Chapter 9
ความสับสน
“ฮะ?? จริงเหรอ??”
ฉันนั่งถอนหายใจมองหน้าชอจุนที่เจ้าตัวมาหาฉันหลังจากที่เลิกงานบอกว่าเจอกันฉันพยายามจะปฏิเสธละแต่ไอ้บ้านี่ก็มีเรื่องมาดักตลอดเลยต้องปล่อยให้ขึ้นมาหา แถมหมอนั่นยังถามจู้จี้เรื่องทำงานอีกฉันเลยตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้ฟังตั้งแต่เริ่มเรื่อง และ ฉันก็มั่นใจว่าไอ้บ้านี่ไม่เชื่อแน่นอนอย่างที่ตอนนี้หมอนั่นมองหน้าฉันอย่างสงสัย...
“ฉันบอกแล้วว่านายนะต้องไม่เชื่อฉัน”
ฉันพูดขึ้นอย่างตัดพ้อนั่นทำให้คนตรงหน้าพูดขึ้นมททันที
“ไม่ใช่แบบนั้นฉันเชื่อแกแต่ที่ถามนะคือแกมั่นใจได้ไงว้าหมอนั่นเป็นคนที่จะแก้คำสาปให้เธอได้”
คำพูดของชอจุนทำให้ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อันที่จริงเรื่องนี้ฉันก็คิดนะปกติคนเราเวลาเจอเนื้อคู่อะไรมันจะต้องมีความรู้สึกบางอย่างใช่ไหมแต่นีเคือไม่เลยเขาเฉยๆมากจนฉันเริ่มไม่แน่ใจนี่เขาพึ่งเริ่มจะมีอาการบางเพราะฉันไปอ่อยเขาแต่มันไม่เหมือนเขาชอบหรืออะไรเพราะมันเหมือนแค่เขาอยากจะลองอยากจะได้อยากจะเอาแค่นั้นพอมองย้อนกลับไปคิดถึงคำพูดของเขาละก็เขามักจะพูดว่า ‘ฉันชอบอะไรที่มันสดใหม่ด้วยสิ’
“อ๊ากกกก!!! ฉันก็ไม่รู้!!!”
ฉันตะโกนขึ้นนั้นทำให้ชอจุนตกใจเล็กน้อยหมอนั่นรีบลุกขึ้นมานั่งข้างๆฉันทันที
“เป็นบ้าอะไรของแกเนี่ย ถ้ายังไม่แน่ใจแกจะไปเข้าใกล้เขาทำไมถ้าเกิดอะไรขึ้นคนที่เสียใจไม่ได้มีแค่แกนะ”
หมอนั่นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย แต่นั่นก็ทำให้ฉันคิดได้ว่ามันก็ความจริงไม่มีอะไรยืนยันว่าเขาเป็นผู้ชายคนนั้นของฉันทำไมฉันต้องเอพรหมจารีของตัวเองไปเสี่ยงด้วย!!!
“ และ อีกอย่างฉันว่าบางทีไอ้คำสาปนี้อาจมีทางแก้แบบอื่นก็ได้ อย่างเช่น...”
“เช่น...อะไร”
“ก็แบบแกบอกว่าต้องเป็นรักที่ด้วยหัวใจบริสุทธิ์ใช่ไหม”
“ใช่ แล้วไงต่อนานคิดอะไรออก”
ฉันมองหน้าชอจุนอย่างคาดหวังหมอนั่นก็ถอนหายใจเล็กน้อย..
“เฮ้อออ...เปล่าไม่มีอะไรหรอกฉันลืมนะ แล้วแกตะเอาไงละตอนนี้”
จากที่ไอ้เพื่อนบ้ากำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่พอฉันหันไปสบตารอคำตอบตรงๆจู่ๆหทอนั่นก็เปลี่ยนเรื่องทันที อะไรกันว่ะ
“ไม่รู้ ก็คงรอดูสถานการณ์ต่อไปจะลองดูอีกสักหน่อยถ้าเขาไม่ทีท่าที่อะไรก็จะถอยออกมาตั้งหลักใหม่”
“ตามใจแกละกันมีอะไรให้ช่วยก็บอก...เออจริงด้วยวันนี้ขอค้างที่ห้องแกด้วยนะพอดีพรุ่งนี้ฉันมีประชุมแถวนี้นะฉันเอาเสื้อผ้ามาแล้วด้วย”
ฉันหันไปมองหน้าชอจุนทันทีด้วยความเร็ว ไอ้หมอนี่เตรียมแผนนี้มานี่เอง
“ก็ได้ๆ เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อนละกันเดี๋ยวมาหาอะไรให้ทาน”
“โอเคคร้าบบบ”
ฉันส่ายหัวมองหน้าชอจุนอย่างหมั่นไส้ให้ตายเถอะหมอนี่เป็นแบบนี้ตลอดจริงๆชอบใช้ใบหน้าหล่อๆนั้นอ้อนฉันตลอด และ ฉันก็ยอมใจอ่อนตลอดเห็นเฮ้ออออ!!!
“ส่วนนายก็เก็บของไปที่ห้องรับแขกด้านขวานู้นไออาบน้ำได้ละ”
“อื้อ...”
แล้วหมอนั่นก็ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องนอนที่ฉันบอกส่วนฉันก็เดินกลับไปที่ห้องนอนเพื่อจะรีบอาบน้ำ และ มาหาอะไรให้เพื่อนทานแต่วันนี้ทันก็เหนื่อยชะมัดการรับมือกับเขามันก็น่ากลัวจริงๆนะเวลาที่เขาจ้องจะทำอะไรสักอย่างทันเหมือนเสือที่กำลังจะขย้ำเหยื่อไงไม่รู้!!! ช่วงนี้ทุกเช้าที่ไปปลุกเขานั้นเขาก็จะชอบหาเรื่องแตะตัวฉันตลอด และ เขาก็ชอบดึงฉันเข้าไปจูบอย่างกับเป็นเรื่องสนุกด้วย นั้นมันยิ่งทำให้ฉันใจเต้นกับเขาตลอดให้ตายสิ!!!
“เฮ้ออออ!!! จะเป็นยังไงต่อกันนะ...”
ชอจุน
“เจส เจส...เข้าไปนอนในห้องดิแกจะมานอนตรงโซฟาทำไม” ผมนั่งมองหญิงสาวที่เป็นเพื่อนสนิทสมัยเด็กของผมที่ตอนนี้เจ้าตัวมานอนหลับตรงห้องนั่งเล่นหลังจากที่พึ่งทานข้าวเสร็จได้ไม่นานเราสองคนก็มานั่งดูทีวีกันแล้วจู่ๆยัยตัวแสบก็เอาหัวมาพิงไหล่ผมแล้วหลับไป
“เจส..”
ผมเรียกชื่อเธอพร้อมกับลูบผมที่ปิดหน้าของเธอเพราะกลัวเจ้าตัวจะรู้สึกไม่ดีก่อนผมจะค่อยๆจับหัวของเธอค้างไว้แล้วค่อยๆขยับตัวออกแล้ววางเธอนอนลงโซฟาเบาๆก่อนจะยืนขึ้นแล้วอุ้มเจ้าตัวขึ้นมาด้วยสองแขนร่างบางๆของเธอนอนในอ้อมแขนของผมอย่างไม่รู้สึกรู้สาจนมาถึงห้องผมจึงว่งลงที่เตียงเบาๆพร้อมกับห่มผ้าให้เธอ..
“แกนี่ไม่ระวังตัวเองจริงๆเลยนะ...”
ผมนั่งลงข้างๆเตียงของเธอพร้อมกับใช้มือค่อยๆลูบหัวของเธออย่างอ่อนโยน หญิงสาวตรงหน้าที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทสมัยเด็กของผมมันไม่มีสักครั้งที่ผมคิดกับเธอแค่เพื่อนเพราะผมหลงรักเธอตั้งแต่เด็กจนมาถึงตอนนี้ทุกอย่างผ่านมานานมากแล้วแต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่ความรักของผมที่มีต่อเธอจะน้อยลง...
“บางทีหัวใจที่บริสุทธิ์ของฉันอาจช่วยแกได้นะเจส...”
ผมพูดขึ้นอย่างแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงเศร้าๆหลังจากที่ได้ยินเรื่องราวของเธอ...และ ที่เจ็บปวดที่สุดคือเธอกำลังเข้าไปข้องเกี่ยวกับผู้ชายที่ขึ้นชื่อเรื่องผู้หญิงอย่าง แอลฟ่า เคิรดริก คนนั้นคนที่ผมเขาติดตามยัยตัวแสบตั้งแต่วันแรกที่ผมทาถึงที่นี่...หมอนั่นอันตราย
“ฉันรักแกนะเจส...ฉันหวังว่าสักวันแกจะมองเห็นความรักของฉันบ้าง...”
แอลฟ่า
“คุณแอลค่ะ...ตื่นได้แล้วค่ะ”
ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าเพราะเมื่อคืนผมรีบเคลียร์งานทุกอย่างให้เสร็จสิ้นจนทุกอย่างเสร็จหมดแล้วอีกไม่นานผมคงได้กลับเกาหลีละ..
“วันนี้ต้องยืนห่างขนาดนั้นเลยเหรอทุกทีเห็นชอบเข้าใกล้นิ”
ผมลุกขึ้นพรางหันไปหาต้นเสียงที่ยื่นห่างจากผมมากเจ้าตัวยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ฉันทำอาหารให้เสร็จแล้วนะคะอาบน้ำเสร็จแล้วเรียกฉันได้ค่ะ เดี๋ยวจะจัดโต๊ะให้ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
พูดจบเธอก็รีบเดินออกไปด้วยความเร็วผมมองตามอย่างไม่เข้าใจว่าเธอเป็นอะไร ตอนแรกผมไม่สนก็พยายามทำให้ผมสนพอผมจะเล่นด้วยละถอยห่างอะไรว่ะเนี่ย...
“เฮ้อ!! ช่างเถอะใครสนกันละ”
ผมลุกขึ้นไล่ความคิดไร้สาระออกจากหัวก่อนจะเดินไปอาบน้ำแต่งตัวสบายๆเพราะวันนี้จะเป็นวันแรกที่ผมได้พักผ่อนเต็มที่สักที!!!
ไม่นานผมก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็รีบเดินออกมาทันทีเพราะหิวข้าวแบบสุดๆ
“ยัยแม่บ้าน เธอจัดโต๊ะหรือยัง”
“พร้อมแล้วค่ะ วันนี้ฉันทำอาหารเช้าเพื่อสุขภาพเพราะเห็นว่าคุณทำงานหนัก”
ผมมองหน้าเธอที่ยืนนิ้มอย่างภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองทำก่อนจะยกจานข้าวมาบนโต๊ะให้ผมดู
“ข้าวกล้องไข่ทูน่าพร้อมอกไก่อาหารคลีนเพื่อสุขภาพแล้วก็น้ำส้มคั้นค่ะ”
“ก็ดีเหมือนกัน...เธอช่างสังเกตดดีนิแล้วของเธอละไม่ทานหรือไง”
“อ้อ!! พอดีฉันทานมาแล้วค่ะ วันนี้คุณแอลจะรับเป็นซา หรือ กาแฟดีค่ะ ฉันจะเตรียมทำไปเสริฟที่ห้องทำงานให้”
“ขอเป็นน้ำส้มคั้นจากมือเธออีกแก้วไปให้ที่ห้องนั่งเล่นละกันวันนี้ฉันพักผ่อน...”
“ได้ค่ะ”
พูดจบเธอก็เดินออกไปจัดการให้ผมในขณะที่ผมนั่งทานข้าวบนโต๊ะอาหารพรางมองเธอทำไปด้วยทุกอย่างที่เธอทำนั่นเธอทำด้วยความตั้งใจ เธอเป็นผู้หญิงที่ดูใสชื่อน่ารักดี...
หลังจากที่ทานข้าวเสร็จผมก็ยกจานข้าวกับแก้วน้ำไปใหเธอในขณะที่เธอกำลังยืนหั่นส้มอยู่แถวอ่างล้างมือผมเดินไปซ้อนหลังเธอก่อนจะเอื้อมมือผ่านเอวของเธอไปวางจานตรงหน้าสภาพเราตอนนี้จึงเหมือนผมกำลังสวมกอดเธอจากด้านหลัง จากนั้นผมก็โน้มตัวลงกระซิบข้างๆหูของเธออย่างแผ่วเบา...
“ฝากล้างด้วยนะ..เจสชี่”
ฟู่~~~
ผมเป่าลมใส่หูของเธอเล็กน้อยก่อนจะดันตัวเองออกมาแล้วเดินออกไปจากห้องครัวไปยืนพิงกำแพงตรงประตู...
“อร้ายยย!!! ใจบ้าเต้นแรงเกินไปแล้วววว”
เสียงร้องของเธอดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำเธอหันหน้ามามองทางประตูก่อนจะรีบหันกลับไปตามเธอผมลอบมองเธอผ่านเงาสะท้อนอย่างพอใจ...
“ฮึๆ นี่พึ่งเริ่มเองเจสชี่...”
1 ชั่วโมงต่อมา
“เอิ่มคุณแอลค่ะฉันจำเป็นต้องไปจริงๆนะคะ...วันนี้ฉันจะทำงานชดเชยให้แต่ตอนนี้ฉันขอตัวออกไปรับเพื่อนแป๊บนะคะพอดีเขาเดือดร้อนจริงๆ”
ติ๊ด!
ผมกดรีโมทปิดทีวีก่อนจะหันไปหาเธอนี่เธอนั่งขอร้องผมมาประมาณสามสิบนาทีแล้วว่าเธอจะต้องออกไปรับเพื่อนของเธอเพราะรถหมอนั่นเสีย...ถามว่ารู้ได้ไงนะเหรอก็เธอพูดออกมาเองไงละให้ตายสิผมไม่ชอบใจเลยเวลาที่เธอพูดถึงหมอนั่น
“เอาละก็ได้จะไปรับเพื่อนใช่ไหมงั้นฉันไปด้วยฉันจะได้รู้สึกว่าฉันไม่ได้เสียเงินให้เธออย่างเปล่าประโยชน์”
คำพูดของผมทำให้เธอขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจแต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้นนั้นทำให้เธอต้องมองหน้าผมอย่างจนใจ
“ก็ได้ค่ะ งั้นเราไปกันเถอะว่าแต่คุณนั่งรถฉันได้ใช่ไหม”
“นี่เธอ!! เห็นฉันเป็นคนยังไงกันเนี่ยรถอะไรฉันก็นั่งได้อยู่แล้วให้ตายสิ”
“ก็ไม่รู้นิ...ปกติเห็นเรื่องมากจะตาย”
เธอบ่นอุบอิบนิดหน่อยก่อนจะเดินนำผมไปผมก็ลุกขึ้นเดินตามหลังเธอไปที่ลิฟต์ก่อนเธอจะกดชั้นใต้ดินลิฟต์ก็ทยอยเคลื่อนตัวลงช้าๆแต่จู่ๆเหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้น
เคล้งๆ เคล้งๆ
“อร้ายยย เกิดอะขึ้นเนี่ย!!”
ลิฟต์สั่นสะเทือนความแรงก่อนไฟจะติดๆดับๆแล้วก็ดับไปถามเลย
“กรี๊ดดดดดด!!!”
พรึบ
เธอกรีดร้องออกมาทันทีที่ลิฟต์ดับแล้วจู่ๆเธอก็โผล่มากอดผมด้วยอาการสั่นเทา
“คุณแอลอย่าปล่อยฉันนะฉันกลัว...ฉันกลัวที่ความมืดในที่แคบแบบนี้...แฮ่กๆ แฮ่กๆ”
ผมยืนนิ่งมองร่างเธอผ่านความมืดที่กอดผมแน่นด้วยอาการสั่นเทามันไม่ใช่การเสแสร้งแต่อย่างใดแต่มันคือความจริง...ผมดึงเธอมากอดก่อนจะลูบหัวเบาๆ..
“ฉันไม่ปล่อยเธอหรอก..ใจเย็นๆหลับตาไว้นะแล้วค่อยๆหายใจเข้าออกนะ...แล้วค่อยๆขยับขามาพร้อมฉันเข้าใจมั้ย”
คำพูดของผมทำให้เธอพยักหน้าหงึกๆอย่างเข้าใจผมจึงค่อยๆขยับขาไปยังแถวบริเวณประตูลิฟต์เพราะจะกดปุ่มเรียกขอความช่วยเหลือ....จนไม่นานก็มาถึงผมจึงรีบกดปุ่มนั้นทันที...
“ช่วยด้วยครับมีคนติดอยู่ในลิฟต์...ฮัลโหลมีคนอยู่มั้ยครับช่วยด้วยเราติดอยู่ในลิฟต์...ช่วยด้วยครับ!!”
ผมพยายามพูดแต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมามีเพียงแค่เสียงดังแปลกๆ....
ซ่า~~~~~~
ผมมองซ้ายมองขวามีแต่ความมืดแถมลิฟต์ตัวนี้ยังเป็นลิฟต์ส่วนตัวในห้องผมอีกมันคงจะยากถ้าจะมีคนมาช่วยเราในเวลานี้แต่ผมก็ไม่อยากทำให้คนในอ้อมกอดผมกลัวไปมากกว่านี้...
“นี่เดี๋ยวเราลงกันอีกไม่นานคงมีคนมาช่วยเราแล้วไม่ต้องกลัวนะ”
ผมนั่งพองผนังลงด้านข้างในขณะที่เธอก็นั่งอยู่ด้านหน้าผม และ ยังคงกอดผมแน่นเธอหลับตาแบบไม่ยอมลืมตาขึ้นสักนิดผมจึงพยายามลูบหัวเธอปลอบโยน...
“ทำไมถึงกลัวเธอ”
“ฉันเคยติดอยู่ในลิฟต์คนเดียวเป็นเวลานานตอนนั้นมันทรมานมากฉันอึดอัดจนแทบใจจะขาด”
“ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่คนเดียวนิ...”
“มันก็ใช่แต่ว่า...”
“ค่อยๆลืมตาขึ้นมาสิ...แล้วมองมาที่ฉันตอนนี้เธอไม่ได้อยู่คนเดียวนะเจส....ฉันอยู่กับเธอ...
” ผมเชยคางเธอขึ้นมาก่อนจะค่อยๆโน้มตัวลงประทับริมฝีปากลงครอบครองริมฝีปากของเธออย่างอ่อนโยนเธอตกใจเล็กน้อยก่อนจะเริ่มตอบรับสัมผัสของผมอย่างคุ้นชิน รสหวานละมุนมันช่างเย้ายวนใจผมให้ลิ้มลองมากกว่าเดิมมืออีกข้างหนึ่งของผมเอื้อมไปจับท้ายทอยของเธอก่อนจะบดขยี้ริมฝีปากของเธออย่างพอใจจนเจ้าตัวเริ่มหายไปติดๆขัดๆเพราะใกล้จะหมดลมผมจึงค่อยๆผละริมฝีปากออกจากเธอ...
พรึบ!
และ ในทันใดนั้นเองจู่ๆไฟในลิฟต์ก็สว่างขึ้นทันทีที่ผมถอนจูบจากเธอก่อนเจ้าตัวจะนึกขึ้นได้แล้วรีบดันตัวเองออกจากผมทันทีก่อนจะรีบลุกขึ้นไปยืนอีกฝั่ง..ผมก็ค่อยๆยันตัวเองขึ้นมายืนพร้อมกับใช้สายตามองเธออย่างพอใจในความเขินอายนั้น...
“สงสัยมันคงกลับมาทำงานปกติแล้วมั้งจะลงไปต่อมั้ย”
“คะ...ค่ะ!!!”
“ฮึๆ...หวานจัง”
พอผมพูดแบบนั้นเจ้าตัวยิ่งก้มหน้าลงมากกว่าเดิมตัวเธอแดงไปทั้งตัวดูน่ารักชะมัดฮ่าๆ
“น่ารัก...”
“ฮะ?? เมื่อกี้คุณแอลพูดอะไรค่ะ”
“เปล่า...ไม่มีอะไร”
( ชอจุน )
อ๊ากกกจะเอาไงกันแน่สองคนนี้อิอิอิโอ๊ยไรท์ขิงบอกก่อนเลยนะตอนนี้ต่างคนต่างสับสนมันเลยดูสับสนรุงรังแบบนี้ฮ่าๆนางเอกเราก็สับสนว่าจะไปต่อหรือถอยดีนางคิดว่าพระเอกคือคนที่ใช่จริงๆเหรอส่วนอิพรี่แอลของเราก็ทิ้งระยะปลอดภัยของตัวเองเริ่มเข้าใกล้รางเอกเริ่มมองนางเอกของเราในทางทีดีขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนไงแต่ใจหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่านางเอกต้องการอะไรแบบนี้...ไรท์มาอธิบายเผื่อทุกคนงงเพราะไรท์ก็เขียนแบบงงๆอีก
ปล. ไรท์ิยากดำเนินเรื่องให้มีเหตุผลที่สุดไรท์สังเกตเห็นความผิดพลาดของตัวเองคือรู้สึกจะเดินเรื่องแบบพระนางจู่ๆมาชอบกันได้ไงไม่รู้อะไรแบบนี้เลยอยากพัฒนาให้ดีขึ้นอย่าพึ่งเบื่อเค้าน๊าาาา