2 วันต่อมา
“ตื่นได้แล้วครับ”
เสียงใคร ?
ผมตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียแต่พอมองนาฬิกาก็ต้องเบิกตากว้าง
16.40 ฉิบหาย! ยังไม่ได้ไปซื้อชุดไปงานสวมหน้ากากวันนี้เลยด้วยซ้ำ วันนี้ผมมีเรียนตอนเช้าถึงเที่ยง พอเที่ยงก็กลับคอนโดมาเอากระเป๋าสตางค์ที่ลืมไว้ตั้งใจว่าจะไปหาซื้อชุดไปงานแต่แอร์มันเย็นดีเลยกะว่าจะงีบก่อนสักสามสิบนาทีแล้วแหงมันฟาดไปเกือบสี่ชั่วโมงเลยล่ะเนี่ย!
“เชี่ย!” ผมสบถให้กับตัวเองพลันสายตาเหลือบไปเห็นคนข้างกาย “แล้วมึงเป็นใครล่ะเนี่ย” เผลอหยาบโดยสัญชาตญาณเมื่อเห็นคนไม่คุ้นหน้าคุ้นตา
แต่จะว่าไป… เรือนผมสีน้ำตาอ่อนกับสีตาแบบนี้ดูๆไปแล้วก็รู้สึกคุ้นๆอยู่เหมือนกันนะเนี่ย
พอเขาพูดออกมามันก็ทำให้ถึงบางอ้อทันที
“รอยด์ แมกคานีวาล”
รอยด์ตัวจริงเหมือนสิงห์ตอนที่ปลอมตัวเป็นรอยด์ตัวปลอมแทบทุกประการ ขอชื่นชมจากใจว่าแสดงละครได้เก่งมาก ผมเคยเจอรอยด์แม้จะเป็นตัวปลอมยังไงแต่ตัวจริงก็เป็นแบบนั้น โครงหน้าไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้เท่าไหร่รูปร่างสูงและดูดีในชุดสูทสีดำเรียบสนิท
“นายท่านส่งสไตลิสมาแต่งหน้าให้แล้ว พวกเขารออยู่ด้านนอกพร้อมชุดไปงานสำหรับวันนี้”
เหมือนเสือจะรู้ใจผมหรือรู้อนาคตก็ไม่ทราบแน่ชัดเพราะเขาจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้เรียบร้อย มิน่าสองวันที่แล้วถึงถามว่าจะไปงานหรือเปล่า
“แล้วเสือล่ะ” ผมถามเพราะตอนนี้ขึ้นมาก็ยังไม่เจอเขาเลย
“ไปแต่งหน้าที่มหา’ลัย” เสียงราบเรียบตอบ ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะลุกจากเตียงเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวก่อนเดินออกมาด้วยสภาพหอมฟุ้ง ผมเดินออกไปด้านนอกถูกสไตลิสจับแต่งตัวแต่งหน้าทำผม เรียกได้ว่าขัดสีฉวีวรรณตั้งแต่หัวจรดเท้า ชุดวันนี้เป็นกางเกงขายาวสีขาวกับเสื้อตัวยาวสีขาวประกายวาววับเล็กน้อยไม่ได้เป็นชุดสูทแบบผู้ชายแต่ก็ไม่ได้หวานจนเลี่ยนแบบชุดของผู้หญิง
“น่ารักจังเลยค่ะ” พี่ๆที่แต่งหน้าใช้ผมอยู่เอ่ยชมขึ้น ผมมองตัวเองในกระจกก่อนยิ้มออกมาเล็กน้อย โครงหน้าเรียว นัยน์ตากลมโต จมูกโด่งรั้นและริมฝีปากบางได้รูป ทั้งมวลเสริมด้วยเครื่องสำอางเล็กน้อย เรียกว่าน่ารักไหมก็อาจจะใช่ล่ะมั้ง
“ออกไปก่อน” เสียงราบเรียบดังขึ้นผมมองไปทางด้านหลังเห็นรอยด์ยืนพิงประตูอยู่ พอเขาไล่ทุกคนออกจากห้องแล้วร่างสูงจึงเดินเข้ามาหาผมที่นั่งอยู่เก้าอี้ตรงหน้ากระจกบานใหญ่ ผมเบี่ยงตาเมื่อเห็นเขาถือสร้อยที่คล้องกับแหวนหมั้นผมมาด้วย รอยด์วางกล่องอะไรบางอย่างเอาไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะถอดแหวนหมั้นในสร้อยของผมออกมา แล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นมือหนายื่นมาจับมือผมไปขณะบรรจงสวมแหวนเข้าไปที่นิ้วนางข้างซ้ายช้าๆ
จากนั้นก็ลุกขึ้นรอยด์เปิดกล่องที่เพิ่งวางบนโต๊ะเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเผยสิ่งที่อยู่ด้านใน
เป็นสร้อยเพชรสีน้ำเงินที่น่าจะเข้าคู่กับแหวน
ก่อนมันจะถูกสวมเข้าที่คอของผมเช่นเดียวกับแหวน
“นายท่านฝากผมมาให้คุณใส่” น้ำเสียงราบเรียบบอกหลังจากที่สร้อยเพชรน้ำงามถูกสวมเข้าที่คอของผม “และนี่…” หน้ากากแฟนตาซีถูกนำออกมาจากด้านหลังของร่างสูง รอยด์สวมให้ผมเป็นหน้ากากสีน้ำเงินหรูหราประดับด้วยขนนกที่ปกปิดใบหน้าส่วนตาขึ้นไปเพียงด้านเดียว “ทั้งชุด เครื่องเพชร รวมถึงหน้ากากนายท่านเป็นคนหามาให้คุณ อีกอย่างคือนายท่านเลือกด้วยตัวเองทั้งหมด”
“อย่างนั้นหรือ” ผมพึมพำขณะมองตัวเองในกระจก ทุกอย่างที่แต่งเติมเสริมให้มันเข้ากันอย่างเหมาะเจาะ บ่งบอกว่าคนเลือกพิถีพิถันแค่ไหน เสือเอาเวลาตอนไหนไปเลือกมาให้ผมกันนะ ผมเป็นคนขอร้องให้เขาไปทำเรื่องยุ่งยากจนแทบไม่มีเวลาได้พัก แล้วเขายังยอมมายุ่งยากเพื่อหาชุดให้ผมอีก
คิดถึงจัง
“ตอนนี้ใกล้ถึงเวลางานแล้ว รีบไปกันเถอะครับ” ร่างสูงบอกก่อนจะเดินออกจากห้องไปก่อน ผมถอนหายใจลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องตาม แม้ในใจคัดค้านไม่อยากจะไปงานเต็มแก่เพราะรู้สึก… ไม่ดีเลย
“ถ้าเลิกเมื่อไหร่ โทรหาผมนะครับ เบอร์ผมอยู่ในโทรศัพท์คุณแล้ว” รอยด์พูดหลังจากที่รถจอดอยู่ตรงหน้าอาคารสถานที่จัดงานเรียบร้อยแล้ว ผมร้องอืมตอบกลับเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วค่อยๆก้าวเท้าลงจากรถ ขณะจะเดินเข้าอาคารก็พลันคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าไม่มีคู่เข้าไม่ให้เข้า ผมเลยถอยออกมาก่อนแล้วหยิบโทรศัพท์กดเบอร์เดือนมหา’ลัยที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะปรากฏตัวให้เห็น รอไม่นานนักเขาก็รับ
“อยู่ไหน”
(แค่กๆ ธามขอโทษแต่คิดว่าไปไม่ไหวแล้วว่ะ) เสียงแหบพร่าดังออกมา ดูไม่เสแสร้งจนผมตกใจ (กูท้องเสีย กูขอโทษ) ธัญบอกเสียงเบาๆปนเสียงจามไปมา ผมทำหน้าเหยเกอยากให้มันมาแต่พอนึกถึงสุขภาพมันเลยต้องยอม
“โอเคงั้นไม่ต้องมาก็ได้”
(แค่กๆ ขอบใจมาก ติ๊ด!) ว่าจบมันก็วางสาย ในขณะที่ผมต้องมานั่งคิดมากต่อ
แล้วกูจะเข้างานยังไงดีล่ะเนี่ย ?
ในงานเข้ามีกฎว่าถ้าไม่มีคู่ห้ามเข้าเพราะมันจะมีช่วงหนึ่งที่ทุกคนต้องมาจับคู่เต้นรำกัน
ผมเบ้ปากในขณะที่กำลังจะยกโทรศัพท์โทรขอความช่วยเหลือจากกิ้งก็โดนมือใครบางคนจับเอาไว้เสียก่อน ผมตวัดใบหน้าไปมองก่อนจะสะบัดมือออกอย่างไว “มึง”
“ไงครับJ” ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้หน้ากากสีเงินอร่ามทักทายผมด้วยรอยยิ้ม แต่ถึงจะใส่หน้ากากก็ยังไม่สามารถปกปิดถึงขนาดมองไม่ออกว่าเป็นใครอยู่ดี ร่างสูงอยู่ในชุดสง่าสีดำมันไม่เชิงชุดสูทออกแนวแฟนตาซีเล็กน้อยเส้นผมสีดำถูกเซ็ทให้เข้ากับชุดมาอย่างดี เผยด้านหล่อร้ายและดูน่าค้นหาไปพร้อมๆกัน ภาพลักษณ์มิคาเอลที่ผมเคยมองเขานั้นมันเปลี่ยนไปจนกลายมาเป็น 'ปีศาจ’
เป็นปีศาจร้ายที่น่ากลัว
“ไม่เจอกันไม่กี่วันเปลี่ยนสรรพนามได้ขนาดนี้เลยหรือครับ วันที่อยู่ในลิฟต์นั้นผมคงทำรุนแรงกับธามเกินไปสินะ” เสียงทุ้มว่าคล้ายเย้าหยอก นิ้วเรียวเชยคางผมขึ้นแต่ไม่ช้าก็โดนผมปัดมาออกไป “ท่าทางแบบนี้คงจะเกลียดกันแล้วสินะครับ”
“…”
พอผมไม่ตอบสิงห์เลยหัวเราะ แม้ใบหน้าจะยังคงยิ้มอยู่แต่นัยน์ตาของเขาเริ่มแข็งกร้าวขึ้นมา
“ดีครับ เกลียดเลย เกลียดผมเยอะๆ เลยนะ”
คำเรียกที่เปลี่ยนทำให้รู้ว่าคงจะดีกันไม่ได้ ผมตะเบ็งเสียงใส่ “ไม่ต้องบอกก็เกลียดอยู่แล้ว! โอ๊ย! เจ็บ!”
เขาบีบข้อมือผมแรงๆ ก่อนจะลากให้ผมเดินตามเขาไป มือหนาจัดการให้ผมคล้องแขนเขา “จะทำอะไรน่ะ!”
“จะพาเอางานไงครับ อย่างน้อยตอนนี้ธามก็เป็นคู่ผม”
“ไม่!!!!!!” ผมยั้งตัวเอาไว้แล้วสะบัดตัวออก “ไม่เอา!”
แต่เขาก็ตามมาลากผมอีกครั้ง โชคดีที่ตรงที่เราลากๆ ถูๆ กันอยู่เป็นมุมอับคนเลยไม่เห็น
“ถ้าไม่มีคู่แล้วนายจะเข้างานยังไงล่ะครับ”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าไม่มี!”
กึก!
ประโยคนั้นเหมือนทำให้สิงห์ดูชะงักไปสักครู่ เขาเงียบไปก่อนจะพูดบางอย่างด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“ธัญคู่ของนายที่มาเขาไม่ได้ก็เพราะ…” สิงห์จงใจลากเสียงยาว “ผมเป็นคนวางยาทำให้มันมาไม่ได้เอง”
เพี้ยะ!
“เลว” ผมตบและด่าเขาไปตามอารมณ์จนใบหน้าหล่อเหลาสะบัดและหน้ากากหลุด สิงห์หัวเราะเดินไปเก็บหน้ากากมาสวมอย่างไม่รีบร้อนแล้วกลับมาหาผมอีกครั้ง
“เลว”
“ผมเลว ?” สิงห์ทวนคำแล้วหัวเราะ “เลวอย่างนั้นหรอกหรือ”
“เออ รู้ตัวเองซะบ้าง!” ผมตะเบ็งเสียงขึ้นมากกว่าเดิมแต่ไม่ทันไรก็โดนสวนกลับมา
“อย่างนั้นเองหรือครับ แล้วรู้จักดีแค่ไหนเชียวถึงรู้ว่าเลวไม่เลว”
“ดูที่การกระทำ ทำยังไงก็ตัดสินไปอย่างนั้น”
“อ๋อ! ถ้าเป็นคนตีสองหน้า หน้าดีลับหลังร้ายนายก็จะบอกว่าเป็นคนดีสินะ”
“เออ!!!!!!!!” ผมตะโกนตอบกลับเขาไปเสียงดัง ใช้พลังงานเยอะจนต้องกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากก่อนจะหอบหายใจเบาๆ สิงห์มองผมแล้วถอนหายใจ ขยับเข้ามาเอามือผมไปคล้องแขนเขาอีกครั้งแล้วบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“งั้นเป็นคู่ผมให้ได้เข้างานก่อนก็แล้วกัน”
“ก็บอกแล้วว่า…” ผมพยายามจับมือเขาออกแต่แล้ว… “ไม่เอา! อ๊ะ!”
ตุบ!!
อยู่ดีๆอาการเจ็บที่บริเวณท้องน้อยก็แล่นปราดไปทั่วร่างผลตามมาคือผมรู้สึกตัวชาจนขยับไม่ไหวจนต้องล้มลงไปในอ้อมแขนของอีกฝ่ายที่เหมือนคาดการณ์เอาไว้พอดี “มึงทำ… อะไร”
“ขอโทษนะ ผมชกเขาที่ท้องของนาย”
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
“มันอาจจะเจ็บแต่ไม่ถึงกับเจ็บจนเกิดแผลฟกซ้ำแค่ทำให้นายรู้สึกชาไปสักพักแค่นั้นเอง”
พรึบ!!!
เขาช้อนตัวผมที่ชาจนขยับร่างกายไม่ได้ขึ้นในท่าของเจ้าหญิง “แค่จะพาเข้างานแต่นายเรื่องมากก่อนเองนะ”
“…” ผมตอบไม่ได้แค่ออกเสียงหรือขยับตัวเพียงนิดหน่อยก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ท้องน้อยขึ้นมาแล้ว กระทั่งสิงห์อุ้มผมเดินออกไปจากบริเวณที่เขาอยู่จึงเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“ทำแบบนี้… ทำไม” ผมกัดฟันทนความเจ็บแล้วเอ่ยถามในขณะที่กำลังเดินผ่านประตูเข้างาน “เพื่ออะไร”
“บอกไปตอนนี้ก็ไม่เชื่อหรอก เอาไว้เสร็จงานนี้แล้วจะบอกก็แล้วกัน” ผมไม่ได้ถามต่อเพราะหลังจากที่เข้ามาในงานสายตาทุกสายตาก็แทบจะจ้องมองมาทางผมทันที
‘อุ้มมาเลยหรือวะ’
‘อย่างกับเจ้าชายอุ้มเจ้าหญิงเข้ามาเลยว่ะ’
‘สองคนนี้คุ้นๆ คนหนึ่งใช่ธามป่ะ’
‘เออว่ะ ธามจริงด้วยมากับใครน่ะ ได้ข่าวว่าพี่เสือต้องเต้นเปิดงานนี่’
เสียงซุบซิบดังระงมแม้พยายามจะไม่ใส่ใจแต่มันก็อดที่จะไม่ได้ยินไม่ได้ หลังจากเดินเข้ามาในงานสิงห์ก็พาผมเดินเลี่ยงไปทางอื่นแล้ววางตัวผมลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง “ตอนนี้ผมจะปล่อยนายไป อยากไปไหนก็ไปแต่ช่วงเต้นรำผมจะมาหานายใหม่ก็แล้วกัน”
“กูไม่มีทางเต้นกับมึงหรอก”
“หึ” เขาหัวเราะร้ายในลำคอแล้วเดินออกไปอย่างที่ว่า ผมนั่งกุมมืออยู่สักพักพอเริ่มรู้สึกว่าอาการปวดและช้ามันดีขึ้นจึงค่อยๆเอามาทาบกำแพงพยุงตัวเองขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินอ้อมไปทางห้องน้ำเพื่อเลี่ยงการเจอหน้าผู้คนในตอนนี้ สภาพคงยังไม่เอื้ออำนวยที่จะเข้าไปร่วมสนุกในงาน ผมพิงตัวขึ้นกับผนังแล้วหลับตาลงแต่อยู่ๆก็โดนมือหนาของใครบางคนมาฉุดแขนผมก่อนดึงเข้าซอกหลืบที่อยู่ใกล้ๆพร้อมมือที่ตามลงมาปิดปากไม่ให้ส่งเสียงอย่างไว เริ่มแรกผมดิ้นเล็กน้อยเพราะยังเจ็บอยู่ด้วยแต่พอเห็นนัยน์ตาสีครามเข้มภายใต้ใบหน้าที่มีหน้ากากสีขาวปิดทับอยู่จึงค่อยๆสงบลง มือที่ปิดปากผมอยู่จึงปล่อยออกตามไปด้วย
“เสือ—”
“ชู่” นิ้วเรียว รีบแตะริมฝีปากผมเอาไว้ก่อน คล้ายอยากให้เงียบ ผมกะสายตาสำรวจร่างสูงดูเหมือนว่าเขาแค่แต่งหน้าเสร็จยังไม่ได้ใส่ชุดเลย “กูไม่ใช่เสือ” ผมทำหน้างง “กูเป็นเจ้าชาย”
ได้ยินดังนั้นผมเลยยิ้มออกแต่ไม่ตอบอะไร
“อืม”
“งั้นก็เป็นเจ้าชายนิสัยไม่ดีสิ มาฉุดทำไม อื้อ!!!” ริมฝีปากบางถูกทาบทับ ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาตวัดพันและดูดดึงพลังงานผมออกไปเกือบหมด ตัวถูกผลักเข้ากำแพงมีมือรวบผมเอากันเอาไว้ไม่ให้ล้ม ผมขย้ำเสื้อเชิ้ตของเขาไว้แน่นสักพักก็เปลี่ยนมาเป็นการคล้องคออย่างเคยชิน
“ใส่หน้ากาก ไม่ถนัด” เสียงทุ้มสบถเบาๆ “ถอดออกได้ไหม”
“สวย” มือหนายกขึ้นลูบไล้ใบหน้าอีกครึ่งด้านของผมที่ไม่ได้สวมหน้ากาก ผมจับมือของเขาเอาไว้ก่อนถูไถไปกับใบหน้าตนเอง
“พี่เสือ… เหนื่อยไหมครับ” ผมพูดเสียงเบา เบาจนแทบเรียกได้ว่ากระซิบ นัยน์ตาสีครามเข้มมองผมนิ่งๆไม่ตอบอะไรแต่รวบตัวผมเข้าไปกอดแทน มือหนาที่กำลังลูบศีรษะของผมแผ่วเบาให้ความรู้สึกอบอุ่นจนต้องซุกใบหน้าเข้าลำคอแกร่ง เกือบอาทิตย์ที่เขาต้องไปซ้อมทุกวัน ซ้อมหนักและกลับดึกช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยสักเท่าไหร่มันเลยเกิดความรู้สึก…
คิดถึง
“ตี้”
“หืม”
“คืนนี้…” เขาเว้นวรรค “ขอนะ”
ผมแกะมือที่โอบเอวผมอยู่ออกก่อนพยักหน้าเบาๆแต่ไม่พูดอะไร เห็นว่าอุตส่าห์ยอมทำตามคำขอของผมหรอกนะถึงให้ แล้วอีกอย่างช่วงนี้เขากลับดึกกิจกรรมยามค่ำคืนเลยอดไปเช่นกัน เพราะกลับมาทีไรเสือก็อาบน้ำเข้านอนเลย สงสัยจะเหนื่อย มือหนาจับมือของผมขึ้นไปประทับจูบทันที
ทันใดนั้นเองผมก็พึ่งนึกได้ว่ามีเรื่องที่ต้องบอก เรื่องที่โดนชกท้องน้อย แต่จู่ๆเขาก็เข้าหอมแก้มหนึ่งที ก่อนขยับตัวเดินออกไปจากซอกหลืบอาจเป็นเพราะได้ยินเสียงเรียกชื่อตะโกนดังมา เหมือนเสือจะมาเข้าห้องน้ำแต่ดันเจอผมพอดีล่ะมั้ง
ช่างเถอะ! เอาไว้บอกหลังเลิกงานก็ไม่สาย
ผมยืนรอหลังจากที่เสือเดินออกสักครู่ถึงค่อยเดินออกไปตาม เป็นจังหวะเดียวกันที่โทรศัพท์สั่นขึ้นพอดี
“ฮัลโหลมึง”
(มึงอยู่ไหนคะ กูหามึงทั่วงานแล้วไม่เห็นมี) เสียงแหลมดังแว้ดใส่หูของผม กล้าพูดมึงกูกับผมขนาดนี้คงไม่ต้องถามว่าเป็นใคร ก็กิ้งคนเดิมเพิ่มเติมเดี๋ยวบอกนั่นแหละ ผมเป่าลมออกจากปากแล้วตอบ
“กำลังจะเดินออกไป มาเข้าห้องน้ำอยู่”
(เร็วๆมึง กูจะพาดูผู้ชาย) ว่าจบกิ้งมันก็กดตัดสาย ผมส่ายหน้าระอาก่อนเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเดินเข้าไปในงานใช้ตรรกะว่าใครแต่งตัวเว่อร์วังสุดนั่นแหละมันและท้ายที่สุดมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆด้วย กิ้งอยู่ในชุดนกยูงขนฟูฟ่องกับแก็งกะเทยอีกหกเจ็ดคนแต่ละคนชุดเริ่ดๆกันทั้งนั้นเพียงแต่ว่าคราวนี้มันไม่ได้ยืนอยู่คนเดียวแฮะ ข้างกายกิ้งมีผู้ชายอยู่คนหนึ่งสวมแว่นใส่กางเกงทรงสูงหน้าตาซื่อๆหน่อยอยู่ด้วย
“มึง” ผมเรียกมันพร้อมยื่นมือไปแตะที่บ่ากว้าง กิ้งหันมานัยน์ตาเฉี่ยวๆเพราะกรีดอายไลน์เนอร์มาอย่างหนาของมันมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเอามือปิดปาก
“โห พี่เสือให้คนโมดิฟายมึงใหม่หรือวะ อย่างกะคนละคน” มันว่าก่อนตาจะไปจ้องที่สร้อยเพชรเม็ดงามบนคอผม “ต๊าย! แล้วมีสร้อยเพชรให้ด้วย อิสัสกูอิจฉา อ้อ! กูมีคนแนะนำให้มึงรู้จัก”
“ใครอ่ะ”
“สมชายคะมานี่หน่อย” ว่าจบมันก็ลากผู้ชายที่อยู่ข้างๆขยับใกล้เข้ามาอีก ผมทำหน้าเหยเกมองใบหน้าเอ๋อๆปนเหงื่อตกของเขาพร้อมคิดในใจไอ้นี่มันโดนบังคับให้มาด้วยชัวร์
“นี่สมชายแฟนกูเอง” สิ้นคำมันก็กอดกันกลมดิกโดยไอ้กิ้งที่รวบหัวรวบหางสมชายเข้าอก ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนแนะนำตัวเองบ้าง
“ธามนะ”
“ค…ครับ” เขาพยักหน้าเหมือนกลัวเล็กน้อย เหมือนบุคลิกของเด็กเนิร์ดดี ผมยิ้มให้เล็กน้อยก่อนหันมาสนใจบรรยากาศภายในงานบ้าง พอมองไปรอบๆงานก็พบว่ามีแขกชั้นผู้ใหญ่มากันเยอะอย่างที่พี่รุ้งว่าจริงๆด้วย มีทั้งอธิการบดี พวกนักธุรกิจหรือคนในสังคมไฮโซที่ผมเคยเจอตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ไม่ได้จำได้ทั้งหมดหรอกนะจำได้ลางๆเป็นบางคนสังเกตเอาจากชุดและเครื่องเพชรหรูหราที่แต่ละคนใส่มาประชันกันด้วย พวกเขาคงจะเป็นเหล่าศิษย์เก่าหรือไม่ก็พวกผู้ปกครอง ยังไงซะนักศึกษามหา’ลัยของผมมาคิดดูอีกทีก็มีแต่ลูกหลานของเหล่านักธุรกิจกันทั้งนั้น
“มึงไปหาของกินกันไหม” ผมหันหน้าไปมองกิ้งแล้วส่ายหน้า “งั้นกูไปหาของกินก่อนนะ”
“อืม”
“ระวังตัวด้วยนะมึง เตือนก่อนว่ากลุ่มผู้ชายทางสิบสองนาฬิกา สิบนาฬิกาจ้องจะแดกมึงเรียบ”
“หา ?” ผมเอ่ยขึ้นแบบงงๆ พอหันหน้าไปมองตามทางที่กิ้งมันว่าก็เจอกับกลุ่มผู้ชายจริงๆด้วย ผมถอนหายใจรีบเดินเจ้าไปหลบมุมทว่าเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน ผมมองตามเสียงแล้วเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างเพรียวในชุดหงส์สง่าสีขาวอมเทา ใบหน้าหวานนั่นแม้จะมีหน้ากากบดบังเกือบครึ่งหน้าแต่ก็สามารถเดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร เจ้าของตำแหน่งดาวมหา’ลัยเมื่อสองปีก่อนที่นับปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสวยเทียบเคียงได้คือพี่ลินิน แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับผู้ชายร่างสูงในชุดสูทที่เดินเคียงข้างคนสวยเข้ามาในงาน
เพราะนั่นมันคือ ‘เมฆ’ เพื่อนของผม!!!!!
ผมชะงักค้างอยู่สักครู่ก่อนจะบังเอิญสบตากับมัน เมฆจึงละออกจากคนสวยข้างกาย แล้วเดินมาหาผมแทน “สวยสะเด็ดเลยมึง” มันจับตัวผมหมุนพลิกไปมาคล้ายสำรวจ “ใช่ธามจริงเหรอวะ แต่สร้อยเพชรที่คอกับแหวนที่มือมึงน่ะ เด่ดมาก”
ผมไม่สนใจคำพูดของมันรีบรัวคำถามใส่เพื่อนสนิททันที
“มึงมากับพี่ลินินได้ยังไงวะ เขาเป็นคนชวนมึงหรือมึงเป็นคนชวนเขา พี่ลินินกับมึงนี่นะ กูไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่ะ”
เมฆมันหล่อก็จริงแต่ถ้าเทียบกับเสือที่เป็นถึงแฟนเก่าก็ยังห่างอยู่ดี ถ้าเทียบกับสิงห์ยังพอเทียบเคียงได้
มันโยกหัวผมไปมาจนต้องปัดมือออกเพราะผมจะยุ่งเสียก่อน
“กูตามจีบเขาอยู่ J”
“เขา ? พี่ลินินเนี่ยนะ!!!”
“ก็เออดิ มึงเห็นว่าเป็นใครล่ะ สวยดีกูชอบก็เลยขอให้มางานด้วยเผื่อฟลุ้ค แล้วก็ฟลุ้คจริงๆด้วย” มันตอบเสียงราบเรียบมือไม้ยังไม่ยอมออกจากหัวผมพอแกะมือมันออกมันก็กลับวกเข้ามาอีก “แต่มึงสวยจริงๆว่ะธามวันนี้ ผู้ชายคนอื่นมองมึงโคตรเยอะรู้ตัวไหม”
“ไม่รู้” ถึงรู้ก็ไม่สน “เมฆกูรู้สึกไม่ดีเลยว่ะ เป็นอะไรก็ไม่รู้”
ผมเอ่ยปากหลังจากอัดอั้นไม่ได้พูดกับกิ้งไป ใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนสนิทมองผมเล็กน้อยก่อนจะแสยะยิ้มแล้วรวบตัวผมเข้าไปกอด “กลัวอะไร” ผมซุกหน้าเข้าอกแกร่ง ได้กลิ่นน้ำหอมเย็นๆทำให้สบายใจขึ้นกับสัมผัสมือหนาที่กำลังลูบหัวผมเบาๆราวปลอบประโลมยิ่งทำให้อุ่นใจมากกว่าเดิม
“ไม่รู้ดิ แต่ลางสังหรณ์มันบอก” ผมตอบเสียงอู้อี้
“กลัวอนาคตไปทำไม ทำที่เป็นอยู่ตอนนี้ให้ดีสิ แต่ถึงเกิดเรื่องร้ายๆกูว่า…” เสียงทุ้มเงียบไปสักครู่ “พี่เสือของมึงก็ต้องช่วยมึงอยู่ดี ไม่ต้องห่วงหรอก”
“อืม” ผมครางในลำคอตอบกลับขณะหลุบตาลงมองพื้น “เมฆกูรักมึงนะ”
“บอกรักแบบนี้ มึงอยากกลับมาเล่นผัวเมียกับกูเหมือนแต่ก่อนเหรอ”
“มึงจะบ้าเหรอ กูมีผัวจริงๆแล้วจะกลับมาเล่นผัวเมียกับมึงอีกทำไม”
“โห รอกูหาเมียจริงๆได้ก่อนเถอะ”
“หึ!” ผมแสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนเราทั้งสองคนจะหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน พอได้คุยกับเพื่อนแล้วมันอุ่นใจอย่างน่าประหลาดความกังวลก็หายไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้วด้วย เราสองคนคุยกันต่อสักพักพี่ลินินก็มาขอตัวเมฆไป ผมปล่อยมันไปให้ได้ใช้เวลาจีบสาวบ้างจะได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาสักที ผมชะเง้อคอมองหากิ้ง เจอแต่เห็นมันกำลังสวีทกับสมชายที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนอยู่เลยไม่อยากกวน เอาเถอะ! ถ้ารักกันจริงๆก็ดีไป ผมก็อยากให้เพื่อนของผมมีคู่กับเขาบ้าง จะได้ไม่ขึ้นคานไปก่อน
“รับเครื่องดื่มไหมครับ” น้ำเสียงทุ้มทำให้ผมหลุดสายตาจากการมองทั้งสองคน หันมาเห็นบริกรในชุดทักซิโดกำลังยื่นถาดเครื่องดื่มมาให้ผมเลือกอยู่ ผมยื่นมือออกไปรับแก้วไวน์แก้วหนึ่งบนถาดใบหน้ามา พลางบอกขอบคุณบริกรเล็กน้อย แล้วจิบไวน์เข้าปากทีหนึ่ง รสชาติหวานอมเปรี้ยวถูกกลืนลงคอ ผมพยักหน้าพอใจดูเหมือนว่างานนี้ทางมหา’ลัยจะจัดเต็มกันจริงๆ เครื่องดื่มยังต้องเป็นเครื่องดื่มชั้นเลิศเลย
“ผู้ชายที่กอดอยู่เขาไปไหนล่ะครับ” น้ำเสียงราบเรียบดังมาจากทางด้านหลัง ผมตวัดใบหน้าไปมองแล้วแปลกใจเล็กน้อย สิงห์มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ คงไม่ใช่ว่ามาอยู่ตั้งแต่ตอนที่ผมเดินมาตรงนี้แล้วหรอกนะ ใบงานมันมืดอยู่เล็กน้อยครับมีแสงสลัวๆเป็นจุดๆให้บรรยากาศแฟนตาซี อีกอย่างร่างสูงอยู่ในมุมที่มืดกว่าตรงที่ผมยืนอยู่มาก นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ผมไม่เห็นเขาตอนที่เดินมาจุดนี้
“หรือว่าเขาทิ้งคุณไปแล้วล่ะ” เขาเดินออกมาจากมุมมืดแถมยังกลับมาสุภาพกับผมดังเดิม ผมปรายตามองข้างกายของร่างสูงมีผู้หญิงคนหนึ่งเกาะแขนเอาไว้อยู่
“ไม่ใช่เรื่องของมึง” แต่ผมก็ยังหยาบกับเขากลับไปเหมือนเดิมเช่นกัน เขาหัวเราะแล้วไล่หญิงสาวที่เกาะแขนเขาอยู่ออกไป
“ทำไมทำสีหน้าแบบนั้น” เขาถาม ผมคงแสดงสีหน้าที่มันไม่ดีตอนที่เขาเดินมากับผู้หญิงคนนั้นออกไป มือหนาดึงตัวผมเข้าไปใกล้ “หึงหรือไงครับ”
“จะนิสัยยังไงกันแน่” เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเดี๋ยวสุภาพเดี๋ยวหยาบเดี๋ยวอารมณ์ร้อน แต่สามารถกลับมาเย็นเหมือนเดิมได้อย่างง่ายๆ ผมผลักเขาออกห่าง
“ปรับไปตามสถานการณ์ ส่วนมากแล้วผมอารมณ์เย็นมีแต่ธามนั่นแหละที่สามารถทำให้ผมอารมณ์ร้อนได้น่ะ” ผมเงียบเบี่ยงสายตามองไปทางอื่นไม่ตอบเขา “แล้วยังไงครับ นึกสนใจน้องชายผัวขึ้นมาแล้วงั้นหรือ”
“หุบปาก”
“จริงๆแล้วผมก็ไม่อยากพูดนักหรอก แต่คำถามที่ธามถาม ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ใช่ไหม…”
“อ๊ะ” มือหนาผลักเข้าไปยังมุมอับที่เขาเคยอยู่ จับแขนผมตรึงด้วยมือข้างเดียวก่อนทาบหน้าผากเข้ามาใกล้ชิดกันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ “จะทำอะไรไม่ทราบ” ผมออกแรงดิ้นแต่ยิ่งดิ้นยิ่งโดนมือหนาบีบข้อกระดูกที่แขนจนรู้สึกปวดไปหมด
“ผมบอกธามแล้วว่าจะรู้คำตอบหลังจากจบงานนี้”
“แล้วทำไมต้องหลังจากจบงาน”
“J” เขายิ้มแต่ไม่ตอบ “นั่นสิทำไมกันนะ”
“อย่ามากวนประสาท!!!”
“ถ้าไม่เงียบผมจะจูบธามเดี๋ยวนี้แหละ” ประโยคนั้นทำให้ผมเงียบก่อนเม้มปากแน่นจนอีกฝ่ายหัวเราะ เขาใช้อีกมือรวบเอวผมแน่นขึ้นแล้วบีบเนื้อแรงๆจนต้องเบะหน้าเจ็บ
“…”
“ถ้ารู้เหตุผลแล้วนายอาจจะมองผมเปลี่ยนไป แต่รู้เอาไว้นะธาม…” เขาปล่อยมือที่กักขังอิสรภาพผมออกทั้งหมด มือหนาจับใบหน้าผมเงยขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีฟ้าเข้มประสานนิ่งไม่รู้ทำไมเมื่อมองตาคู่นั้นแล้วผมเหมือนเห็นภาพเสือซ้อนขึ้นมา “ผมน่ะรักนายก่อนพี่ชายด้วยซ้ำ”
รัก ?
เขาบอกว่ารักผมงั้นเหรอ
ในจังหวะที่ผมกำลังยืนนิ่งริมฝีปากร้อนก็ประทับลงมาที่แก้มของผมอย่างแผ่วเบา เพราะมันอยู่ในมุมมืดคนอื่นเลยไม่ได้สนใจพวกเรา ผมไม่ได้ผลักเขาออกประโยคนั้นมันกระตุกหัวใจจนทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆผละออกจากแก้มผมก่อนส่งยิ้มมาให้ แต่มันเป็นรอยยิ้มที่เศร้าแสนเศร้า “ขอโทษนะธาม”
ขอโทษ ?
ขอโทษเรื่องอะไร
ผมไม่ได้ถามเขาต่อเพราะโดนเสียงของพิธีกรกับดนตรีขัดขึ้นมา บ่งบอกว่างานจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้านี้
“ไปเต้นรำกันเถอะ” สิงห์ดึงมือผมก่อนพาเข้าไปยังด้านใน ตอนนี้ทุกคนในงานกำลังยืนกันเป็นวงกลมเว้นส่วนตรงกลางเอาไว้ แต่เพราะเสียงพิธีกรทำให้พวกเราเลิกสนใจพื้นที่ส่วนว่างตรงกลาง แล้วพากันหันหน้าไปทางเวทีขนาดใหญ่ที่มีโปรเจ็กเตอร์อันใหญ่กำลังเคลื่อนตัวลงมาอยู่ พี่ๆสโมสรคงอยากจะเปิดคลิปอะไรสักอย่างให้ได้ดูกัน เห็นว่ามีคลิปเปิดก่อนเริ่มงานทุกปี
ไม่นานนักไฟในห้องโถงก็ถูกหรี่ลงเกือบหมด ก่อนฉายไปยังเวทีเป็นจุดเดียว มีพิธีกรสาวสวยในชุดสีขาวที่ดูจากรูปร่างชุดแล้วเหมือนคนแต่งตั้งใจจะแต่งตัวเป็นกระต่าย สังเกตจากที่คาดผมรูปหูกระต่ายที่อยู่บนศีรษะด้วย ใบหน้าอ่อนหวานคล้ายดาวมหา’ลัยปีที่แล้วจับไมท์ก่อนเอ่ยน้ำเสียงชวนฟังผ่านลำโพง
“สวัสดีค่ะทุกคน ยินดีต้อนรับสู่งานแฟนตาซีสวมหน้าหน้ากาก วันนี้ดิฉัน ‘น้องไบรท์’ ดาวมหา’ลัยปี XXXX รับหน้าที่เป็นพิธีกรเหมือนปีที่แล้วอีกครั้งค่ะ หวังว่าคงจะไม่เบื่อหน้ากันไปก่อนนะคะ”
พิธีกรคนสวยหยอดมุขตลกเล็กน้อยให้ได้ฮากัน ไม่นานนักพิธีกรคนที่สองซึ่งเป็นผู้ชายก็เดินออกมาบ้าง
“ส่วนผมนะครับ ‘เกียรติศักดิ์ หาญกล้า’ คนเก่า วันนี้มารับเป็นพิธีกรคู่กับน้องไบรท์นะครับ ก่อนอื่นเลยน้องไบรท์ครับอันดับแรกเราก็ต้องให้ประธานในพิธีเป็นคนเปิดงานกันก่อน และประธานในพิธีวันนี้เป็นใครน้องไบรท์ทราบหรือไม่ครับ” น้ำเสียงแหบพร่าน่าฟังสามารถดึงดูดความสนใจของผมได้เป็นอย่างดี
“ต้องทราบอยู่แล้วล่ะค่ะ ประธานในพิธีวันนี้เป็นแขกชั้นผู้ใหญ่ที่บริจาคเงินให้มหา’ลัยของเราปีละหลายล้านเลยล่ะค่ะ ดิฉันขอเชิญคุณหญิงศิริวรรณ พรรณหงส์เจริญติกุลขึ้นมาบนเวทีค่ะ”
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วห้องโถง ไม่นานนักคุณหญิงในชุดผ้าไหมหรูหราก็เดินขึ้นมาบนเวที เป็นคุณหญิงวัยประมาณหกสิบกว่าปีแต่ยังมีใบหน้าสวยที่บ่งบอกได้ว่าสมัยเป็นสาวคงต้องสวยมากแน่ๆ หากแฝงไปด้วยอำนาจว่ากันตรงๆก็เหมือนพี่ลินินตอนแก่เพียงแต่ดูมีอำนาจกับมีมารยาทในการวางตัวทางสังคมมากกว่า (พี่ลินินจะเป็นผู้หญิงเหมือนกล้าได้กล้าเสียหน่อย) ผมปรบมือตามคนอื่นหากในจังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงของคนข้างกายดังขึ้น
“คุณ… ย่า”
คำของสิงห์ทำให้ผมชะงักก่อนหันไปมองอีกฝ่ายช้าๆ
“ว่ายังไงนะ” สิงห์หันหน้ามามองผมเลียริมฝีปากแล้วตอบ
“นั่นคุณย่า คนที่มีอำนาจมากที่สุดในตระกูล และเป็นคนเลี้ยงพี่เสือมาตั้งแต่เด็ก”
“คุณย่า” ผมทวนคำขณะอึ้งไปนิด พลางสำรวจใบหน้าของคุณหญิงศิริวรรณอีกครั้ง ผมนึกว่าย่าของเสือจะมีบุคลิกท่าทางเคร่งกว่านี้อีกนิดหน่อย แต่คุณหญิงศิริวรรณท่านดูเป็นคนอ่อนโยนนี้พอเห็นหน้าแล้วอยากจะวิ่งเข้าไปกราบเพราะท่านเลี้ยงหลานมาได้เลอเลิศสุดๆ เพราะเสือทำเป็นทั้งอาหาร งานบ้านงานเรือน และอื่นๆอีกมากมาย
“ที่ทำอาหารเป็นก็เพราะแบบนี้สินะ” ผมพึมพำกับตัวเองในใจแต่เสียงของสิงห์ก็ดังขึ้นมาอีก
“จริงๆแล้วต้นตระกูลของคุณย่าเคยเป็นหม่อมเจ้ามาก่อน แต่เหมือนจะมีการถอดยศเพราะเรื่องแต่งงานจนมาถึงคราวของคุณย่าได้เป็นแค่สามัญชนธรรมดาแต่เพราะต้นตระกูลเป็นหม่อมเลยถูกฝึกทำอาหารทำงานบ้านยันเย็บปักถักร้อย พี่เสือที่โดนเลี้ยงมาก็เลยโดนฝึกไปด้วย”
“งั้นถ้าไม่ถอดยศเพราะแต่งงานพวกนายก็จะได้เป็นเชื้อสายราชวงศ์ใช่ไหม” ผมหันหน้าไปถามเขาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นก่อนจะได้คำตอบเป็นการพยักหน้าของสิงห์กลับมา
อือหือ หล่อกับรวยไม่พอยังมีเชื้อสายราชวงศ์ในสายเลือดอีก
“แต่ก็ไม่แน่หรอก”
“แล้วทำไมนามสกุลถึงไม่เหมือนกันล่ะ ไม่ใช่แค่ฝ่ายแม่เหรอที่เป็นคนไทย” เพราะคุณย่าเป็นผู้ให้กำเนิดพ่อเสือผมเลยถามออกไป
“ไทยน่ะฝ่ายแม่จริงๆ ทางฝั่งคุณย่าก็เป็นไทยแต่คุณปู่น่ะเชื้อสายอเมริกันกับกรีซ คุณพ่อเลยเป็นเสี่ยวไทย – อเมริกา – กรีซ แต่คุณย่าไม่ยอมใช้นามสกุลของคุณปู่เลยมีนามสกุลเป็นภาษาไทยเหมือนเดิม ส่วนพวกเราใช้นามสกุลก็ฝ่ายแม่ มีพี่ฟ็อกคนเดียวที่ใช่นามสกุลของฝ่ายพ่อ”
“อ๋อ” ผมร้องอย่างอึ้งๆ ทำไมครอบครัวนี้มันลึกลับซับซ้อน แค่เรื่องนามสกุลนี่ก็สามารถทำให้ผมงงได้แล้ว
“เอาล่ะค่ะ หลังจากที่เปิดงานกันไปแล้วนะคะ ต่อไปมาถึงคราวที่เราจะเปิดคลิปความประทับใจในเทอมที่แล้วกันก่อนค่ะ ขอเชิญรับชมรับฟังได้เลยค่ะ!!” เพราะมัวแต่สนทนากับสิงห์ผมเลยไม่ได้ฟังตอนที่เขาเปิดงาน มาได้สติอีกทีก็พบว่าโดยข้ามขั้นตอนไปช่วงเปิดคลิปเรียบร้อยแล้ว แสงไฟในห้องหรี่ลงอีกครั้งหน้าจอโปรเจ็กเตอร์สว่างจ้าฉายเป็นภาพความประทับใจทั้งงานรับน้องปีหนึ่ง การประกวดดาวเดือนมหา’ลัยและกิจกรรมอื่นๆ นี้ไม่อยากโม้ว่ามีภาพเดี่ยวของผมปรากฏในคลิปด้วย เป็นภาพตอนรับน้อง แต่แล้วอยู่ดีๆพวกเราก็โดนพี่ๆที่น่าจะเป็นพวกจัดสถานที่มาผลักตัวทุกคนออกให้กลายเป็นวงกลมขนาดใหญ่อีกครั้ง (ตอนเปิดคลิปที่คนเดินเข้าไปยังส่วนที่มันเป็นพื้นที่ว่าง)
เมื่อคลิปจบลงแสงสว่างในห้องก็ดับพรึบจนเกิดเสียงฮือฮาขึ้น ทว่าไม่นานนักแสงไฟก็ปรากฏอีกครั้งใจกลางวงกลมที่พวกเรายืนล้อมอยู่ สะท้อนให้เห็นเป็นร่างสูงสง่ากับหญิงสาวอีกหนึ่งคน ทุกคนพร้อมใจเงียบคล้ายกำลังตะลึงค้างส่วนผมเผลอยกมือปิดปากขึ้นอัตโนมัติเมื่อได้เห็นทั้งสองคน
ใบหน้าหล่อเหลาที่มีนัยน์ตาสีครามเข้มงดงามดั่งท้องฟ้ายามราตรีภายใต้หน้ากากสีขาวคู่นั่นเป็นเสือไม่ผิดแน่ ส่วนผู้หญิงอีกคนก็คงจะเป็นมันตา ร่างสูงอยู่ในชุดสีขาวราวเจ้าชายสง่ามีผ้าคลุมไหล่สีขาวพาดไปทางด้านหลังยาวลากพื้นหากดูไม่เทอะทะกลับงดงาม ส่วนร่างบางของมันตาอยู่ในชุดคล้ายชุดแต่งงานมีผ้าคลุมผมปิดบังใบหน้าอีกนิดหน่อย นัยน์ตาสีครามใต้หน้ากากของเสือคล้ายมนตร์สะกดดึงดูดให้ทุกคนมองไปยังพวกเขาทั้งสองคน ให้เห็นเป็นสองร่างที่ดูเหมาะสมกันดั่งเจ้าชายกับเจ้าหญิง
และเสือ… หล่อมาก
เขาหล่อมากจนพรากลมหายใจไปชั่วขณะ
ท่ามกลางความเงียบคล้ายต้องมนตร์สะกด เสือที่ยืนอยู่ค่อยๆโน้มตัวลงก่อนคุกเข่าลงกับพื้น มือหนามีถุงมือสีขาวสวมอยู่ข้างหนึ่งยกขึ้นทาบกับบ่าส่วนอีกข้างแนบไปทางด้านหลังราวขอเจ้าหญิงตรงหน้าเต้นรำ เสือก้มหน้าลงมองพื้นแต่ชั่ววูบหนึ่งเหมือนนัยน์ตาสีครามเข้มคู่นั่นมองมาทางผม เขาส่งรอยยิ้มอ่อนมาให้แล้วกลับไปอยู่ในท่าเดิม แต่แค่นั้น…
ก็ทำให้หัวใจของผมสั่นจนไม่เป็นอันทำอะไรอยู่แล้ว
ยามร่างสูงลุกขึ้น ผมได้ยินเสียงเหมือนทุกคนพากันสูดลมหายใจเข้าปอดหลังจากที่บางคนตะลึงค้างจนลืมหายใจ เป็นจังหวะเดียวที่เสือยื่นมือข้างหนึ่งออกไปรับมือบางของมันตาเป็นการใช้ท่าทางสื่อเป็นเรื่องราวให้ผมสามารถเข้าใจได้ว่าในตอนนี้…
เจ้าหญิงรับคำขอเต้นรำด้วยแล้ว
เสียงดนตรีคลาสสิกทำนองผ่อนคลายดังขึ้น ผมมองสองร่างที่กำลังเต้นรำไปตามจังหวะของเพลง ท่ามันไม่ยากเป็นการเต้นรำแบบง่ายๆแต่สามารถตรึงสายตาคนดูได้อย่างเหลือล้น ไม่กี่นาทีต่อมาตัวของผมก็โดนสิงห์ดึงเข้าไปในวงเต้นรำรอบๆทั้งสองคือเสือกับมันตากำลังเต้นรำอยู่ตรงกลางแต่พวกผมเต้นรำเป็นวงกลมรอบตัวพวกเขา ผมเงยหน้ามองสิงห์อย่างไม่เข้าใจแต่ก็ยอมเต้นแต่โดยดีเนื่องจากโดนดึงเข้ามาในวงด้วยแล้ว
ผมเต้นรำเป็นเพราะมีทักษะพื้นฐาน ตอนเด็กแม่เคยให้ฝึกเพราะการเข้าสังคมบางทีมันก็มีงานเต้นรำ นักศึกษามหา’ลัยของผมหลายคนที่เต้นได้โดยไม่ต้องฝึกก็เพราะเป็นลูกหลานของคนในสังคมนี่แหละ
“จะถึงเวลาเปลี่ยนคู่แล้วนะ” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นในเวลาที่สมองผมประมวลความคิดไม่ทัน ผมทำหน้างงกำลังจะบอกว่าให้เขาพูดใหม่อีกครั้งแต่โดนมือของใครสักคนดึงตัวไปเสียก่อน
“อ๊ะ!” ผมร้องเล็กน้อยเนื่องจากปรับจังหวะไม่ทันก่อนจะมานึกได้ว่านี่คงเป็นเวลาเปลี่ยนคู่ ผมเงยหน้าขึ้นพอเจอกับเสือเลยตกใจนิดหน่อย หันไปมองรอบตัวอีกทีก็พบว่าตอนนี้ทุกคนเขาเปลี่ยนคู่กันหมด ตอนนี้ผมกับเสือเต้นอยู่ตรงกลาง ส่วนมันตาไปไหนแล้วก็ไม่รู้คงจะเป็นคู่กับสิงห์ล่ะมั้ง
“เสือ” ผมเรียกชื่อเขาทันใดนั้นมือหนาก็เปลี่ยนจากการเอามือแตะที่เอวมาเป็นการเอามือมากอดที่เอวผมแทน “พี่เสือ” ผมเรียกเขาอีกทีเมื่อเสือกอดแน่นไป
“เจ้าหญิงของกู” เขาก้มหน้ากระซิบที่ข้างหูของผมก่อนจะพาเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น “สวยมากเลยเมีย”
“พี่เสือก็หล่อมาก” ผมเอ่ยชมเขาไปด้วย ใบหน้าหล่อเหลาจึงก้มลงมาหอมแก้มนิดหน่อยแต่เป็นการหอมแบบผ่านๆไม่ใช่แบบจงใจกดริมฝีปากแนบกับแก้ม เราเต้นกันได้ไม่นานก็โดนสลับคู่กลับอีกครั้ง เมื่อดนตรีเริ่มเร่งจังหวะขึ้นทุกคนที่เต้นล้อมรอบพร้อมใจกันหยุดเต้นก่อนมองไปยังใจกลางวงกลม ในเวลานั้นผมถึงได้รู้ว่าทำไมเสือถึงต้องไปซ้อม สองร่างเต้นรำไปตามจังหวะเพลงแต่มองก็รู้ว่าท่ามันยาก หากทั้งสองกลับสามารถทำให้มันดูสวยงามมากซะจนผมอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าท่าเต้นมันง่ายไปหรือเปล่า
หมุนตัว กระโดด ยกเอวสูงขึ้น โอบรอบคอ และเข้าสู่จังหวะพื้นฐานดังเดิม
สวยงามจนน่าทึ่งสามารถทำให้ทุกคนในห้องโถงต่างพากันปรบมือเสียงดังสนั่น ทว่า…!!
“เฮ้ย!!!”
เสียงร้องตกใจของใครบางคนดังขึ้น
จากนั้นนาทีต่อมาจากปรบมือกลับกลายเป็นเสียงฮือฮาของทุกคนแทน
ในขณะที่ผมได้แต่ยืนนิ่งงันทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวแข็งร้องไม่ได้พูดไม่ออก เมื่อเห็นเสือโดนอีกฝ่ายทำอะไรบางอย่างต่อหน้าต่อตา มือบางโอบรอบคอแกร่งจับใบหน้าอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้ก่อนประทับริมฝีปากลงไป
…บทจูบแบบนั้น
มันมีอยู่ในสคริปด้วยหรือ ?
ผลัก!!!!!!!
เสียงฮือฮาดังขึ้นมาอีกรอบเมื่อเสือผลักอีกฝ่ายออกห่างจากตัวจนล้มลงกับพื้น มือหนากระชากหน้ากากของตัวเองออกแล้วมองมาทางผม ขาเรียวเหมือนจะวิ่งเข้ามาหาทว่าเสือถูกชะงักไว้ด้วยคลิปบางอย่างที่ถูกถ่ายทอดผ่านจอโปรเจ็กเตอร์ เริ่มแรกมันเป็นภาพของผมกับเสือในอิริยาบถต่างๆหากมองในภาพก็คงจะเดาได้ไม่ยากว่าพวกผมถูกแอบถ่ายเพราะมันเป็นภาพที่มักถูกอัพลงในแฟนเพจคิวบอยส์ที่ผมเคยเปิดเฟสแล้วบังเอิญไปเจอ จนถึงภาพสุดท้ายมีตัวอักษรเขียนเอาไว้ว่า 'รักกันดี’
จากนั้นเป็นภาพผมในวันรับน้องมันถูกเอาไปแต่งใส่เครื่องหมายทับตัวกากบาทพร้อมข้อความที่เด้งขึ้นมาว่า…
‘แต่อีนี่
มันแพศยา!!’
“อื้อ!!!!!!!!!” เอวถูกกอดริมฝีปากถูกใครบางคนฉกฉวยก่อนสอดลิ้นเข้ามารุกราน ผมพยายามดิ้นแต่โดนเขาชกเข้าที่ท้องไปหนึ่งทีแถมยังโดนจุดเดิม ความเจ็บปวดครั้งก่อนที่ยังไม่ขาดหายกับครั้งใหม่จึงกลับมาเล่นงานผมอีกครั้ง จนได้แต่น้ำตาไหลมองสภาพตัวเองที่ถูกจูบกับคลิปที่เหมือนตั้งใจเพื่อเป็นการประจานผมมาตั้งแต่ทีแรก
เพราะคลิปที่เปิดมันเป็นคลิป
…ที่ผมจูบกับสิงห์
‘หน้าด้านเนาะได้คนพี่แล้วเอาคนน้องอีก’
‘เออแม่งหน้าด้านว่ะ แพศยาจริงๆด้วย’
‘ร่านแบบนี้ กูว่าละธามแม่งง่าย’
“หุบปาก!!!!!!!!!” น้ำเสียงดังประกาศก้องสามารถทำให้ผู้คนห้องโถงที่เคยส่งเสียงกันดังอื้อซ่ากลับมาเงียบราวป่าช้าเพียงพริบตาเดียว ใบหน้าหล่อเหลาแสดงอาการโกรธจัดเมื่อมองเห็นร่างเล็กกำลังโดนผู้เป็นน้องชายกระชากตัวเข้ามาจูบต่อหน้าต่อตา
“แม่งเอ๊ย!!” เสียงทุ้มสบถออกมาอย่างรุนแรงจนคนอื่นหวาดผวาเริ่มถอยห่างออก เสือรีบวิ่งไปกระชากคนตัวเล็กออกมาแต่ธามกลับล้มพับไปในอ้อมกอด อีกฝ่ายตัวสั่นไหวท่าทางจะยังตกตะลึงอยู่สังเกตจากนัยน์ตากลมโตที่เบิกกว้าง
“ธาม!!!” เสียงตะโกนเรียกชื่อทำให้เสือหันไปมอง เห็นร่างสูงที่น่าจะเป็น ‘เมฆ’ เพื่อนสนิทของตี้วิ่งแหวกผู้คนเข้ามาในวงกลม มือหนารีบส่งคนตัวเล็กไปให้อีกฝ่ายเพราะเขายังมีบางอย่างต้องทำ ร่างสูงยืนขึ้นเหล่ตามองคลิปที่ยังถูกฉายเป็นคลิปฉากที่ธามจูบกับสิงห์ซ้ำไปมา
“ปิด” คราวนี้เสือพูดเสียงเบาหากสามารถทำให้คลิปที่ฉายบนจอโปรเจ๊กเตอร์ขนาดใหญ่ดับลงได้ภายในคำสั่งเดียว อาจเป็นเพราะทุกคนในห้องโถงพากันเงียบทั้งหมดด้วยคำจากปากของร่างสูงจึงสามารถได้ยินกันอย่างทั่วถึง ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่งก่อนย่างเท้าไปทางร่างบางที่ยังล้มพับอยู่กับพื้นเพราะแรงผลักของเขา คล้ายเป็นมัจจุราชบรรยากาศเย็นยะเยือกขึ้นทุกย่างก้าวจนคนอื่นผวาออกห่างมากกว่าเดิม นัยน์ตาสีครามเข้มหลุบมองใบหน้าหวานที่ถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอาง มันตาค่อยๆเงยหน้าขึ้นเมื่อรู้สึกว่ามีสายตาจ้องมองเธออยู่ หากเมื่อได้สบตากับร่างสูงก็ต้องเบิกตากว้างบรรยากาศน่ากลัวนี่มันคืออะไร
เสือสูดลมหายใจเข้าลึกๆเมื่อนึกถึงคำที่ผู้หญิงคนนี้พูดกับเขาก่อนจะดึงเข้ามาจูบยิ่งฉุนเข้าไปใหญ่
ทั้งในตอนซ้อม
‘มันตาอยากได้พี่เสือ เป็นของมันตานะคะ’
ซ้อมก่อนแสดงจริง
‘พี่เสือไม่รักมันตาอย่างนั้นเหรอคะ มันตายอมพี่เสือทุกอย่าง’
และในวันนี้…
“ถ้าพี่เสือไม่รักมันตา มันตาจะทำให้ธามได้รู้จักกับคำว่านรก”
เสือพยายามเค้นคำพูดแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งหากจงใจย้ำคำว่ามันตาในประโยค ทั่วห้องโถงนิ่งเงียบมองร่างสูงที่คุกเข่าลงข้างหนึ่งก่อนเชยใบหน้าหวานขึ้น ดูเผินๆอาจเป็นแค่การเชยคางขึ้นธรรมดา แต่หากเป็นมันตาแล้วละก็จะรู้ว่าผู้ชายตรงหน้าเธอบีบคางแรงขนาดจนต้องร้องเจ็บในลำคอ น้ำเสียงเย็นเอ่ยกระซิบให้เป็นประโยคที่ได้ยินแค่สองคน
“จะพาตี้ไปลงนรก เอาตัวเองให้รอดจากนรกก่อนดีกว่าไหม”
ว่าจบมือหนาก็สะบัดออกแรงจนใบหน้าหวานสะบัดไปตามแรงมือ เสือยืนขึ้นใบหน้าหล่อเหลาไม่แสดงอาการอะไรหากเอ่ยคำสั่งเป็นเพียงคำเดียวก่อนเสียงบางอย่างดังออกมาจากลำโพง
“เปิด”
‘บอกมาใครเป็นคนสั่งให้พวกมึงกดธามจมน้ำ’
‘ฮือ มันตา! มันตา! ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนสั่งพวกเรา พวกเราไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ’
‘ทำไมนังนั่นต้องสั่งให้พวกเธอทำ มันมีเหตุผลอะไร’
‘กะหรี่นั่นอยากได้พี่เสือ เธอหลอกเราให้ทำเพราะถ้าไม่ทำเธอจะแบล็กเมล์พวกเรา’
‘แบล็กเมล์แบล็กเมล์อะไร’
‘เรื่องสมัยอดีตที่พวกเราขายตัว แต่มันตาก็ขายตัวแต่เธอฉลาดเธอลบภาพสมัยนั้นทิ้งแล้วเหลือเอาไว้แต่ภาพของพวกเรา เธอตั้งใจจะแบล็กเมล์พวกเรา เราเลยต้องทำ’
ในตอนที่ธามถูกกดหน้าจมน้ำเกือบตาย เสือสั่งลูกน้องทั้งหมดให้ไปจับพวกผู้หญิงพวกนั้นมา ก่อนเค้นเอาความจริงทั้งหมด ที่จริงถ่ายมาเป็นคลิปแต่เปลี่ยนให้มาเป็นคลิปเสียงแทนเพราะถ้าจะดูคลิปภาพตอนเค้นความจริงมันคงไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่
คลิปเสียงต่อมาถูกเปิดติดต่อกัน
‘โชคร้ายที่วันนั้นมีพวกวิศวะอยู่ด้วย พวกฉันเลยวางยาพี่เสือไม่ได้ผล’
‘แต่ก็เอาเถอะ สักวันพี่เสือก็คงเฉดหัวแกทิ้งอยู่ดีนั่นแหละ’
มันเป็นคลิปภายหลังที่เขาถูกวางยาซึ่งได้รับการตัดต่อเสียงช่วงสำคัญที่เกี่ยวกับน้องชายเอาไว้บ้างแล้ว เพราะยังไงก็ซะเป็นน้องชาย
“ปิด” เสือพูดอีกครั้งหลังจากคลิปเสียงแฉผู้หญิงคนนี้ถูกเปิดขึ้นเพียงรอบเดียว นัยน์ตาสีครามเข้มหลุบลงมองร่างบางในชุดสีขาวที่กำลังสั่นเพราะความกลัวเนื่องจากมีชื่อของตัวเองเข้าไปเกี่ยวพันเต็มๆ
“ถ้าเมียกูแพศยา…” เสือลากเสียงยาวเว้นวรรคไปสักครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น
“แล้วผู้หญิงที่เคยขายตัวเพื่อแลกเงินจะเรียกว่าอะไร ?”
100%
ช่วงนี้ช่วงอะไรไม่รู้อัพช้าตลอด เดี๋ยวเรียงลำดับความซวยของนักเขียนให้ดูค่ะ
ตอนแรกเป็นหวัด เป็นหวัดแล้วมีสอบ สอบเสร็จก็เป็นไข้ เสร็จจากไข้ไปเล่นวอลเล่สามวันติดก็ต้องนอนซมเพราะปวดบริเวณร่างกาย (คือเป็นคนไม่ออกกำลังกายแล้วมาเล่นติดกันเลยปวดไปตามตัว) หายนอนซมดันไปกระโดดทับแว่นแตก!! แล้วคือสายตาสั้นมากๆๆๆๆๆๆๆ ทำหักเป็นอันที่สี่แล้วด้วย
ตอนนี้แทบจะเอาหน้าติดจอโน๊ตบุ๊คเพื่อแต่งนิยาย โอ้ยยหนอชีวิต
บก เอาหน้าปกมาสปอยให้ดูบอกเลยว่าฟินมาก
อย่าลืมซื้อด้วยนะทุกคน ซื้อแล้วจะไม่ผิดหวังคาดว่าจะเปิดพรีในอีกไม่นานเนาะ
ด้วยรักอยากจะอัพไวๆแต่มรสุมความซวยประดังเข้าชีวิต
ปล.วันพฤหัสที่จะถึงจะสอบเคมี หนังสือยังไม่ได้แตะเลย 555555555555