สวรรค์ชั้นที่สามสิบสองฝากทิศประจิม เป็นสถานที่ตั้งของวังนิรันดร์จันทรา ราชวังที่ประทับของมหาเทวะสงครามหานตง เมื่อเข้าเขตวังนิรันดร์จันทราจะมีสภาวะกาลมืดสลัวและอากาศเย็นสบาย ผ่านกำแพงวังเข้ามาตามทางเดินที่ทอดยาวผ่านสระพุทธบงกช อันส่งกลิ่นกรุ่นหอมของดอกบัวนับหมื่นที่แข่งกันอวดดอกเบ่งบานและความหอมเย็นจรุงใจ
สุดทางเดินเป็นตำหนักเหิงเยว่ ซึ่งอยู่ใจกลางวังนิรันดร์จันทรา อันเป็นที่ประทับและกักตนของท่านมหาเทวะสงคราม ทิวทัศน์เบื้องบนของตำหนักนั้นเป็นดวงจันทราสีเหลืองนวลลูกโตลอยเด่น เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งของวังนี้ เป็นจุดที่อยู่ใกล้กับวิมานพระจันทร์มากที่สุด จึงทำให้เห็นดวงจันทราขนาดใหญ่กว่าตำแหน่งอื่นๆ ทำให้องค์มหาเทวะสงครามตั้งนามวังนี้ว่านิรันดร์จันทรา
นอกจากฉากหลังเป็นดวงจันทราลูกโตอันเป็นเอกลักษณ์ของตำหนักเหิงเยว่ อีกสิ่งก็คือต้นเถาแก้วสะท้อนจันทร์ ขึ้นอยู่โดยรอบตำหนัก ลำต้นขนาดใหญ่ ไร้ใบเขียว ปรากฏแต่เถาดอกรูปทรงระฆังใบจิ๋ว กลีบดอกสีขาวเป็นแก้วใส ห้อยระย้าจากยอดจรดพื้น ยามต้องแสงจันทร์จะสะท้อนแสงระยิบระยับราวหมู่ดวงดาวกะพริบแสง เป็นภาพที่งดงามจับตาจริงแท้
ซิ่นหนี่ว์เดินทอดกายตามบิดามารดาพร้อมพี่ชายกลับมายังตำหนักเหิงเยว่ วังนิรันดร์จันทรา สายตาของนางทอดมองเข้าไปด้านใน บัดนี้หน้าตำหนักเหิงเยว่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายเดินวนไปเวียนไปมาใบหน้าเจือด้วยความห่วงกังวล ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นญาติสนิทมิตรสหายอันเป็นที่รักของซิ่นหนี่ว์ทั้งสิ้น
หลังจากที่รู้ข่าวว่านางไปซุกซนก่อเรื่องใหญ่โตที่เกาะหวงโจว ทุกคนก็พากันประหวั่นพรั่นพรึงเดินทางมายังตำหนักสวรรค์แห่งนี้กันราวแทบจะเหินบิน
ท่านน้าลี่จูเซียนปลาไน ท่านน้าซือฉือเซียนเต่า ซึ่งเป็นสหายรักของมารดานางตั้งแต่มารดาของนางยังเป็นเพียงปราณวิญญาณอาศัยยังอารามเต๋าฮุ่ยซานในเมืองมนุษย์ และยังเลี้ยงดูนางและพี่ชายมาตั้งแต่ถือกำเนิด ถัดไปเป็นแม่ทัพสวรรค์จิ้นหงที่ยืนอยู่ด้านหลังท่านน้าลี่จูไม่ห่าง เนื่องจากท่านน้าลี่จูเพิ่งแต่งให้ท่านแม่ทัพสวรรค์จิ้นหงและย้ายไปอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพได้เพียงไม่นาน เหลือไว้เพียงท่านน้าซือฉือที่ยังพำนักอยู่ที่วังนิรันดร์จันทราอย่างเหนี่ยวแน่น แต่กระนั้น ด้วยความรักและคิดถึงนางและพี่ชายผู้เปรียบดั่งหลานรัก ท่านน้าลี่จูก็มักจะหลบสามีมาขลุกตัวอยู่ที่นี่บ่อยๆ
ส่วนอีกสี่ท่านที่นั่งสีหน้ามืดครึ้มเป็นกังวลไม่ยิ่งหน่อยไปกว่ากันคือบิดาบุญธรรมทั้งสาม ท่านพ่อใหญ่เหยียนอวี้ราชาปีศาจมังกรดำ ท่านพ่อรองลู่จื้อกระเรียนเซียน และท่านพ่อสามหยางฉาเซียนหมาป่าแดง บิดาบุญธรรมทั้งสามหาได้มีความสัมพันธ์เกินเลยกับมารดาของนางไม่ หากแต่ทั้งสามท่านรักและคอยช่วยเหลือมารดาของนางมาเนิ่นนานหลายหมื่นปี จนรักใคร่ผูกพันกับมารดาของนางและท่านพ่อของนางเป็นอย่างยิ่ง
อีกท่านหนึ่งคือท่านอาจารย์ชงหยวนเจ้าสำนักอารามเต๋าฮุ๋ยซาน เป็นท่านอาจารย์ของนางและพี่ชาย รวมทั้งยังเป็นท่านอาจารย์ของท่านน้าลี่จู ท่านน้าซือฉือ และมารดาของนางอีกด้วย ท่านอาจารย์คอยอบรมเลี้ยงดู ให้ที่พักพิง รวมถึงถ่ายทอดวิชาต่างๆ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ทุกคนยังที่อารามเต๋าฮุ๋ยซานดินแดนโลกมนุษย์
แม้นซิ่นหนี่ว์เคลื่อนกายตามหลังมหาเทวะสงครามหานตง เทวีหลิงเหลียนและหมิงลู่ แต่สายตาของทุกคนกลับจับจ้องมองไปยังร่างของซิ่นหนี่ว์ด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด แววตา ท่าทาง แม้กระทั้งการก้าวเดินของซิ่นหนี่ว์เปี่ยมด้วยบารมีน่าเกรงขาม อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อีกทั้งปราณเซียนชั้นสูงของนาง บัดนี้เปล่งประกายแรงกล้ายิ่งกว่ากาลก่อนหลายทบเท่า เปี่ยมล้นด้วยบารมีแห่งปราณบรรพกาลชัดเจน บัดนี้ปราณเซียนชั้นสูงของซิ่นหนี่ว์แข็งแกร่งเกินหน้าปราณเทพของผู้เป็นบิดาเสียอีก
เดิมทีทุกคนต่างก็รู้ว่าซิ่นหนี่ว์ไปก่อเรื่องที่เกาะหวงโจวมา ในยามนี้รอบกายนางแผ่บารมีแห่งบรรพกาลและกลิ่นอายกดดันผู้คน ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ได้ทันทีว่าซิ่นหนี่ว์ได้ครอบครองดวงแก้วตงมู่จิงหลิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่กระนั้นทุกคนก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่าซิ่นหนี่ว์จะช่วงชิงตงมู่จิงหลิงแห่งตำนานบรรพกาลมาได้ จากที่กริ่งเกรงกังวลกันอยู่กลับแปรเปลี่ยนเป็นปีติยินดียิ่ง
“ซิ่นหนี่ว์! นี่เจ้าครอบครองตงมู่จิงหลิงแล้วอย่างนั้นหรือ”
เป็นท่านอาจารย์ชงหยวนที่เอ่ยถามย้ำ แต่เจ้าตัวไม่กล้าตอบคำออกไปให้เต็มปาก ทำเพียงพยักหน้าขลาดๆ เป็นอันยอมรับ ซิ่นหนี่ว์เก่งกล้ากับทุกคนหมด แต่ผู้นางกลัวเกรงที่สุดคือท่านอาจารย์ชงหยวนของนาง กลัวยิ่งกว่าองค์มหาเทวะสงครามผู้เป็นบิดาแท้ๆ เสียอีก เพราะท่านอาจารย์ของนางดุและเข้มงวดเหลือเกิน
“เจ้าช่างซุกชนจนสมหวังเชียวหนา” ท่านอาจารย์ชงหยวนส่ายหน้ากล่าวอย่างเอื้อมระอาในความซุกซนของศิษย์หญิงคนเล็กผู้นี้ ทว่าดวงตาของท่านอาจารย์อาวุโสกลับฉายแววภูมิใจในตัวศิษย์ผู้นี้อย่างไม่ปิดบัง
“ท่านอาจารย์ อันที่จริงข้าก็ยังไม่สมหวังเสียทีเดียว”
“อะไรกัน นี่เจ้าก็ได้ครอบครองตงมู่จิงหลิงเป็นอมตะชนอย่างที่เจ้าปรารถนาแล้วมิใช่หรือ ไยจึงกล่าวว่ามิสมหวังอีกเล่า”
“ก็เพราะข้าอยากได้ตงมู่จิงหลิงทั้งสองดวงต่างหาก แบ่งครึ่งหนึ่งให้ต้าเกอ อีกครึ่งให้อสุนีเทพในฐานะที่เขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดคอยช่วยเหลือข้า ได้ไปแค่เพียงคนละครึ่งอาจไม่ถึงแก่ความเป็นอมตะชนเช่นข้า แต่ทั้งสองก็ต้องอายุยืนยาวอย่างแน่นอน”
ซิ่นหนี่ว์กล่าวปากยื่นปากยาวราวเด็กๆ แม้ตอนนี้นางจะเป็นถึงแม่ทัพหญิงแห่งแดนสวรรค์ แต่สำหรับทุกคนในที่นี้นางก็ยังเป็นหนูน้อยซิ่นหนี่ว์จอมซุกซนมิต่างจากวันวาน ดูเถิดช่างคิดนัก คิดจะผ่าครึ่งแล้วแบ่งดวงแก้วตงมู่จิงหลิงออกเป็นสองส่วนแล้วให้ผู้อื่น ดวงแก้วอมตะบรรพกาลแห่งปราณเทพกำเนิดจะถูกผ่าแบ่งออกได้โดยง่ายได้อย่างไร
“เจ้าไม่ต้องเอามาแบ่งข้าเลย ข้ามิปรารถนาอยากได้เลยสักนิด สิ่งที่ข้าปรารถนาก็เพียงเห็นเจ้าปลอดภัยไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่างหาก ยายเด็กโง่”
หมิงลู่ผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดรูปโฉมงดงามสง่า เรือนผมสีเงินประกายครามดุจเดียวกับบิดาและน้องสาว เขาเดินเข้ามาขยี้ผมซิ่นหนี่ว์กล่าวด้วยความเอ็นดูแกมหมั่นไส้ ไม่ว่านางจะเติบโตขึ้นจนเก่งกาจเป็นถึงแท่ทัพหญิงแห่งกองทัพสวรรค์หรือเป็นอมตะชนก็ตาม แต่ในสายตาของเขานางยังคงเป็นยายเด็กซุกซนไม่เปลี่ยน คราแรกที่ได้ยินว่านางไปที่เกาะหวงโจว เขาตกใจยิ่ง แต่พอเห็นนางกลับมาได้อย่างปลอดภัย ซ้ำยังครอบครองตงมู่จิงหลิง ก็ให้เขาดีใจและภาคภูมิใจในตัวน้องสาวผู้นี้อย่างมาก
“ต้าเกอไม่อยากได้ อสุนีเทพก็ไม่อยากได้ เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะข้าไม่เสียดายตงมู่จิงหลิงอีกดวงแล้ว”
“เจ้าจะอยากได้ความอมตะไปไยลูกสาวพ่อ การมีชีวิตยืนยาวจนมากเกินไปก็ใช่จะเป็นเรื่องดี ไม่ถึงกับต้องแตะขอบความเป็นอมตะชน ขนาดพ่อเป็นมหาเทวะที่มีอายุขัยนับอนันต์ บางครั้งยังมีความเบื่อหน่ายในชีวิตอันแสนยืนยาวนี้เลย”
มหาเทวะสงครามหานตงเอ่ยกับธิดาสาว ขณะที่เดินนำทุกคนเข้ามานั่งด้านในตำหนักเหิงเยว่เรียบร้อยแล้ว เทพธิดารับใช้จึงเข้ามารินชาให้ทุกคนด้วยกริยานอบน้อมรู้งาน
“อมตะชนนั้นเป็นเรื่องรอง แต่แท้จริงแล้วข้าต้องการพละกำลังที่เพิ่มพูน ร่างกายอันแข็งแกร่งที่ไม่ว่าศาสตราวุธใดก็ไม่อาจทำร้ายข้าได้ อีกทั้งการซ่อมแซมสังขารให้กลับคืนสภาพได้ ทั้งหมดนั่นเล่าที่ข้าปรารถนาจากการครอบครองตงมู่จิงหลิงมากกว่า...ท่านพ่อก็รู้ว่าข้าโปรดปราดเรื่องการรบทัพทำศึกสงคราม และมีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพหญิงแห่งกองทัพสวรรค์ แต่ข้าก็รู้ดีว่าขีดจำกัดของร่างกายสตรีอ่อนแอเปราะบางกว่าบุรุษมากมายนัก และข้าก็รู้ว่ามีหลายคนยังมีข้อกังขาเกี่ยวกับข้าอยู่ในใจ หลายคนคิดว่าข้าได้ตำแหน่งแม่ทัพหญิงมาเพราะบารมีของท่านพ่อท่านแม่และเสด็จลุงเสด็จป้า ฉะนั้นข้าจึงอยากแข็งแกร่งและมีพละกำลังทัดเทียมบุรุษมิให้ผู้ใดครหานินทาถึงความสามารถและความแข็งแกร่งของข้าได้อีก ข้าจึงเลือกทำเช่นนี้”
ซิ่นหนี่ว์กล่าวบอกความในใจน้ำเสียงสั่นเครือ
นางเป็นถึงธิดามหาเทวะสงคราม ได้รับการถ่ายทอดศาสตร์การต่อสู้มาจากบิดาจนเชี่ยวชำนาญเก่งกาจ ไม่แพ้หมิงลู่พี่ชายฝาแฝด จนนางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพหญิงเพียงคนเดียวแห่งกองทัพสวรรค์ ไม่ว่าเป็นศัตรูหรือสัตว์อสูรก็ไม่สามารถทำให้นางประหวั่นพรั่นพรึงได้ แต่นางรู้ดีว่าร่างสตรีนั่นบอบบางอ่อนแอกว่าบุรุษปานใด แม้นางจะเก่งกาจแต่ด้วยร่างกายที่บอบบางก็ทำให้เป็นจุดอ่อนของกองทัพอยู่ดี นางจึงปรารถนาดวงแก้วตงมู่จิงหลิงเพื่อให้ร่างของนางเป็นอมตะแข็งแกร่งทนทานมิน้อยหน้าบุรุษใด
เมื่อทุกคนได้ยินเหตุผลจากใจของนาง ก็ทำให้เข้าใจซิ่นหนี่ว์อย่างล้ำลึก ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากตำหนินางได้อีก ทำได้เพียงถอดถอนผ่อนลมหายใจ
“เอาเถิด ในเมื่อสิ่งนี้คือปรารถนาของเจ้า เจ้าก็ได้ครอบครองความเป็นอมตะเรียบร้อยแล้วก็หาต้องกังวลถึงเรื่องนี้อีก แต่ใจแม่นี้อดเป็นห่วงเจ้าที่ต้องลงไปรับโทษทัณฑ์ยังโลกมนุษย์เสียมิได้”
ซิ่นหนี่ว์เห็นมารดามีสีหน้ากังวลเศร้าสร้อยอย่างที่นางไม่ได้เห็นเป็นเนิ่นนานแล้ว กำลังจะก้าวเข้าไปเอ่ยปลอบโยน ทว่าท่านน้าลี่จูที่รักนางราวมารดาคนที่สอง ได้ยินเพียงแค่คำว่ารับโทษทัณฑ์ยังโลกมนุษย์ก็พลันตกใจจนรีบพุ่งกายเข้ามาสอบถาม
“นี่มันเรื่องอันใดกัน? ผู้ใดต้องลงรับโทษทัณฑ์ยังโลกมนุษย์? เจ้าหรือซิ่นหนี่ว์?”
ไม่เพียงแต่ลี่จูที่ตระหนกใจใคร่รู้ บิดาบุญธรรมทั้งสามอีกทั้งท่านอาจารย์ชงหยวน ก็รอฟังด้วยความร้อนใจเช่นกัน หมิงลู่เห็นน้องสาวเอาแต่อึกอัก โดยเฉพาะกับท่านอาจารย์ชงหยวนที่นางกลัวเกรงมากที่สุด เขาจึงตัดสินใจเป็นผู้เล่าออกมา
“นางครอบครองดวงแก้วตงมู่จิงหลิงและรอดชีวิตกลับมาได้ ทว่าซิ่นหนี่ว์กระทำความผิดลงไปแล้วอย่างแท้จริง นางพลั้งมืออาละวาดทำลายถ้ำมรณะบนเกาะหวงโจวที่องค์ปฐมเทพสร้างขึ้นจนพังถล่มเสียหาย กฎสวรรค์บัญญัติชัดเจนความผิดจากเหตุนี้ทำให้นางต้องลงไปรับโทษทัณฑ์เผชิญวิบากกรรมทุกข์ทั้งหกประการยังโลกมนุษย์ ซิ่นหนี่ว์ครองอมตะมิต้องเผชิญกับความตาย ส่วนการถือกำเนิดนั้นเสด็จลุงจะส่งนางไปถือกำเนิดโดยนอกเหนือธรรมชาติ เมื่อนางเผชิญทุกข์ทั้งหกประการครบถ้วนหมดจดเมื่อใด เมื่อนั้นนับได้เป็นการสิ้นสุดโทษทัณฑ์คืนสู่ทำเนียบสวรรค์ดังเดิม”
หมิงลู่กล่าวจบ บิดาบุญธรรมทั้งสามและท่านอาจารย์ชงหยวนมิได้กล่าวสิ่งใดอีก วินิจฉัยขององค์ประมุขสวรรค์สมเหตุสมผลยิ่งแล้ว ซิ่นหนี่ว์กระทำความผิดจริงแท้โดยมิอาจโต้แย้งได้
“โธ่ ยายเด็กซุกซนของน้า แล้วนี่เจ้าต้องลงไปโลกมนุษย์เมื่อใดกัน” ลี่จูเดินเข้ามาโอบประคองถามหลานรัก
“ให้หลังจากนี้อีกสามวัน...ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงกังวล ข้ากลับเห็นว่าการฝ่าวิบากกรรมนี้เป็นเรื่องดีเสียอีก ข้าจะได้เรียนรู้วิถีชีวิตมนุษย์ให้เข้าใจถึงความหมายของการดำรงอยู่มากยิ่งขึ้น”
แม้จะได้ยินเช่นนี้ก็มิทำให้ผู้เป็นมารดาและท่านน้าลี่จูคลายกังวลลงได้ ถึงซิ่นหนี่ว์จะเป็นสตรีที่เก่งกาจการรบ แต่นางก็ยังคงเป็นเด็กเสมอในสายของมารดาและท่านน้า อีกทั้งนางยังไม่เคยจากวังนิรันดร์จันทรารอนแรมไปที่ใด ทว่าครั้งนี้ต้องลงไปเผชิญเคราะห์กรรมโลกมนุษย์เบื้องล่างที่ไม่อาจคาดเดาชะตาด่านเคราะห์ได้ แม้พิภพสวรรค์นับนิ้วแล้วจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่ทั้งสองก็เป็นห่วงซิ่นหนี่ว์อยู่ดี
เมื่อเห็นมารดาและท่านน้าลี่จูมีสีหน้าโศกเศร้ากังวลไม่คลาย ซิ่นหนี่ว์จึงขยับเดินเข้าไปกอดปลอดสตรีบังเกิดเกล้าทั้งสอง
“ท่านแม่ ท่านน้าลี่จู พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า เวลาบนสวรรค์ผ่านไปไม่กี่วัน ประเดี๋ยวข้าก็กลับมาเป็นยายเด็กดื้อให้พวกท่านปวดหัวเหมือนเดิมแล้ว”
เมื่อได้ยินคำปลุกปลอบแกมหยอกเย้าจึงทำให้เทวีหลิงเหลียนและเซียนลี่จูคลี่ยิ้มออกมาได้ และนั่นก็ทำให้มหาเทวะสงคราม ท่านอาจารย์ชงหยวน หมิงลู่ ซือฉือ รวมไปถึงบิดาบุญธรรมทั้งสาม พลอยคลายกังวลลงไปด้วยเช่นกัน
“มหาเทวะ เช่นนั้นข้าขอพักอยู่ที่วังของท่านสักสามวันได้หรือไม่ ข้าอยากรอส่งซิ่นหนี่ว์ไปถือกำเนิดยังพิภพมนุษย์พร้อมกับทุกคนที่นี่”
“พวกข้าทั้งสามก็เช่นกัน จะอยู่รอส่งซิ่นหนี่ว์เช่นกัน”
ท่านอาจารย์ชงหยวนขออนุญาตแก่เจ้าของวังนิรันดร์จันทรา ทำให้บิดาบุญธรรมทั้งสามปรารถนารั้งอยู่รอส่งซิ่นหนี่ว์ไปยังโลกมนุษย์เช่นกัน
“ข้าย่อมยินดี” มหาเทวะสงครามยิ้มอนุญาตด้วยความยินดี ทำให้บรรยากาศโศกเศร้าเมื่อครู่คลายตัวลงไปได้
.............................................
ปล. ช่วงบทนี้จะมีการเท้าความไปถึงฉากหลักและความสัมพันธ์ที่สืบเนื่องมาจากภาคก่อนหน้า (ด่านรักเทพสวรรค์)
สักนิดนะคะ เนื่องจากไรท์ต้องการให้ผู้ที่ไม่เคยอ่านด่านรักเทพสวรรค์มาก่อน ก็สามารถมาอ่านด่านรักจอมมาร
ได้โดยรายละเอียดไม่ตกหล่นค่ะ