วังเทิดฟ้า ตำหนักสวรรค์ชั้นสามสิบสาม อันเป็นพระราชวังที่ประทับของเทียนตี้และเทียนโฮ่ว ตั้งแต่เช้าแล้วที่เทียนโฮ่วมานั่งร้องไห้เงียบๆ ภายในอุทยานหลวง เมื่อเทียนตี้ทราบความจึงรีบรุดมาปลอบประโลม
“เทียนโฮ่ว ซิ่นหนี่ว์ลงไปยังโลกมนุษย์บนสวรรค์ก็นับเป็นเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ไยเจ้าร้องไห้เสียมากมายถึงเพียงนี้” ผู้เป็นประมุขสวรรค์อีกทั้งเป็นสวามีเอ่ยพยายามปลอบโยน
“ฝ่าบาท...ฝ่าบาทก็รู้ว่าข้ารักหนี่ว์เอ๋อร์มากปานใด ไม่เห็นหน้านางเพียงวันเดียวข้าก็คิดถึงนางแล้ว แต่นี่ข้าจะไม่ได้พบหน้านางตั้งหลายวัน อีกทั้งยังระบุไม่ได้ด้วยซ้ำว่านางต้องเผชิญวิบากกรรมในโลกมนุษย์นานเท่าใด แล้วชะตาชีวิตมนุษย์ของนางจะหนักหนาปานใด ข้าเห็นนางเจ็บปวดทุกข์ทนไม่ได้ฝ่าบาทก็น่าจะรู้” เทียนโฮ่วคร่ำครวญพลางซับน้ำตา
“เจ้าก็อย่าคิดว่านางลงไปเผชิญวิบากกรรม คิดเสียว่านางไปเรียนรู้วิถีชีวิตมนุษย์ ตอนเฟยหรงไปยังโลกมนุษย์ข้ามิเห็นว่าเจ้าจะคร่ำครวญถึงปานนี้เลย”
“แต่หนี่ว์เอ๋อร์เป็นสตรีจะมิให้ข้าคร่ำครวญเป็นห่วงได้อย่างไร”
“แต่หนี่ว์เอ๋อร์ของเราเป็นสตรีที่เป็นแข็งแกร่ง ทั้งกายของนางเป็นอมตะ”
“แม้กายนางจะเป็นอมตะแต่จิตใจของนางหาได้เป็นอมตะตามไปด้วย หากนางได้รับควมเจ็บปวดทางใจจากโลกมนุษย์เล่า พอกลับคืนสู่ร่างเซียนความทรงจำในโลกมนุษย์ก็ติดตามมาด้วย ข้าไม่ปรารถนาให้นางเจ็บปวดใจไม่ว่าจะอยู่พิภพใดก็ตาม”
“เทียนโฮ่ว...เจ้านี่เป็นห่วงกังวลมากเกินไปแล้ว”
เอ่ยปลอบกันอยู่ไม่เท่าใด น้ำเสียงหวานปานกระดิ่งเงินล้ำค่าดังมาแต่ไกล ซิ่นหนี่ว์เดินเข้าหามาพร้อมกับถาดขนมกุ้ยฮวาในมือเพื่อประจบเอาใจ ช่างขัดกับชุดฝึกทหารที่นางสวมใส่อย่างยิ่ง
“เสด็จอา เสด็จอาหญิง ข้ามาแล้ว และเอาขนมกุ้ยฮวาที่ข้าทำเองมาฝากด้วย” ซิ่นหนี่ว์ส่งถาดขนมที่นางทำเองให้เทพธิดารับใช้นำไปจัดการต่อ ความจริงแล้วสตรีฐานะสูงส่งเช่นนางไม่จำเป็นต้องเฉียดกายเข้าครัว มีเทพธิดารับใช้คอยดูแลจัดหาให้ ทว่าซิ่นหนี่ว์รักชอบการทำอาหารรองลงมาจากเรื่องรบ ฉะนั้นนางจึงไม่รู้สึกว่าการทำครัวนั้นเป็นเรื่องลดเกียรติแต่อย่างใด เทียนโฮ่วและเทวีหลิงเหลียนมารดาของนางก็ชอบทำอาหารเช่นกัน โดยเฉพาะทำให้สวามีรับประทาน
เทียนตี้และเทียนโฮ่วตักชิมขนมกุ้ยฮวาเข้าไปก็ให้เผยริมฝีปากยกยิ้มชื่นชมออกมา
“รสมือเจ้ามิต่างจากเสด็จอาหญิงของเจ้าเลยหนา อร่อยอย่างยิ่ง”
เทียนตี้เอ่ยชม ส่วนเทียนโฮ่วรีบยกผ้าไหมฟ้าขึ้นซับน้ำตาที่กำลังเอ่อคลออีกระลอก ก่อนจะหันมาโอบกอดร่างบอบบางของผู้ที่พระนางรักดุจดังธิดาในอุทร
“ฝ่าบาทกล่าวได้ถูกต้องแล้ว หนี่ว์เอ๋อร์เก่งทั้งเรื่องรบและเรื่องการเรือนของสตรี รูปโฉมงดงามอีกทั้งมากปัญญาฉลาดล้ำลึก อย่างหาได้ยากยิ่งจากสตรีในหกพิภพนี้”
สายตาที่เทียนโฮ่วทอดมองหลานสาวด้วยความรักและความภาคภูมิใจ ยิ่งเทียนโฮ่วพิศมองซิ่นหนี่ว์มากเท่าใด พระนางก็ยิ่งอยากให้อสุนีเทพเยี่ยหลงผู้เป็นหลานชายเอาชนะหัวใจหลานสาวผู้นี้ได้เสียที พระนางอาจโลภโมโทสัน เมื่อเป็นหลานสาวก็อยากให้ควบตำแหน่งหลานสะใภ้อีกหนึ่งตำแหน่ง พระนางเองก็เอาใจช่วยเยี่ยหลางมาโดยตลอด หลังจากที่ได้รู้ว่าหลานชายมีใจปฏิพัทธ์ต่อซิ่นหนี่ว์ แต่ดูเหมือนสาวน้อยยังไม่ประสาเรื่องความรักเอาเสียเลย ในสายตาซิ่นหนี่ว์เห็นเยี่ยหลางเป็นเพียงพี่ชายมาโดยตลอด
“หากอร่อยล้ำเสด็จอากับเสด็จอาหญิงต้องเสวยให้หมดนะเพคะ”
เทียนโฮ่วตักขนมกุ้ยฮวารับประทานไปได้อีกสองคำก็หยุดมือ หันมากุมมือเอ่ยกับหลานสาวน้ำเสียงสั่นเครือ
“อีกสองวันเจ้าก็ต้องลงไปโลกมนุษย์แล้ว อย่างไรเสียแวะเวียนมาหาอาหญิงที่วังเทิดฟ้าให้บ่อยสักหน่อยได้หรือไม่ อีกหน่อยเจ้าไม่อยู่อาหญิงคงคิดถึงเจ้ามากทีเดียว”
“เพคะ” ซิ่นหนี่ว์กุมมือเทียนโฮ่วยิ้มอ่อนปลอบประโลม
องค์ประมุขสวรรค์เห็นภาพนี้แล้วก็พลันผ่อนลมหายใจโล่งอก พระองค์นั่งปลอบเทียนโฮ่วอยู่เป็นนานแต่มิเป็นผล แต่พอซิ่นหนี่ว์ถือขนมเข้ามาออดอ้อนปลอบใจเพียงไม่กี่คำ เทียนโฮ่วจึงสงบใจลงได้
หลังจากซิ่นหนี่ว์กลับไปแล้ว ยามบ่ายคล้อยอสุนีเทพผู้เป็นหลานชายมาขอเข้าเฝ้าเทียนโฮ่วที่วังเทิดฟ้า
เงาร่างสูงสง่าองอาจของอสุนีเทพภายใต้อาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม รวมเข้ากับใบหน้างดงามหมดจด ส่งให้เทพบันดาลสายฟ้าผู้นี้ยิ่งรูปโฉมสง่างามไม่เป็นสองรองเทพบุตรใดในพิภพสวรรค์ อสุนีเทพเยี่ยหลางเดินเข้ามาในตำหนักด้วยความคุ้นเคย
“เยี่ยหลางคารวะเสด็จป้า”
“เยี่ยหลาง เจ้ามาช้าไปแล้ว หนี่ว์เอ๋อร์กับฝ่าบาทเพิ่งกลับออกไปเมื่อครู่นี้เอง”
“มิเป็นไรเสด็จป้า เพราะวันนี้ข้าตั้งใจมาหาเสด็จป้า...อีกเพียงสองวันข้าต้องลงไปยังโลกมนุษย์เบื้องล่าง ข้าจึงมาขอกราบทูลลา”
“เฮ้อ...พอเจ้าพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทำให้ป้ายังตกใจไม่หาย คราแรกที่ได้ยินเจ้ากล่าวว่าจะตามหนี่ว์เอ๋อร์ลงไปรับโทษทัณฑ์เผชิญวิบากกรรมยังโลกมนุษย์ ทำให้ป้าทั้งตกใจทั้งสงสัย แต่เมื่อเห็นเจ้าอยากตามลงไปเพื่อดูแลน้อง เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วป้ามีแต่เบาใจ...เยี่ยหลาง ป้าฝาก หนี่ว์เอ๋อร์ไว้กับเจ้าด้วย ช่วยดูแลน้องด้วย”
“ขอเสด็จป้าอย่าได้กังวล ไม่ว่าจะเป็นพิภพสวรรค์หรือพิภพมนุษย์ ข้าเยี่ยหลางพร้อมเอาชีวิตเข้าปกป้องดูแลหนี่ว์เอ๋อร์ เพียงแต่ในการลงไปเวียนว่ายในโลกมนุษย์ครานี้ ข้ามิอาจล่วงรู้ได้ว่าจะได้ถือกำเนิดเป็นผู้ใด แล้วจะได้พานพบกับหนี่ว์เอ๋อร์หรือไม่ ข้าต้องกระโดดลงบ่อเวียนว่ายในพิภพปรโลก ส่วนนางเป็นอมตะชนการลงไปถือกำเนิดย่อมเหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ บางทีข้ากับนางอาจมิได้พบเจอกันก็เป็นได้”
ดวงตาดุจพญามังกรของอสุนีเทพฉาบไล้ด้วยประกายแห่งความกังวลใจชัดเจน
“ความกังวลใจในข้อนี้ของเจ้าป้าเข้าใจดี ป้ามีหนทางช่วยเจ้าแล้ว” กล่าวกับหลานชายจบ เทียนโฮ่วจึงหันไปเรียกเทพธิดารับใช้ที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ไม่ไกลให้เข้ามาหา
“เจ้าไปเชิญท่านเทพลิขิตและท่านผู้เฒ่าจันทรามาพบข้าที่นี่ บอกว่าข้ามีการสำคัญจะหารือ”
“เพคะเทียนโฮ่ว”
เทพธิดารับใช้หายไปไม่นาน ทั้งเทพลิขิตและท่านผู้เฒ่าจันทราก็ขี่เมฆามาถึงวังเทิดฟ้ากันพร้อมเพรียง
“ข้าเทพลิขิตคารวะเทียนโฮ่ว” เทพผู้ขีดเขียนชะตาชีวิตมนุษย์ทำความเคารพ
“ข้าผู้เฒ่าจันทราคารวะเทียนโฮ่ว” เทพจันทราผู้มีหน้าที่หลักในการผูกโยงด้ายแดงกำหนดเนื้อคู่บุพเพให้แก่มวลมนุษย์ทำความเคารพเช่นกัน
“ไม่ต้องมากพิธีไป วันนี้ข้าต้องการหารือกับพวกท่านเป็นการส่วนตัวหาได้มีพิธีการใด”
“ไม่ทราบว่าเทียนโฮ่วมีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้” เทพลิขิตเปิดม่านกล่าวก่อน
“ข้าขอกล่าวตามตรงอย่างไม่อ้อมค้อม เมื่อวานพวกท่านทั้งสองก็อยู่ร่วมฟังการตัดสินโทษทัณฑ์ของหนี่ว์เอ๋อร์และเยี่ยหลาง พวกท่านคงรู้แล้วว่าทั้งสองต้องลงไปเผชิญวิบากกรรมยังโลกมนุษย์”
“ข้าน้อยทราบแล้ว”
“ข้าน้อยก็ทราบแล้วเช่นกัน”
ทั้งเทพลิขิตและท่านผู้เฒ่าจันทราตอบรับพลางขมวดคิ้วมุ่นสงสัย ไม่รู้ว่าเทียนโฮ่วกำลังต้องการให้พวกเขาช่วยเหลือเรื่องใด
“เช่นนั้นแล้วพวกท่านทั้งสองก็คงรู้ว่าเยี่ยหลางหลานข้ามีใจรักมั่นคงต่อหนี่ว์เอ๋อร์มากเพียงใด ตัวข้าเองก็ปรารถนาอยากได้นางมาเป็นหลานสะใภ้เช่นกัน แต่ก็จนใจด้วยไม่ว่าอย่างไรหนี่ว์เอ๋อร์จอมซุกซนของข้าก็ไม่ประสาเรื่องความรักเสียที สนใจแต่เรื่องสู้รบ หาได้ใส่ใจเรื่องคู่ครองไม่ ทั้งที่นางก็ถึงวัยอันสมควรแล้ว ข้าจึงอยากให้พวกท่านทั้งสองช่วยเหลือ...ท่านเทพลิขิต ข้ารู้ว่าท่านไม่อาจขีดเขียนโชคชะตาของเทพเซียนได้ ท่านผู้เฒ่าจันทราก็เช่นกัน ข้ารู้ว่าท่านมิอาจผูกโยงด้ายแดงเนื้อคู่บุพเพให้แก่เทพเซียนได้ แต่ครั้งนี้เยี่ยหลางและหนี่ว์เอ๋อร์ต้องลงไปถือกำเนิดเป็นมนุษย์ พวกท่านทั้งสองสามารถกำหนดโชคชะตาและผูกโยงด้ายแดงเนื้อคู่ให้ทั้งสองได้ ข้าขอให้พวกท่านช่วยส่งเสริมเยี่ยหลางและ หนี่ว์เอ๋อร์ได้หรือไม่ ขอเพียงเยี่ยหลางสามารถเอาชนะใจหนี่ว์เอ๋อร์จนครองคู่กันในโลกมนุษย์ได้ ข้าเชื่อว่าเมื่อหนี่ว์เอ๋อร์คืนสู่ฐานะเซียนแล้ว ความทรงจำทั้งหมดในโลกมนุษย์จะทำให้นางผูกพันรักใคร่กับเยี่ยหลางจนยอมตกลงแต่งงาน”
เทียนโฮ่วกล่าวมาเท่านี้แต่เทพลิขิตและผู้เฒ่าจันทราก็เข้าใจได้ในทันที ทั้งสองจึงสบตากันคลายยิ้มอย่างโล่งอกออกมา ทำให้เยี่ยหลางที่รอลุ้นฟังอยู่ยิ้มยินดีออกมาเช่นกัน
“ย่อมได้พ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้มิเหลือบ่ากว่าแรงเลยแม้แต่น้อย”
โชคชะตาและรายชื่อเนื้อคู่บุพเพของเทพเซียนนั้น เทพลิขิตและผู้เฒ่าจันทรามิอาจแตะต้องได้ เพราะโชคชะตาของเหล่าเทพเซียนนั้นจะปรากฏขึ้นเองในทะเบียนชะตาเซียนที่เทพลิขิตเป็นผู้ดูแล ส่วนรายชื่อคู่บุพเพของเหล่าเทพเซียนก็จะปรากฏขึ้นเองในทะเบียนคู่บุพเพเซียนอันมีท่านผู้เฒ่าจันทราเป็นผู้ดูแล ในเมื่อองค์หญิงซิ่นหนี่ว์และอสุนีเทพลงไปถือกำเนิดเป็นมนุษย์ ซึ่งอยู่ในกรอบอำนาจที่สามารถขีดเขียนผูกโยงวาสนาได้ ฉะนั้นเรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดยากเย็น
“ดี ดียิ่ง เช่นนั้นแล้วท่านทั้งสองช่วยรับของเหล่านี้ไว้ด้วย ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจพวกท่าน” เทียนโฮ่วกล่าวจบก็วาดมืดเสกหีบไม้กฤษณาบรรจุโอสถทิพย์หมื่นปีออกมายื่นส่งให้แก่เทพลิขิต และวาดมือเสกสุราผลท้อสวรรค์หอมกรุ่นหมื่นลี้หนึ่งไหยื่นส่งให้แก่ผู้เฒ่าจันทรา
“ขอบพระทัยเทียนโฮ่ว” ทั้งสองเทพอาวุโสยิ้มกริ่มพลางเสกของกำนัลที่ตนได้รับเก็บในแขนเสื้อ
“พวกท่านทั้งสองก็รู้ว่าทั่วทั้งสวรรค์สามสิบหกชั้นฟ้าไม่มีบุรุษใดคู่ควรกับหนี่ว์เอ๋อร์มากไปกว่าเยี่ยหลางอีกแล้ว หากทั้งสองครองคู่กันได้ข้าก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลอีก”
“ขอเทียนโฮ่วทรงวางพระทัย และขอให้ท่านอสุนีเทพวางใจได้ เรื่องนี้เล็กน้อยยิ่งนัก ข้ารักใคร่และเอ็นดูท่านแม่ทัพหญิงซิ่นหนี่ว์และท่านอสุนีเทพดังบุตรหลาน และเห็นว่าทั้งสองเหมาะสมคู่ควรกันเป็นอย่างยิ่ง”
“ได้ทราบความประสงค์ของเทียนโฮ่วและท่านอสุนีเทพอย่างนี้แล้วข้าคิดว่าเป็นเรื่องดีเสียอีก ข้ากับท่านผู้เฒ่าจันทราจะได้ไม่ต้องเปลืองความคิดสรรหาคู่ครองที่เหมาะสมให้ทั้งสองในโลกมนุษย์ ให้ครองคู่กันเองเสียเลยช่างเหมาะสมงดงาม เรื่องนี้จะเรียบร้อยหมดจดอย่างแน่นอน” ทั้งเทพลิขิตและผู้เฒ่าจันทราต่างให้คำมั่นด้วยท่าทีปีติแย้มยิ้ม
“ข้าขอบคุณท่านเทพลิขิตและผู้เฒ่าจันทราอย่างยิ่ง น้ำใจของท่านทั้งสองในครานี้ข้าจะจดจำมิลืมเลือน”
อสุนีเทพเยี่ยหลางประดับรอยยิ้มสว่างไสว ยิ่งส่งให้เขาหล่อเหลางดงามเพิ่มขึ้นไปอีก
“ท่านกล่าวหนักไปแล้วท่านอสุนีเทพ เอาเป็นว่าข้ารอดื่มสุรามงคลในงานอภิเษกของท่านกับท่านแม่ทัพหญิงซิ่นหนี่ว์ก็แล้วกัน”
แล้วทั้งวังเทิดฟ้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความหวัง ความกังวลใจต่างๆ พลันมลายเสื่อมคลายลงไปสิ้น