07
:: AFTER HE WAS DRUNK ::
[3/4]
ตึก ตึก ตึก
“ไอ้จอม คืนนี้ไปงานแต่งลูกสาวเสี่ยเม้งไหมวะ ป๊าให้กูไป มึงไปเป็นเพื่อนหน่อยดิ”
ออกจากห้องสอบมาไอ้แทนคุณเพื่อนผมเอ่ยถามด้วยท่าทางเบื่อหน่าย เราก็ต่างเบื่อหน่ายงานสังคมเหมือนกัน แต่เพื่อนผมกับผมเนี่ยเป็นลูกนักธุรกิจเหมือนกันเลยได้รับเชิญไปงานอยู่บ่อยๆ ผมน่ะไม่ค่อยเท่าไหร่เพราะเป็นลูกคนเล็ก งานแบบนี้ไม่ถึงมือผมหรอก ป๊ากับม๊าคงวานเฮียไปแทนได้แล้ว แต่ไอ้แทนมันดันเป็นลูกคนเดียว บางทีผมก็ไปเป็นเพื่อนมันนะ
“ดูก่อนว่ะมึง ไม่ให้ไอ้สามคนนี้ไปล่ะ”
แดนไทย ไนท์ ม่าน เพื่อนอีกสามคนเบือนหน้าหนีพร้อมบอกเหตุผลของตัวเองว่าคืนนี้ไม่ว่าง คนหนึ่งติดวันเกิดเมีย อีกคนบอกไปงานรีสอร์ตต่างจังหวัด ส่วนอีกคนแม่มันป่วยมันเลยไม่อยากไปไหน ดูเหมือนผมจะว่างสุดแต่ผมไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่เลย
“เหลือมึงคนเดียวแล้วไอ้จอม ไปเป็นเพื่อนกูหน่อย ป๊ากับม๊าจะให้กูไปดูหลานเสี่ยเม้งด้วยว่ะ เหมือนกูจะโดนจับคู่เข้าแล้ว”
ผมเลี่ยงที่จะตอบมันโดยการออกมาโทรหาพี่มาร์ตินให้มารับ ทว่าพี่มันไม่ได้ไปไหนเลย เดินเล่นอยู่ในมหาวิทยาผมนี่แหละผมเลยบอกให้ขับมารอหน้าตึกคณะเดี๋ยวผมลงไปหา
หมับ!
จู่ๆ ก็มีฝ่ามือหนักๆ มาวางบนไหล่ทำให้ผมสะดุ้งตัวโยนรีบกดวางสายพี่มัน แต่หันมาเห็นแทนคุณยืนขมวดคิ้วอยู่ผมก็อดจะด่าไม่ได้
“เชี่ย ตกใจหมด ไอ้แทน ไอ้ห่า”
“ขวัญอ่อนอะไรวะ ตกลงมีธุระที่ไหนไหมมึงอ่ะ จะไปกับกูไหมเนี่ย”
“งานมีกี่โมง?”
“ทุ่มมั้ง”
“ปกติมึงก็ไปคนเดียวได้ วันนี้งอแงอะไรวะ”
“ก็จะหาคนไปสอดส่องหลานเสี่ยเม้งไง แม่คงอยากให้กูได้กับเค้าเลยให้กูไปงานนี้ให้ได้แต่ก็ไม่ยอมไปกับกู กูอยากมีเพื่อนไป กูเขิน”
“ติ๊งต๊อง เดี๋ยวกูโทรบอกแล้วกัน ขอนอนก่อน ถ้าตื่นทันจะไปด้วย”
“ถ้าไม่มีคนไปกูแกล้งป่วยอ่ะ กูก็ไม่ไป”
เราเดินมาขึ้นลิฟท์เพื่อลงมายังชั้นล่างของตึกคณะ เมื่อเดินออกมาก็เห็นแอสตันมาร์ตินสีบลอนด์คันงามของผมจอดรออยู่ก่อนแล้ว ผมยิ้มทันทีที่เห็นจากนั้นจึงเร่งฝีเท้าเดินนำเพื่อนออกไปโดยหันไปบอกลาทุกคนเสร็จเรียบร้อย
“ไอ้จอม ใครมารับวะ”
“คนขับรถมั้ง”
ผมตอบส่งๆ แล้วรีบมาขึ้นรถเพื่อที่จะมาบอกข่าวดีให้พี่มันรู้นี่แหละ ทว่าเมื่อผมทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะได้ยังไม่ทันเต็มก้นเสียงทุ้มของคนข้างๆ ก็ดังขึ้นเสียก่อน
“สอบได้ไหมน้อง”
“ผมเก่ง ทำได้ทุกข้อเลยข้อที่แสดงวิธีทำอ่ะ แต่ข้อกามีไม่มั่นใจประมาณสิบข้อ”
“โล่งอก พี่นั่งลุ้นกลัวน้องทำไม่ได้”
เขาถอนหายใจเหมือนรู้สึกโล่งอกจริงผมเลยรอบขำสีหน้าพี่มัน ไม่คิดว่าจะลุ้นตัวโก่งขนาดนี้ทั้งที่เรื่องของตัวเองก็ไม่ใช่ เขาไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรหากผมจะสอบได้หรือไม่ได้ด้วยซ้ำไป เนี่ย ชอบทำตัวน่ารักบ่อยจังวะ แม่ง แล้วผมก็ชอบมองพี่มันอ่ะ เป็นคนชอบสังเกตอยู่แล้ว พอเห็นเขาเป็นแบบนี้บ่อยๆ เข้าก็รู้สึกว่าตัวเองจะชมว่าเขาน่ารักนับครั้งไม่ถ้วนเสียแล้ว
“พี่ติน ค่ำนี้ว่างไหม ส่งผมไปงานหน่อยดิ”
“ค่ำนี้พี่รับงานร้องเพลงไว้แล้วอ่ะ น้องจะไปกี่โมง”
งานร้องเพลงเหรอ... พอได้ยินแล้วผมหูผึ่งเลยครับ ย้อนกลับไปถึงเรื่องที่ชมพู่เคยบอกว่าพี่มันร้องเพลงเพราะ เล่นกีต้าร์ก็ได้ รับงานร้องเพลงที่ร้านเหล้าแถวหอนั่นแหละ เอ๊ะ น่าจะร้านที่ผมเคยไปนั่งสังสรรค์ด้วยตอนนั้นนะ
จะว่าไปผมไม่เคยได้ยินเขาร้องเพลงหรือเล่นกีต้าร์เลยสักครั้ง ถ้าให้มองจากภายนอกผมดูไม่ออกเลยว่าเขาเป็นคนสุนทรีย์ ให้หลับตานึกก็ยังนึกไม่ออกเช่นกันว่าเสียงพี่มันตอนร้องเพลงจะเป็นแบบไหน
“ผมไปกับพี่ด้วยได้ไหม ไม่ไปแล้วงานตอนค่ำที่ว่า”
“อ้าว จะไปกับพี่เหรอ ไปก็ได้แหละแต่เลิกตั้งสี่ทุ่มนะ เราจะเบื่อซะก่อน”
“เออน่ะ วันนี้ผมอยากเมาพอดี หยุดอีกสองวันถึงจะสอบอีกทียังไงผมก็เมาได้คืนนี้น่ะ พรุ่งนี้ไม่ได้ไปไหน”
“ตามใจ จะมาก็มา แล้วนี่จะไปไหนต่อ?”
ไปไหนต่อดีน้า... ทุกทีจะเข้าอู่เพื่อทำรถ ทว่ารถผมที่จะลงแข่งน่ะเสร็จแล้ว ส่งให้ทีมดูแลแล้วผมก็หายห่วง ถ้ามีปัญหาอะไรเดี๋ยวคงโทรเรียกผมเอง จริงๆ ผมอยากเข้าไปดูรถนะแต่อยากดูพี่มันร้องเพลงมากกว่า ถ้าไม่มีพี่มันผมคงกลับห้องไปนอนหรือไม่ก็กลับบ้านไปหาครอบครัว
“พี่ไปไหนเอาผมไปด้วย”
อยากรู้เหมือนกันว่าชีวิตเขาทำอะไรบ้าง ได้เห็นแต่ในด้านการทำงานแต่ไม่เคยเห็นว่าบทบาทวัยรุ่นคนหนึ่งคนแบบพี่มันจะทำอะไร อย่างผมเนี่ยถ้าว่างก็อยู่แต่กับรถหรือครอบครัว ไม่มีงานอดิเรกอื่นเลยนอกจากนี้
สุดท้ายพี่มันพาผมไปกินข้าวที่ห้าง ดูหนังรักโรแมนติกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมถึงกับตั้งคำถามให้พี่มันใหม่ว่าอย่างพี่มันเนี่ยนะชอบหนังรัก คิดว่าจะชอบพวกแอคชั่นหรือหนังอะไรโหดๆ เสียอีก คุยกันไปคุยกันมาปรากฏว่าเขาไม่ชอบ เขากลัวหนังที่ส่อถึงความรุนแรง แอคชั่นพอได้ แต่ถ้าหนังผีคือขอบาย หนังฆาตกรรมนี่ไม่แลเลย เฮ้ย เพิ่งรู้ว่าเป็นคนอ่อนโยนเหมือนกันนะเนี่ย
รีวิวการได้ดูหนังด้วยกันครั้งแรกสักหน่อย ผมน่ะไม่ได้อยากดูเรื่องนี้นะบอกไว้ก่อนแต่ที่ดูเพราะพี่มันอยากดู เลยเข้ามาเป็นเพื่อนงั้นๆ ไม่ได้ตั้งใจดูเนื้อหาของหนังที่ฉายสักเท่าไหร่ กินป๊อบคอร์นไป ดูดน้ำไป เหลือบมองพี่มันไปก็แทบจะหมดเวลาแล้ว อ้อ ตอนฉากซึ้งๆ ผมเห็นพี่มันน้ำตาซึมด้วยนะ โคตรตลก! ผมเนี่ยนั่งกลั้นขำจนตดแทบแตก ไม่คิดว่าพี่มันจะเซนซิทีฟกับอะไรแบบนี้เลย
แล้วหลังจากนั้นผมก็โดนลากมาโซนเกมเซ็นเตอร์ที่มีเครื่องเล่นเกมมากมายหลายแบบ ขอบอกตรงนี้ว่าผมไม่ไม่เคยเข้ามาเล่นเลย ผมไม่ชอบคนเยอะ ผมอยากเล่นเกมอะไรผมก็ซื้อมาเล่นเองที่บ้านกับเฮีย ไม่เคยเล่นเกมสาธารณะแบบนี้ พี่มันบังคับผมให้แข่งโยนบาสกับมัน ผมโยนจนปวดแขนก็แพ้ตั้งสองสามรอบ โดนตราหน้าว่ากระจอกเลยครับ เสียหน้าคุณจอมจริงๆ
ทีนี้ผมเลยขอแก้ตัวเกมที่เชิดชูพละกำลังของตัวเอง คือเกมต่อยหมัดวัดความแข็งแกร่ง ผลออกมาคือผมแพ้ว่ะ เชี่ยเอ๊ย แพ้ได้ไงวะ ผมว่าผมแข็งแรงกว่าพี่มันตั้งเยอะนะ แล้วดูหน้าไอ้คนชนะสองเกมติดเถอะพี่มันหัวเราะตาหยีน่าหมั่นไส้ชะมัดเลย
“แรงพี่เยอะกว่าว่ะน้อง”
“เหอะ แขนผมล้าเพราะโยนบาสมาต่างหากไม่งั้นไม่แพ้หรอก อย่ามาวัดแรงกันแค่เกมเลยพี่ วัดกันบนเตียงดีกว่า กล้าไหมล่ะ?”
ความปากดีของผมก็ท้าทายเขาเป็นเรื่องปกติ ทว่าที่แปลกคือวันนี้พี่มันเคลิ้มตามผมว่ะ จู่ๆ ก็พยักหน้าแล้วยิ้มก่อนจะพูดฮึมฮัมเบาๆ
“ถ้าน้องกล้า พี่ก็กล้า”
ด๊ายยยยยย รอบหน้าไม่จบแค่การขัดดาบให้กันแน่พี่ติน ผมเตือนไว้ตรงนี้เลย!!
เราทะเลาะกันอยู่หลายเกมในนั้นเพราะผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ จากผมที่ไม่เคยเข้ามาเล่นเกมในโซนนี้ของห้างตอนนี้ชักคุ้นมือ อยากเอาชนะพี่มันให้ได้จนเสียเงินแลกชิปมาหยอดเกมหมดไปหลายพันบาท อยากเก็บสถิติว่าผมเคยเล่นเกมทุกอย่างในนี้แล้วชนะมากกว่าพี่มัน เวลาได้มาตรงนี้ในครั้งหน้าเขาจะได้จำไงว่าที่นี่มันถิ่นผม!
ทว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เพราะเวลาที่เรามีมันไม่พอให้ผมได้เก็บสถิติการเล่นเกมทั้งหมดในโซนนี้ เหลืออีกสามสี่ตู้เห็นจะได้ที่ยังไม่ได้เล่น มันเป็นตู้คีบตุ๊กตาครับ ไว้คราวหน้าเถอะผมจะคีบโชว์ให้ดู แต่วันนี้คงพอเท่านี้ก่อนแหละเดี๋ยวพี่มันเข้างานไม่ทัน
“รอบหน้าพาผมมาอีกนะ พี่จะได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้ ไอ้ตู้คีบนั่นดูง่ายอย่างกับปอกกล้วยเข้าปาก”
“ปากดีไปก่อนเถอะ มันไม่ได้ง่ายเลยนะตัวคีบมันอ่อน แต่มินเนี่ยนในตู้นั้นน่ารักว่ะน้อง เดี๋ยวรอบหน้าพี่จะมาคีบ”
ผมหันไปมองเจ้าตุ๊กตาตัวสีเหลืองใส่เอี๊ยมยีนส์สีน้ำเงินนั่นด้วยความรู้สึกฮึกเหิม ถ้ามีเวลาผมต้องคีบมันมาอวดเขาได้แน่ ให้ซื้อตู้นั้นมาให้เขาคีบเล่นที่บ้านผมยังทำได้เลยขอบอก แต่เดี๋ยวนะ แล้วผมจะลงทุนซื้อให้เขาทำสากกะเบืออะไรล่ะ แต่ถ้ายอมเป็นเมียผมจริงผมให้ได้นะ สายเปย์อยู่แล้ว
19.30 น.
และแล้วผมก็ถูกพามายังร้านเหล้าแห่งหนึ่งที่ไม่ใช่ร้านเดิม ตรงนี้ไม่ใช่แถวหอพักที่ผมเคยไป แต่เป็นย่านสถานบันเทิงแถบชานเมืองหน่อย ดูจากระยะทางแล้วก็ไกลจากบ้านพี่มันเอาเรื่อง ถ้าไม่มีรถมาจะคุ้มค่าทำงานเหรอ ได้ข่าวว่ารถกะบะที่พี่มันเคยขับตอนนี้เอากลับไปให้พ่อใช้ต่างจังหวัดแล้วนี่ เหลือแต่มอเตอร์ไซค์คันเดียว หรือขี่มอเตอร์ไซค์มาร้องเพลง เชี่ย ไกลมาก ขี่แหกลมไกลขนาดนี้หน้าชาหมดแน่พี่เอ๊ย
“ได้วันละเท่าไหร่เนี่ยพี่ โคตรไกลเลย คุ้มค่ารถไหมเนี่ย”
“ได้เบรกละพันอ่ะ ส่วนมากวนสามเบรก”
“แล้วทำไมมาทำไกลจังวะพี่ หาร้านใกล้ๆ ไหมเดี๋ยวผมหาให้ เพื่อนเฮียผมทำร้านเหล้าหลายคนนะ”
“จะเอาเวลาที่ไหนทำ แค่ฝึกงานกับน้องเหนื่อยแล้ว”
“เป็นเมียผมเมื่อไหร่ พี่สบายเมื่อนั้นแหละ”
ผมพูดจริงนะ ถ้าเป็นเมียผมเมื่อไหร่พี่จะไม่ลำบากเลย! เมียคนเดียวผมเลี้ยงได้อยู่แล้ว
______________________
TALK
ในความรุกของเจ้าจอมที่จะเคลมเขาเป็นเมียให้ได้อ่ะ มันก็ยังมีความน้องอยู่ในตัว ส่วนพี่ตินที่ดูอ่อนโยน นุ่มนิ่ม มันมีความหลัวในตัวสูงเช่นกัน ไม่รู้ทุกคนจะสัมผัสได้ไหมนะ ฮ่าาาา เอาล่ะ สปอยล์เลยนะ 1.เดี๋ยวจะเมา 2.พากลับคอนโด 3.เฉลยคำตอบที่หลายคนสงสัยใครโพไหน ใช่ค่ะ NCกรุบกริบ //รออออ รออ่านนะทุกคนนนนน อีกนิดเดียวววว
นิยายเรื่องนี้ตัวละครเป็นเพื่อนกับเรื่อง 'KNOCK OUT ENGINEERING วิศวะเกียร์มัว' นะคะ
ฟีลกู๊ด น่ารัก ฟินจิกหมอน และมีความโซแดมฮอตเหลือเฟือมาก เพราะพระนางโซหลัวทั้งคู่เลย อิอิ
ปกเต็ม
กิจกรรมพิเศษ!
แวะไปหวีดได้ที่แฮชแท็กทวิตเตอร์ #วิศวะเกียร์พยศ
สุ่มแจกนิยายเรื่องนี้ฟรี 2 เล่ม ระยะเวลาของกิจกรรมตั้งแต่วันนี้-31ธันวาคม
นิยายเรื่องนี้รูปเล่มออกงานหนังสือเดือนตุลาคม
ติดตามนักเขียนได้ที่
FACEBOOK FANPAGE : CLAZZICAL[สำหรับผลงานนิยายวาย]
FACEBOOK FANPAGE : OLIVIA [สำหรับผลงานนิยายนอมอล]
TWITTER : @SiraClazzical
คอมเมนต์มีผลต่อกำลังใจนักเขียนเสมอ
1 คอมเมนต์ 1 กำลังใจนะคะ
(คอมเมนต์เยอะจะมาอัปให้ไว)
*เนื้อหาส่วนที่อัปนี้ยังไม่ได้ทำการแก้คำผิดใดๆ
โดยปกติจะพิมพ์จบเรื่องแล้วส่งพิสูจน์อักษรทีเดียว
ดัังนั้นหากอ่านไปแล้วเจอคำผิดทำให้หงุดหงิดใจต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ*