตาซึ่งเบิกค้างยังคงจ้องมองไปในทิศทางเดิม แม้ตอนนี้จะไม่มีประกายของชีวิตปรากฏอยู่ในนั้นแล้วก็ตาม
“ท่านครับ”
“พาผู้หญิงกลับไปส่งที่เดิม” มิคาเอลเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะหันกลับไปมองบรรดาการ์ดของอังเดรย์ซึ่งยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยแววตาไม่บ่งบอกอารมณ์ “แล้วก็...พรุ่งนี้เรียกคนของชาลอฟมาให้หมด ห้ามขาดแม้แต่คนเดียว”
“ให้ผมติดต่อคุณทนายด้วยเลยไหมครับ”
“ให้คนอื่นจัดการ นายไปดูแลเรื่องคน”
“ได้ครับท่าน” ลูก้าโค้งรับคำสั่งอย่างนอบน้อม หลังจากหันไปออกคำสั่งกับคนอื่นๆ อย่างรวดเร็วเสร็จแล้วก็เดินตามหลังมิคาเอลที่ไม่แม้แต่จะชายตามองศพอังเดรย์ไปแบบติดๆ
บนรถยนต์คันหรูซึ่งมีขบวนรถคันอื่นขับตามประกบข้างอยู่หลายคัน มิคาเอลเอนกายพิงโซฟาพลางยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ใบหน้ายามไม่ได้อยู่กับไคไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ซ้ำยังดูจะหงุดหงิดอยู่นิดหน่อยจนคนสนิทอย่างลูก้าสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าใครหากไม่ใช่ไคก็คงเข้าหน้าไม่ติดกันทั้งนั้น
“เรื่องวันพรุ่งนี้...”
“ฉันจะจบปัญหาทั้งหมดในวันพรุ่งนี้”
“แต่ตามที่อดีตผู้นำบอก อย่างเร็วก็ต้อง...”
มิคาเอลตวัดสายตาไปมองคนสนิทอย่างเย็นชา คล้ายจะถามว่าคนที่มีอำนาจมากกว่าควรจะเป็นอดีตผู้นำที่ตายไปแล้ว หรือเขาคนนี้ที่ยังอยู่และกำลังจะขึ้นรับตำแหน่งเป็นคนถัดไปกันแน่ เพียงเท่านั้นลูก้าก็ต้องโน้มศีรษะลงเพื่อขอโทษที่สงสัยในความคิดและความสามารถของเจ้านายแทบจะทันที
“ในเมื่อตัวน่ารำคาญที่ตั้งท่าจะทำลายงานตายไปแล้ว ฉันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องยื้อเวลาออกไปอีก ที่รอมานานขนาดนี้ก็เพราะไม่ต้องการให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง”
“…”
“ถ้าไม่จำเป็น...ฉันก็ไม่อยากมือเปื้อนเลือด” มิคาเอลหันไปมองนอกหน้าต่าง จับจ้องสายฝนที่เริ่มตกลงมาอย่างเงียบเชียบ “ทั้งหมดก็เพื่อให้ได้อยู่กับไคอย่างสงบสุข”
“ท่านรักคุณไคมากจริงๆ”
“…เรื่องที่โรมันบอกว่าจะจัดการ”
ลูก้าไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ เมื่อเห็นผู้เป็นนายเปลี่ยนเรื่อง เขาหยิบโน้ตบุ๊กส่วนตัวออกมา เปิดไฟล์เอกสารแล้วหันไปรายงานมิคาเอลอย่างเป็นการเป็นงาน
“วันก่อนคุณโรมันเดินทางไปคุยกับผู้นำเชรีเยฟด้วยตัวเอง ใช้ข้อมูลเรื่องการค้าผิดกฏหมายอีกหลายอย่างที่อดีตผู้นำปกปิดไว้ขู่ให้ทางนั้นเลิกยุ่งกับชาลอฟ ผู้นำคนปัจจุบันรับปากและยอมเซ็นสัญญาให้เรา ต้นฉบับอยู่กับคุณโรมันครับ” ลูก้าหมุนจอโน้ตบุ๊กให้เจ้านายดูสำเนาสัญญาบนหน้าจอแล้วจึงอธิบายต่อ “คุณโรมันเก็บรวบรวมหลักฐานพวกนี้ไว้ตั้งแต่ก่อนอดีตผู้นำจะเสียชีวิตเพราะท่านเคยบอกว่าเชรีเยฟจะต้องไม่ยอมง่ายๆ แน่นอน”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ”
“คุณโรมันให้คนพาออกจากบ้านใหญ่ไปอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ ที่ซื้อให้เธอทางตอนใต้ของเมือง ตอนนี้เธอไม่อาจใช้อำนาจของชาลอฟทำอะไรได้ เพราะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชาลอฟอีกแล้วครับ ส่วนคนของเธอทั้งหมดตอนนี้อยู่ในการดูแลของคุณโรมัน”
“สถานะระหว่างโรมันกับผู้หญิงคนนั้นคืออะไร”
“…ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วครับ”
มิคาเอลส่งเสียงตอบรับในลำคออย่างพอใจ หากก็ยังไม่ได้โล่งไปเสียทั้งหมด เพราะรู้ดีว่าคนอย่างผู้หญิงนั่น หากไม่มีอะไรมาล่ามคอหรือทำให้หวาดกลัวจนตัวสั่นก็ไม่มีทางยอมหยุดง่ายๆ แน่
“พรุ่งนี้จัดการเรื่องชาลอฟเสร็จแล้วฉันจะไปหาผู้หญิงคนนั้น เรื่องนี้ไม่ต้องบอกโรมัน”
“ครับท่าน”
เมื่อไม่มีเรื่องอะไรให้พูดคุยต่อ รวมถึงลูก้าต้องรับโทรศัพท์พอดี มิคาเอลจึงหันออกไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง ในใจที่สงบนิ่ง ไม่เคยมีอะไรทำให้ไหวหวั่นได้นอกจากไค ยามนี้รู้สึกกังวลแบบแปลกๆ จนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู แต่ต่อให้แน่ใจว่าไคยังอยู่ในห้องไม่ไปไหน เขาก็ยังไม่อาจจำกัดความหวาดหวั่นออกไปได้อยู่ดี
ทว่าในขณะที่กำลังจะกดโทรออกนั่นเอง...
“ท่านครับ” ลูก้าที่เพิ่งวางโทรศัพท์หันไปหามิคาเอล ใบหน้าเรียบนิ่งดูเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด “การ์ดของเราบอกว่าคนของคุณโรมันหายไปหนึ่งคน”
“แล้วยังไง”
“…ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่เอาอาหารไปให้คุณไค”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ คนที่ทำเหมือนไม่ใส่ใจในคราแรกก็หยุดชะงักทุกสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่มือที่กำลังกดโทรศัพท์ ในดวงตาเย็นเยียบมีประกายน่ากลัววาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว หากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ไคหรือลูก้าคงตัวสั่นเทาจนหาคำพูดไม่เจอ ทว่าเมื่อคนที่อยู่ตรงนี้คือคนสนิท นอกจากยืดตัวตรงอย่างจริงจัง ลูก้าก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมาอีก ด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในยามนี้คือสติเท่านั้น
“พูดต่อ”
“ตอนแรกการ์ดที่เฝ้าชั้นคิดว่าเขาเอาอาหารไปให้แล้วกลับไปอยู่ที่ห้องคุณโรมันแล้ว แต่คุณโรมันบอกว่าคนคนนั้นยังไม่กลับมา และ...ดูเหมือนจริงๆ แล้วคนคนนั้นจะเป็นคนของแม่เขา”
“…”
“คนของเรารายงานว่า…มีกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าเล็ดลอดออกมาจากห้องคุณไค แต่เราบุกเข้าไปไม่ได้ เพราะประตูเป็นระบบพิเศษที่มีแค่ท่านกับคุณไคที่เปิดได้ครับ”
มิคาเอลไม่เคยคิดมาก่อนว่าความปลอดภัยที่เขามอบให้ไคจะกลับมาทำร้ายกันในเวลานี้ ชายหนุ่มกำมือแน่น พยายามควบคุมอารมณ์รุนแรงที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างสุดความสามารถ โชคยังดีที่เมื่อได้รับรายงาน รถคันหรูก็พุ่งเข้าไปจอดหน้าโรงแรมได้ทันเวลา คนที่อยู่บนรถด้วยจึงไม่ต้องอดทนรองรับความน่ากลัวที่กำลังจะบังเกิด
และต้องมีที่ลง...
“เข้าไปในห้องนานแค่ไหนแล้ว”
“สิบนาทีครับ”
ลูก้ารีบเบี่ยงตัวหลบเมื่อเจ้านายพุ่งตัวออกไปนอกรถโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น กระทั่งตอนกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนก็มีเพียงลูก้าที่ตามไปทัน แค่มองจากแผ่นหลังก็รับรู้ได้ในทันทีว่ามิคาเอลในเวลานี้ไม่ควรยุ่งด้วยเป็นอย่างยิ่ง
“ท่าน...”
การ์ดที่เฝ้าชั้นอยู่หุบปากฉับยามเห็นลูก้าส่งสัญญาณบอกให้เงียบอยู่ด้านหลังเจ้านาย กลิ่นฟีโรโมนที่หุ้งออกมาจนถึงด้านนอกทำให้ใบหน้าที่น่ากลัวอยู่แล้วทวีความน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก มิคาเอลเปิดคีย์การ์ดชนิดพิเศษเข้าไปในห้องเพียงลำพังแล้วกดปิดประตู
แสงไฟที่ถูกเปิดทิ้งไว้ทั้งที่ไม่มีคนอยู่แถวนี้และข้าวของที่ล้มระเนระนาดทำให้เลือดในกายของคนที่ไม่เคยหวาดกลัวอะไรมาก่อนในชีวิตเย็นเฉียบ ทว่าในจังหวะที่กำลังถูกโจมตีด้วยความรู้สึกอันไม่คุ้นเคยนั่นเอง
ปัง!
“โอ๊ย!”
“มิคาเอล!!!”
เสียงร้องอันไม่คุ้นเคยไม่ได้ทำให้มิคาเอลสนใจได้มากเท่าเสียงตะโกนเรียกดังลั่นที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของคนที่เขาแคร์มากที่สุดในชีวิต สองขาก้าวไวยิ่งกว่าความคิด วิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นบนซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดเสียงโดยไม่สนใจกลิ่นฟีโรโมนแสนน่ารำคาญที่พยายามเผาพลาญสติสัมปชัญชะให้จางหาย
“ไค!”
การที่มีคนคนหนึ่งแอบเข้ามาในห้องเพราะมีจุดหมายเป็นไค ไม่ได้น่าโมโหมากพอจะทำให้มิคาเอลสติหลุดได้ ทว่าเมื่อได้เห็นหยาดโลหิตสีเข้มที่ไหลลงมาตามแขนของคนสำคัญ ได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของคนที่กำลังตัวสั่นราวกับต้องการควบคุมอารมณ์และยังคงกัดหลังมือตัวเองเอาไว้แน่น ความอดทนที่มีก็พังทลาย...
นอกจากรังเกียจ ไคก็ไม่เคยรู้สึกอะไรกับกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้ามาก่อน เพราะงั้นที่เป็นแบบนี้ย่อมมีเหตุผลเพียงอย่างเดียว
คู่แห่งโชคชะตาที่แสนน่ารังเกียจ...
ดวงตาคู่คมตวัดไปมองตัวต้นเรื่องที่ทำให้ไคทรมาน แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าในมือถือมีดเล่มหนึ่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ท่าทางลักษณะภายนอกคงดูน่ากลัวไม่น้อย ร่างกายแดงเถือกที่บิดไปมาและเต็มไปด้วยความต้องการเนื่องจากอาการฮีทของโอเมก้าหนุ่มที่ถูกจับจ้องจึงสั่นสะท้านอย่างไร้สาเหตุ
“ผะ…ผม…อึก!”
มิคาเอลไม่เสียเวลาฟังคำพูดใด เมื่อรู้ว่าอะไรคือต้นเหตุที่ทำให้ไคเจ็บปวด เขาก็จัดการกำจัดมันทิ้งโดยไม่คิดถามเหตุผล มีดในมือแทงทะลุอกซ้าย ตรงเข้าหาหัวใจอย่างแม่นยำ ทำให้โอเมก้าที่กำลังฮีทกระอักเลือดคำโต ดวงตาเบิกค้างไม่อาจปิดลงได้เนื่องจากตายโดยไม่ทันได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าสาเหตุเกิดจากอะไร
“กล้าดียังไง...กล้าดียังไง” มิคาเอลกัดริมฝีปากเพื่อสะกดอารมณ์โมโหจนอยากจะฆ่าคนตรงหน้าซ้ำอีกครั้ง ดวงตามองใบหน้าของคนที่หมดลมหายใจไปแล้วอย่างเย็นชา ขอบตาทั้งสองข้างยังคงแดงก่ำตั้งแต่ได้เห็นสภาพของไคในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“มิคาเอล...” แต่แล้วเสียงเรียกแผ่วเบาที่ดังขึ้นก็เรียกสติเขาได้ชะงัก “มา...มานี่”
“ไค!”
ชายหนุ่มรีบตรงเข้าไปหาคนสำคัญ โอบกอดร่างสั่นสะท้านด้วยความทรมานของไคเอาไว้แน่น ขณะที่ไคเองก็โอบกอดเขากลับแล้วซุกจมูกเข้าหาซอกคอ สูดดมกลิ่นกายประจำตัวที่ชื่นชอบราวกับต้องการลบล้างกลิ่นฟีโรโมนที่แสนรังเกียจออกไป แต่ถึงจะตายไปแล้วกลิ่นของคู่แห่งโชคชะตากลับยังไม่จางหายไปทั้งหมด
“ทรมาน...” เสียงสั่นๆ ข้างใบหูทำให้มิคาเอลปวดร้าวไปทั้งใจ
“ขอโทษที่มาช้า ฉันขอโทษนะ”
“ทรมาน” ไคยังคงพึมพำคำคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ขณะกดจมูกและริมฝีปากลงบนซอกคอหอมกรุ่น จูบย้ำๆ ซ้ำๆ ไปตามอารมณ์ที่ไม่ต้องกักเก็บเหมือนเช่นตอนแรก
“ไคไม่ชอบกลิ่นพวกนี้ใช่ไหม เราเข้าไปในห้องกันนะ ไม่ต้องอยู่ตรงนี้แล้ว ฉันจัดการมันไปแล้ว”
มิคาเอลปลอบคนตัวโตคล้ายกำลังปลอบเด็กเสียขวัญ ไม่รู้เพราะไม่เคยปลอบใครหรือเปล่า มันจึงไม่ค่อยเข้ากับสถานการณ์เท่าไหร่นัก ถึงอย่างนั้นไคก็ไม่ได้ขืนตัวเมื่อถูกพยุงพาเดินเข้าไปในห้องแล้วปิดล็อกลงกลอนแน่นหนา ฟีโรโมนฟุ้งกระจายที่แสนรังเกียจในคราแรกเบาบางลง หากกลับไม่อาจหยุดยั้งอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วได้ และยิ่งพบว่ากลิ่นรัญจวนที่ทำให้อารมณ์พุ่งสูงกว่าเดิมอยู่ใกล้เพียงเอื้อม เขาก็ยิ่งทนไม่ไหว
“ไค?” คนที่ถูกดันไหล่จนแผ่นหลังแนบชิดติดประตูร้องเรียกอย่างประหลาดใจ แต่ก็ยังเอียงคอให้โดยอัตโนมัติเมื่อคนที่กัดฟันกรอดเหมือนกำลังพยายามใจเย็นซุกใบหน้าเข้าหาซอกคอ
“ไม่ไหว...”
“อะไรไม่ไหว”
“นี่…”
สีหน้าของมิคาเอลพลันเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อเมื่อถูกดึงมือไปสัมผัสกับส่วนแข็งขืนที่กำลังตื่นตัวเต็มที่อยู่ใต้กางเกงของไค การกระทำที่ไม่คาดคิดทำให้คนที่ไม่เคยแสดงอารมณ์ออกมาชัดเจนตกใจจนตาค้าง ลืมไปหมดว่านี่คือสิ่งที่ต้องการมาตลอด และเป็นสาเหตุที่ทำให้เขายั่วยวนไคอยู่บ่อยครั้ง
เพราะอยากเป็นของกันและกันทั้งหมด ไม่ว่าจะตัวหรือหัวใจก็ตาม...
“ไค”
“อึดอัด” อัลฟ่าที่ถูกกระตุ้นโดยคู่แห่งโชคชะตาในทีแรก กลับกลายเป็นมีอารมณ์มากขึ้นทั้งที่คู่ที่ว่าตายไปแล้ว มาจนถึงตอนนี้ไม่ต้องมีสติยั้งคิดอะไรมากมาย ไคก็รับรู้ได้ว่าเป็นเพราะใคร ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดห้ามตัวเองหรืออยากผละออกจากตัวต้นเหตุแต่อย่างใด “มิคาเอล...”
“คะ...ไค”
ร่างกายสั่นสะท้านของคนที่พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ทำรุนแรงกับมิคาเอลบดเบียดตัวเข้าหาอีกฝ่ายอย่างแนบแน่น สองแขนรวบกอดร่างที่เล็กกว่าเพียงไม่เท่าไหร่เอาไว้ในอ้อมแขน ขณะริมฝีปากเริ่มลากไล้สัมผัสจากลำคอขาวขึ้นไปยังพวงแก้มและจบลงที่ริมฝีปากบางเฉียบ
“กอดได้ไหม”
มิคาเอลไม่ได้สงสัยว่ากอดที่ว่าตรงกับความหมายไหน เพราะจากสถานการณ์ที่เห็นมันน่าจะชัดเจนอยู่แล้ว เขาถึงขั้นลืมสังเกตไปเลยด้วยซ้ำว่าไคดูพูดเยอะกว่าปกติ ซ้ำยังไม่ได้ติดขัดหรือกำจัดคำเหมือนทุกที
“ไม่เห็นต้องถาม” สุดท้ายคนที่สติหลุดไปนานก็เผยรอยยิ้มออกมาทั้งที่ริมฝีปากยังคลอเคลียกับไคไม่ไปไหน “ได้อยู่แล้ว”
สิ้นคำพูดนั้นไคก็ไม่อดทนอีกต่อไป อัลฟ่าที่ถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุดบดจูบลงบนริมฝีปากของมิคาเอลอย่างรุนแรง ขณะที่อีกคนก็รับเอาไว้อย่างเต็มใจ ร่างกายแข็งแกร่งพยายามบดเบียดเข้าหามิคาเอล ส่วนมือก็ล้วงเข้าไปด้านในสาบเสื้อ บีบเค้นตามเนื้อตัวแข็งแรงที่ไม่ได้นุ่มนิ่มอะไร แต่กลับปลุกปั่นให้เขามีอารมณ์มากกว่าเดิมไม่หยุด
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เสื้อผ้าบนร่างของมิคาเอลถูกกระชากออกจากตัวจนเหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า ไม่ต่างกันกับไคที่ถูกเขาซึ่งมีสติสมบูรณ์ทุกประการลอบแกะแทะเล็มทีละนิดจนเหลือเพียงกางเกงด้านในตัวเดียว
ยามแผ่นหลังของมิคาเอลสัมผัสเตียงนุ่มด้านหลัง หัวใจของเขาสูบฉีดและเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง เจ้าของร่างกายสูงใหญ่สมบูรณ์แบบที่มีกล้ามเนื้อพอเหมาะพอดีคุกเข่าอยู่ตรงหน้า บริเวณร่างกายท่อนล่างที่เหลือเสื้อผ้าเพียงชิ้นเดียวมองเห็นสิ่งใหญ่โตที่พยายามดุนดันกางเกงออกมาได้อย่างชัดเจนจนคนมองลอบกลืนน้ำลาย เผลอขบฟันลงบนริมฝีปากล่างของตัวเองจนรู้สึกเจ็บ
เขานับถือไคไม่น้อยที่จนถึงตอนนี้ก็ยังควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ไม่ได้พุ่งเข้ามากัดกินกันอย่างตะกละตะกามตามแบบที่พวกอัลฟ่าทั่วไปมักเป็นกันเมื่อถูกกระตุ้นโดยฟีโรโมนของโอเมก้า ทว่า...
มิคาเอลจับจ้องไคที่ในเวลานี้ดูไม่สงบนิ่งดั่งเช่นทุกทีอย่างตื่นเต้น เพราะในดวงตาที่เคยเฉยชากับทุกสิ่ง ตอนนี้เหมือนมีพายุลูกหนึ่งพัดอยู่ในนั้น และมันก็พร้อมจะทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า
ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวเขาเอง...
“ไค…” มิคาเอลยื่นแขนออกไปด้านหน้า สองขาอ้าออกกว้าง เปิดเผยร่างกายเปลือยเปล่าทุกสัดส่วนให้คนสำคัญเห็นโดยไม่มีอาการขัดเขิน แล้วไคก็ทำตามที่เขาต้องการด้วยการกระโจนเข้าหา บดเบียดร่างกายที่ตื่นตัวเต็มที่เข้ากับร่างของอัลฟ่าด้วยกัน โดยที่ริมฝีปากแนบสนิทไร้ช่องว่าง
ลิ้นร้อนกวาดต้อนเข้าไปในโพรงปากของคนด้านล่างที่เผยออ้าอย่างเต็มใจ ขณะที่สองแขนของมิคาเอลโอบกอดลำคอแข็งแรงของคนที่กำลังหายใจหนักหน่วงอย่างควบคุมอารมณ์เหมือนไม่อยากให้เขาเจ็บ ทั้งที่จริงๆ ต่อให้ไคละทิ้งทุกสิ่ง ใช้เพียงสัญชาตญาณ เขาก็ไม่มีทางว่าหรือออกปากห้ามแน่นอน
“อือ...ไค”
เมื่อยอดอกถูกบดขยี้ด้วยฝ่ามือเย็นเฉียบ พร้อมกันกับที่ร่างกายตื่นตัวช่วงกายถูกเบียดเสียดหนักเข้า มิคาเอลก็เผลอเบนหน้าหนีจูบ ส่งเสียงครางเบาๆ ออกมาเหมือนสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ แต่ทำเอาคนฟังเกือบทนไม่ไหว มือที่บีบเค้นตามเนื้อตัวแข็งแรงงออกแรงมากขึ้น พออีกคนไม่ยอมให้จูบก็กดริมฝีปากเข้าหาซอกคอหอมที่ชื่นชอบ ออกแรงขบเม้มจนมีเสียงครางฮือดังขึ้นข้างหูอยู่หลายครั้ง
“จะไม่ให้เจ็บ”
มิคาเอลไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้กับเสียงกระซิบข้างหูดี เพราะใจจริงเขาอยากจะบอกว่าเจ็บก็ได้ไม่เป็นไร ทว่าพอเห็นความตั้งใจของไค ความคิดมากมายก็จางหาย เหลือเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนที่ถูกส่งไปให้ยามใครอีกคนค่อยๆ ไล้ปลายนิ้วสั่นๆ ที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ของตัวเองกับรอยจีบของปากทางเข้าที่ไม่เคยมีใครรุกล้ำของเขา
ในเวลานั้นมิคาเอลไม่มีเวลานึกสงสัยด้วยซ้ำว่าใครอีกคนรู้ที่ซ่อนของเจลหล่อลื่นกับถุงยางอนามัยที่เขาพกไว้เสมอได้ยังไง แต่คิดว่าไคคงเข้าใจเป็นอย่างดีว่าร่างกายอัลฟ่าเพศชายไม่ได้เกิดมาเพื่อรองรับอารมณ์ประเภทนี้ ตั้งแต่ต้นจึงรักษาสติเอาไว้และค่อยเป็นค่อยไปในทุกเรื่อง ทั้งที่ส่วนแข็งขืนด้านล่างซึ่งบดเบียดหน้าท้องของเขาอยู่บ่งบอกได้ดีว่าเจ้าตัวกำลังจะไม่ไหวแล้ว
น่ารัก....
เพราะน่ารักแบบนี้จึงรักไปแล้วแบบไม่ต้องสงสัย
“อึก”
ไม่รู้ว่าคนด้านบนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหรืออย่างไรจึงย้ำเตือนให้หันกลับมาสนใจด้วยการกดปลายนิ้วเข้าไปในช่องทางแน่นขนัด แม้จะมีเจลช่วยได้บ้างหากก็ยังยากลำบากอย่างเห็นได้ชัด เพียงนิ้วเดียวยังฝืดเคืองถึงขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นๆ เลย
โชคดีที่แต่ไหนแต่ไรมา มิคาเอลก็เคยชินความเจ็บปวดไปแล้วไม่ต่างจากไค ยังดีหน่อยที่เขาไม่ได้ถูกทรมาน แต่ถูกฝึกฝนจึงตอบโต้ได้ ไม่มีรอยแผลเป็นใหญ่ๆ ติดตัวมาด้วย ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...
แบบนี้มันออกจะมากกว่าที่คิดไปหน่อยหรือเปล่า
“ไค…” ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยเรียกคนสำคัญราวกับจะขอกำลังใจ แล้วก็ได้รับจูบร้อนแรงดูดวิญญาณเป็นรางวัลตามที่ต้องการ ในดวงตาคู่สวยของไคสะท้อนเพียงภาพใบหน้าของเขา และมันก็มากพอจะทำให้ลืมเลือนสิ่งอื่นๆ ไปได้ กระทั่งสัมผัสในร่างกายเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม นอกจากครางอื้ออึงในลำคอ มิคาเอลก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก หรือบางทีอาจต้องใช้คำว่าพูดไม่ออกจึงจะถูกกว่า
“พร้อมไหม”
เสียงถามเฉื่อยชาที่ไม่เข้ากันกับใบหน้าที่ดูอ่อนโยนยิ่งกว่าตอนไหนๆ ดังขึ้นยามเมื่อไคใช้ปากฉีกซองถุงยางที่เขาเคยคิดว่าเป็นซองขนมมาแล้วออกอย่างรุนแรง แม้การกระทำที่มีต่อมิคาเอลจะอ่อนโยนเพียงใด หากอาการมือสั่น หอบหายใจหนักหน่วงก็ยังบอกให้รู้ว่าคนพูดไม่ได้อยากใจเย็นเลยแม้แต่น้อย
และเขาก็กำลังจะแสดงให้เห็นในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้...
“อืม มาเถอะ”
มิคาเอลก็ยังเป็นมิคาเอลอยู่วันยันค่ำ นอกจากจะเลื่อนมือไปกอบกุมมือไคเพื่อสำรวจยามเขาใส่ถุงยางแล้ว ชายหนุ่มยังยกมุมปากยั่วยวน สองขายกขึ้นเกาะเกี่ยวเอวสอบของคนด้านบนอย่างไม่เกรงกลัว ไม่รู้นึกอยากให้คนใจเย็นใจร้อนไวกว่าเดิมหรืออย่างไร แต่เหมือนมันจะเป็นแบบนั้นไปเสียแล้ว
“ถ้าเจ็บ...ก็ร้อง”
คนฟังอมยิ้มมองใบหน้าชื้นเหงื่อของไคอย่างรักใคร่ ฝ่ามือที่ตอนแรกเกาะเกี่ยวอยู่รอบลำคอแข็งแกร่ง เลื่อนลงมาซับเหงื่อให้อย่างอ่อนโยน
“ถ้าไม่อยากทน...” มิคาเอลยกศีรษะขึ้น กดจูบลงบนริมฝีปากสั่นระริกของไคเบาๆ “ก็ไม่ต้องทน”
สิ้นคำพูดนั้น ไคก็ปลดปล่อยอารมณ์ที่ควบคุมมาโดยตลอดของตัวเอง สติยั้งคิดสุดท้ายบอกให้ค่อยๆ กดกายเข้าหาอย่างนุ่มนวล คนที่เขาให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดจะได้ไม่เจ็บ ทว่าแค่ได้รับคำพูดปลอบโยนบอกว่าไม่เป็นไรของคนที่กลั้นเสียงร้องเอาไว้ ความอดทนในใจก็สิ้นสุดลง
“ไค!!”
มิคาเอลร้องเรียกอย่างตื่นตระหนกเมื่อจู่ๆ ไคก็กระแทกร่างกายเข้ามาทีเดียวจนสุด เขากลั้นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดที่แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกได้เอาไว้สุดความสามารถ ฟันคมขบกัดริมฝีปากตัวเองจนรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือด เล็บมือจิกลงบนแผ่นหลังกว้างที่สัมผัสถึงรอยแผลเป็นมากมายบนนั้นได้อย่างชัดเจน
ใจจริงมิคาเอลอยากบอกให้ไคใจเย็นหน่อย เพราะถึงเขาจะถึกทนเพียงใด แต่หากหักโหมในสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมเพราะเพิ่งเคยพบเจอกับอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก แม้กระทั่งคนอย่างเขาก็อาจบาดเจ็บหนักได้เหมือนกัน
ทว่าแค่ได้เห็นสีหน้าของคนที่ดูราวกับได้ยกก้อนหินหนักๆ ออกจากอก คำพูดทั้งหมดก็ถูกกลืนหาย
สองแขนยกขึ้นโอบลอบลำคอแข็งแกร่งอีกครั้ง พร้อมกดใบหน้านั้นเข้ามาหา ร้องขอจูบร้อนแรงที่ชื่นชอบ หวังให้สัมผัสนั้นช่วยให้ลืมเลือนความเจ็บจากการกระทำด้านล่าง หลังใครอีกคนเริ่มขยับกายช้าๆ และน่าจะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ในเร็วๆ นี้
ในยามที่ไคบดเบียดตัวตนแข็งแกร่งเข้าไปในจุดที่ลึกที่สุดของมิคาเอล หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นจังหวะหนึ่งแม้ใบหน้าจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ความรู้สึกตื่นเต้นอันไร้ที่มาหลอมรวมไปกับความยินดี เมื่อปะปนเข้ากับสัญชาตญาณดิบเถื่อนจึงก่อเกิดเป็นความเอาแต่ใจรูปแบบหนึ่ง
ชายหนุ่มยกขาขวาของมิคาเอลขึ้นตั้งชัน ขณะบดกายให้ลึกเข้าไปอีก ริมฝีปากยังคลอเคลียย้ำจูบให้คนที่รู้ดีว่าคงต้องเจ็บอย่างปลอบโยน ทว่าการกระทำด้านล่างกลับสวนทาง จากที่บดเบียดธรรมดาเริ่มกลายเป็นการกระแทกกระทั้นเป็นจังหวะช้าสลับเร็ว
“คะ...อึก...ไค” เสียงครางหวานหูของคนที่กัดฟันแน่นอย่างไม่คุ้นชินทำให้อารมณ์ของไคยิ่งพุ่งสูง ริมฝีปากบางลากไล้ไปตามลำคอขาว ขบเม้มตามจุดต่างๆ ตามแรงอารมณ์อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ โดยที่เอวเพิ่มความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ จนแม้จะรับรู้ได้ว่าร่างกายของมิคาเอลแข็งเกร็งก็ยังไม่อาจเพลาแรงลง
“มิคาเอล”
ไคกระซิบเรียกชื่อข้างใบหูแดงเถือก ก่อนจะขบเม้มเบาๆ จนร่างกายของคนถูกรังแกที่โยกคลอนไปตามแรงสั่นสะท้าน เสียงเนื้อกระทบกันดังหยาบโลน ดูฝืดเคืองไม่น้อยเมื่อฝ่ายหนึ่งไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นผู้รับ หากเมื่อเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดในคราแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นสุขสม ยิ่งยามได้เห็นใบหน้าเจืออารมณ์ของไคดูแตกต่างไปจากทุกที คนมองก็ยิ่งบอกให้ตัวเองอดทน แล้วเขาก็ผ่านพ้นความไร้ประสบการณ์ในครั้งแรกมาได้จริงๆ
ช่วงเวลาที่ทุกอย่างใกล้จะเสร็จสม ไคโน้มใบหน้าเข้าหามิคาเอล กดจูบลงบนริมฝีปากอย่างเร่าร้อนรุนแรง กายท่อนล่างขยับเป็นจังหวะหนักหน่วงน่าหวาดกลัว ทว่าท้ายที่สุดแล้วริมฝีปากกลับไปหยุดอยู่ที่ซอกคอขาว เขาแลบลิ้นเลียอย่างสนอกสนใจ ความรู้สึกบางอย่างร้องบอกให้ฝังคมเขี้ยวลงไป ทำให้คนคนนี้กลายเป็นของเขา แม้จะไม่ใช่โอเมก้าที่บอนด์กันได้ก็ตาม
“กัดสิ”
ไคหยุดชะงักทุกสิ่งชั่วคราว ก่อนจะเงยหน้ามองคนพูด จับจ้องใบหน้าสมบูรณ์แบบของเทวทูตตรงหน้านิ่งงันอย่างตั้งอกตั้งใจ
“พูดอะไรออกมา”
ดวงตางดงามของมิคาเอลปรือปรอยลงโดยไม่ได้ตั้งใจ ท่าทางที่ดูยั่วยวนอย่างเป็นธรรมชาติทำให้คนมองขมวดคิ้วมุ่น บางส่วนที่ยังคงฝังอยู่ในช่องทางอุ่นร้อนขยายใหญ่ขึ้นจนมิคาเอลครางฮือ แต่ก็ยังไม่วายยกสองมือจับแก้มตอบ บรรจงจูบริมฝีปากของไคอย่างอ่อนโยนรักใคร่
“แสดงความเป็นเจ้าของสิ...” เทวทูตตัวร้ายกระซิบบอกติดริมฝีปาก ดวงตาสะกดให้คนมองหลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้น แม้แต่ขาสองข้างที่โอบรัดเอวสอบไว้ก็ออกแรงกระชับเข้าหาตัวโดยไม่สนว่าอะไรต่อมิอะไรจะเข้ามาลึกขึ้นหรือไม่ “ทำให้ฉันเป็นของไคคนเดียว”
ดวงตาคู่คมของคนถูกยั่วฉายประกายน่าหวาดหวั่น สองแขนกอดรั้งร่างอีกคนเข้าหาตัวแล้วพาลุกขึ้นนั่ง ส่วนที่เชื่อมต่อกันกดลึกเข้าไปถึงไหนต่อไหนจนมิคาเอลเผลอส่งเสียงร้อง ทว่าก่อนจะได้พูดอะไร มือใหญ่ของไคก็กดศีรษะเขาให้ซุกลงกับไหล่ ก่อนลิ้นอุ่นร้อนจะเลียหลังคอ บริเวณส่วนที่ไวต่อสัมผัสและเป็นจุดอ่อนของพวกโอเมก้าราวกับกำลังมองหาจุดหมาย
แม้มิคาเอลจะไม่ใช่โอเมก้า หากก็ยังอดสั่นสะท้านไม่ได้
“ไม่ให้เปลี่ยนใจแล้ว”
สิ้นคำเตือนที่ไม่อนุญาตให้เปลี่ยนใจ เจ้าของน้ำเสียงเข้มงวดดุดันผิดวิสัยก็กัดหลังคอของ ‘คู่ที่เขาเลือกด้วยตัวเอง’ เต็มแรง
แม้รอยกัดจะไม่มีอำนาจเหมือนเช่นที่อัลฟ่าใช้ผูดมัดกับโอเมก้า หากสำหรับพวกเขามันมีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด นี่คือการแสดงสัญลักษณ์ที่บอกให้รู้ว่าพวกเขาจะจับมือกันเป็นคู่ชีวิตนับจากนี้ไป และหากรอยกัดจางหายไปเมื่อไหร่ ไคก็จะทำใหม่ซ้ำๆ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของกับคนคนนี้ที่ใครๆ ต่างก็จ้องมอง บอกให้รู้ว่ามิคาเอลเป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
ชายที่ยืนอยู่เหนือผู้คนมาทั้งชีวิต กลับยินยอมทอดกายอยู่ใต้ร่างของอัลฟ่าธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษอย่างสมัครใจ
มาถึงตอนนี้ในที่สุดไคก็เข้าใจ...
สิ่งนี้นี่เองที่เรียกว่า ‘ความรัก’