ฟุบ...
โลกหมุนเวียนไปมาเยี่ยงมิติบิดเบือน ผมกลับมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ที่นี่ตอนกลางคืนช่างเงียบเหงาและวังเวง ทางข้างหน้าของผมมีกระโจมใหญ่ๆอยู่กระโจมหนึ่ง ใช้คบไฟในการให้แสงสว่าง
"ที่นี่ที่ไหน.... จำได้เราพึ่งเจอกับท่านพญายมราชไปเองแล้วรับคำขอความช่วยเหลือมานี่นา.... อย่าบอกนะว่าคือที่นี่....." กัลป์พึมพำกับตัวเอง
แต่จู่ๆสายตาก็ไปสบเข้ากับดวงวิญญาณหลายร้อยดวงที่อยู่เยื้องๆกันไป เขาไม่ได้รู้สึกกลัวมันเลยสักนิด เพราะเคยช่วยมูลนิธิเก็บศพมาแล้วหลายครั้ง มีหน้าที่แค่คอยรับศพขึ้นรถและอยู่จนถึงรพ..
" ก็แค่คนตายที่มีใบหน้าเละเทะ... ก็แค่นั้น"จะว่าผมจิตแข็งก็ได้ แต่ผมคิดแค่ว่าอีกฝ่ายคือดวงจิตที่ไม่มีที่ไป หรือไม่ก็ลำบากอยากได้ความช่วยเหลือ
พอมองไปที่ตัวเองก็ยังเห็นว่าที่ตัวใส่ชุดคอสเพล์เจ้าสาวอยู่ แถมยังมีคราบเลือดติดอีกอยู่ด้วย โชคดีที่ไม่ได้มีมีดปักอยู่แต่ในมือเขายังคงถือช่อดอกไม้อยู่นิ
"ขนาดตายยังมาครบชุด..... เห้อ... ลองเดินเข้าไปดูกระโจมนั่นหน่อยดีกว่า ใหนๆก็ไม่มีที่ไปล่ะ"
น่าแปลกเวลาที่ผมเข้าไปใกล้กระโจมมากเท่าไหร่ดวงวิญญาณพวกนั้นกลับหลีกหนีผมแล้วคอยมองกลับมาห่างๆ
พอถึงกระโจมผมก็เข้าไปด้านใน ทหารเวรยามหลายคนมองผมไม่เห็นกัน ก็แน่แหละ... ผมเป็นผีนี่
"สมน้ำหน้าไอ้พวกอยุธยา แค่จับตัวแม่ทัพมันมาคงขวัญอ่อนกันน่าดู เอาล่ะคงต้องส่งหัวไปให้พวกมันดูเล่นกันแล้ว"
เสียงเหี้ยมของอีกฝั่งที่อยู่ข้างในมันซื่อถึงความสะใจและความแค้น ภายในกระโจมนี้จะแบ่งออกเป็นทางเดินแล้วก็ลานอะไรสักอย่าง มันกว้างแล้วก็มีรอยเลือด
"เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ?.... อ.. อยุธยา นี่เรามาอยู่ในยุคนี้เลยหรอ..... ไม่น่าเชื่อว่าเราจะได้มาอยู่ในที่แบบนี้จริงๆ"
กัลปพฤกษ์แอบตื่นเต้นนิดๆที่ตนได้มาอยู่ในยุคบ้านเมืองเกิด สิ่งที่บรรพบุรุษตั้งรากฐานเอาไว้ แต่ที่สะกิดใจคือ ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในอยุธยา
เสียงรองเท้าส้นสูงกระแทกไปตามทางเดิน แต่ละย่างก้าวดูเบาบางดุจขนนก ช่อดอกไม้ในมือถูกกำไว้แน่นด้วยความตื่นเต้น และเมื่อถึงทางเข้าตรงลานแสงประคบไฟมันก็สว่างจ้าให้เห็น
ครืด.....ครืด...
"นั่นอะไรกันนะ...นักโทษงั้นหรอ"
เสียงโซ่ตรวนลากพื้นมาจากข้อเท้าชายหนุ่มรูปหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้น ตัวของชายคนนั้นถูกล็อคจากด้านหลังไขว่มือ
"ฮ่าๆ ท่านพระภุชคินทร์ แม่ทัพผู้เกรียงไกรและเก่งกาจ ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันในสภาพแบบนี้... "เสียงของอีกฝ่ายหัวเราะร่วน ดูสะใจเอามากๆ
"ไม่คิดจะพูดหรือเอ่ยอะไรออกมาหน่อยรึ ก่อนที่จะไม่ได้พูดอีกต่อไป"
ตัวของผมค่อยๆเดินไปอยู่ด้านหลังของนักโทษคนนั้น การแต่งตัวละม้ายคล้ายตาจากที่ไหนมาก่อน
กัลปพฤกษ์นึกถึงเรื่องหนังในสมัยก่อนก็พอนึกออกอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นของแคว้นไหน
แป๊ะ!
"นึกออกแล้ว! สมัยอยุธยาไง แต่เอ๊ะ... เราก็มาอยู่ในยุคอยุธยานี่หว่า ไม่เห็นแปลก..."
แต่ว่า..... บรรพบุรุษเราทั้งคนจะช่วยยังไงดี เมื่อกี้เหมือนได้ยินด้วยว่าจะส่งหัว... ส่งหัว.... ก็หมายถึงตัดคอนะสิ!
"ในเมื่อไม่สั่งเสียอะไรก็ลงไปอยู่ในนรกสะ! พวกมึง ตัดหัวมัน! "
ชิบหายล่ะ!..
กัลปพฤกษ์กระวนกระวายเข้าไปใหญ่ มือเพชรฆาตเริ่มร่ายรำดาบ ก่อนจะฟันหัวลงมา
ปึก!
กัลป์หลับตาปี๋ไม่อยากเห็นภาพบาดตา ผ่านไปเนิ่นนานยังไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้น
"ฟันไม่เข้าขอรับ มันผู้นี้มีวิชาอาคมแกร่งกล้า ต้องทำให้ของมันเสื่อมก่อน...."
ห้ะ! ฟันไม่เข้า มือเรียวเอาลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เห็นคือดาบที่มันสะบั้นคอไม่เข้า
"ไม่ได้เรื่อง! ไปทำยังไงก็ได้ให้มันของเสื่อม กูอยากเห็นมันหลุดจากบ่าวันนี้!!" อีกฝ่ายหัวเสียเอามากพร้อมกับเดินลงมาจากที่นั่งออกไปจากลาน
"ขอรับ! ไป พวกมึงไปกับกู"
เมื่อเพชรฆาตออกไปแล้วทีนี้ก็เหลือแค่ผมกับนักโทษคนนี้แล้วก็ผู้คุมอีกคนหนึ่งไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงดี ตรวนนี้ใช่จะธรรมดาที่ไหนลงอักขระไว้ขนาดนั้น......
ที่ผมเคยได้ยินมาจำได้ว่าประจำเดือนของผู้หญิงจะทำให้ของเสื่อม อีกอย่างหนึ่งก็คือใช้ของที่แรงกว่า
อยู่ๆกัลปพฤกษ์ก็นึกถึงคนที่ส่งมายังโลกยุคนี้
ส่งมาเป็นผีแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างน้อยขอให้ช่วยชายคนนี้ให้ได้ก่อนด้วยเถิด สาธุ...
"เอาว่ะ... เป็นไงเป็นกัน!"
กัลปพฤกษ์เดินเข้าไปหาผู้คุมอย่างช้าๆ ไอเย็นแผ่ซ่านออกมาตามตัว ผู้คุมที่ยืนอยู่ดีๆถึงกับขนลุกซู่ถึงกระดูกสันหลัง
ไม่พอ.... ขออีก....
พรึบ!
คบไฟทั้งหมดในบริเวณนั้นดับพร้อมกันหมดโดยไม่ทราบสาเหตุ
"ฮะ... เฮ้ย.... เกิดอะไรขึ้นวะ อยู่ๆไฟก็ดับ"รอบๆข้างมืดมนไปหมด แสงจันทร์ที่ส่องลงมายังไม่อาจกลบความกลัวในจิตใจคนได้
หางตาของผู้คุมแฉลบไปเห็นอะไรสีขาวๆเดินผ่านไป พอหันไปดูก็พบว่าไม่มี คราวนี้หางตาเห็นไปทางด้านขวาตัวของมันก็หันไปอีก ปรากฎว่าไม่มีอะไร ยิ่งยืนอยู่นานๆขายิ่งสั่น ความหนาวเริ่มเกาะกินหัวใจ
"ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้........"
เสียงเย็นเยือกดังอยู่ข้างหู ผู้คุมหันขวับแทบจะทันทีและปะทะเข้ากับใบหน้าเละเข้าอย่างจัง
"อ๊าก!! ไม่อยู่แล้ว กูไม่อยู่แล้ว!" อีกฝ่ายเตรียมวิ่งหนีตาตั้ง แต่ก่อนจะวิ่งมือเรียวก็เอื้อมไปหยิบกุญแจข้างเอวไว้ได้ทัน
"โห... ดอกไหนวะเนี่ย เยอะแยะไปหมด"กัลป์บ่นออกมางึมงำ พรางลองหาดอกที่ใช่ กุญแจที่หยิบมาได้มันเป็นห่วงคล้องกุญแจไว้หลายสิบดอก เพราะงั้นเขาจึงเดาไม่ได้แน่ นอกจากจะลอง
" ใจเย็นๆนะครับ ผมกำลังช่วยคุณ" กัลป์ในใบหน้าเดิมเดินไปตรงล็อคที่ข้อเท้า พยายามไขกุญแจทีละดอกทีละดอก
อีกฝั่งได้แต่มองการกระทำของร่างบาง ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาในลานนี้
เป็นผีหาใช่คน... จับต้องสิ่งของ อิทธิฤทธิ์แกร่งกล้า แปลก..... เจ้าเป็นผี คิดช่วยคน...
แกร่ก!
"อ้ะ!... ได้แล้ว ลุกไหวไหมคุณ...." กุญแจดอกสุดท้ายตรงพอดีกับแม่กุญแจ
กัลปพฤกษ์รีบประครองอีกฝ่ายลุกขึ้น....
'ตะ... ตัวหนักเกิน!.... นี่กินอะไรเข้าไปเนี่ย..ผู้ชายสมัยนี้ถึงได้ตัวบะเลิ่ม... เอ้ะหรือว่าเราผอมไป'
"ฮึ้บ!....."
"เฮ้ย!...... เกิดอะไรขึ้นวะไฟดับ ไปดูแม่ทัพมันเร็วเข้า!!. "เสียงของพวกมันดังมาแต่ไกล ผมหันไปมองทางประตูแล้วตัดสินใจพาออกไปอีกทาง
เสียงฝีเท้าของพวกมันเริ่มเข้ามาใกล้ทุกที คราวนี้ผมจะเอายังไงดีล่ะเนี่ย ถึงจะไม่มีใครมองเห็นแต่ก็จะใช่ว่าจะมองไม่เห็นผู้ชายคนนี้
" อึก!..... "อีกฝ่ายเหนื่อยหอบเมื่อออกมานอกกระโจมได้
กลับกันผมไม่เหนื่อยเลยสักนิด....
ตึกๆ......
"หามันให้เจอ! หาไม่เจอพวกมึงตาย!!" ไม่วายเสียงเหี้ยมก็ยังตามมาใกล้ๆ
'เอาไงดีเนี่ย!...... ที่โล่งแบบนี้จะไปแอบที่ไหนได้!... คิดสิคิด.... อ่ะใช่! เรื่องเล่าผีบังตา'
อ่ะนั่น! ผมเจอต้นไม้ใหญ่ๆหนึ่งต้นพอดี พอจะแอบพวกมันได้หน่อย ถ้าถามว่าผมจะทำยังไงก็คงจะเอาตัวเองบังตัวลง เหมือนตอนที่ผมทำหน้าเละๆด้วยการคิดล่ะมั้ง
"อยู่นิ่งๆนะคุณ....." ผมวางเขาลงหลังต้นไม้ จัดท่าให้ดูมิดชิดมากที่สุด ค่อยถกกระโปร่งถึงเข่าแล้วขึ้นคร่อมเอาตัวบังอีกฝ่าย ไม่รู้จะได้ผลหรือเปล่าแต่ตามหลักทฤษฎีมันก็คงจะทำอย่างนี้
ใบหน้าเปื้อนเลือดใกล้ชิดกับอกบางๆของร่างบาง กลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆโชยเข้าที่จมูก ดมแล้วรู้สึกผ่อนคลาย...
"มันคงไปใหนไม่ไกล หาให้ทั่ว!"
ตึกตัก ตึกตัก...
เสียงฝีเท้ามันดังเข้ามาเรื่อยๆ หัวใจดวงน้อยที่ไม่คิดว่าเต้นแล้วกำลังตื่นเต้นไม่หยุด ตีกันมันกลองลั่นศึก
เงาชายฉกรรจ์ทาบเข้ามาตรงพวกเขาแล้วก็เดินจากไป แสดงว่ามันไม่เห็นพวกเขา....
"ฟู่ว!.... รอดสักที นี่คุณพวกมันไปแล้ว คุณจะเอายังไงต่อ... คุณ... คุณ.." เมื่อไม่ได้ยินอะไรแล้วร่างบางก็ถอนหายใจออกมา พยายามเรียกอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้เสียงขานกลับมา พอก้มลงไปดูก็เห็นว่าเปลือกตาปิดเข้าหากันไปแล้ว
"อ่าว... หลับไปแล้ว... ถ้ามาหลับตรงนี้เราก็ต้องอยู่ด้วยน่ะสิ... เห้อ.. หลับไม่ดูสถานการณ์เลยแท้ๆ"
ปากก็บ่น ถึงกระนั้นร่างบางก็ค่อยๆลงจากตัวไปนอนพิงหลังต้นไม้อยู่ข้างๆ เอื้อมมือข้างซ้ายและข้างขวาไปกอดที่ลำตัว จากนั้นพิงใบหน้าเข้ากับไหล่ ถึงจะดูเขินๆสักหน่อยที่มากอดผู้ชายด้วยกันแบบนี้
แต่มันจำเป็น.. ก็ถือซะว่าทำบุญ ไม่รู้เพราะกลัวมากไปหรือเปล่าหากปล่อยมือแล้วมันจะไม่เป็นการบังตัวอีกฝ่าย
"อุ่นแหะ.... อืม...." ร่างบางค่อยๆปิดเปลือกตาตามไป ไม่เคยรู้มาก่อนว่าผีก็นอนได้.... ราตรีสวัสดิ์
+++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็นยังไงบ้าง สนุกหรือไม่สนุกก็ติชมกันได้เน้อ คอมเมนท์ให้ไรท์ได้รู้บ้าง อิอิ