ปัจจุบัน
ใต้ภูเขาชื่อดังของแดน 1
เสียงน้ำซัดกระทบตลิ่งเพราะการสัญจรของพาหนะทางน้ำ ทหารเฝ้าแดนนายหนึ่งยืนใกล้ๆ นั้นแต่ไม่ได้สนใจเสียงที่เกิดขึ้น ยังก้มหน้าก้มตากดเครื่องมือสื่อสารที่หน้าตาละม้ายคล้ายโทรศัพท์มือถือบนโลกมนุษย์ เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องชาร์จพลังงานเพราะไม่มีวันที่แบตเตอรี่จะหมดลง
ขณะที่ยืนรอจนเงกแล้วและแชทจนเมื่อยมือก็เผลอกวาดสายตามองฝูงชนที่เดินผ่านไปมาขวักไขว่ บ้างก็มากับนายทหารผู้คุมที่อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ บ้างก็เป็นนายทหารที่กำลังใช้วันหยุดให้คุ้มค่าแบบเดียวกันกับเขา
สายตาปะทะเข้ากับใบหน้าคุ้นตา เห็นปุ๊บจำได้ทันทีจนแทบต้องอุทานว่าเห้ย เพราะว่านั่นเป็นคนที่เขาเพิ่งเอ่ยถึงในบทสนทนาในเครื่องมือสื่อสารเมื่อครู่นี้เอง บังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิต! ตอนแรกเขาก็รู้เพียงว่าเธอคนนี้มาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ แต่วันนี้จู่ๆ ก็ได้เจอแบบระยะประชิดเสียเฉยๆ
โอ้โห ลงตัวเกินไปอย่างกับจับวาง
สองนิ้วพิมพ์ไวจนมือเป็นระวิงเพื่อแจ้งข่าวกับเพื่อน และเพราะเพื่อนเรียกร้องให้ถามบางคำถามแก่สาวเจ้า เขาจึงรีบก้าวตามไปใกล้เจ้าหล่อนที่พ่วงด้วยเพื่อนร่วมอาชีพทหารของเขาประกบอยู่ใกล้ตัวทั้งซ้ายและขวา
“เดี๋ยวก่อน” พอส่งเสียงเรียก อดีตมนุษย์ทั้งสามคนอันประกอบไปด้วย เจ้าหล่อน และทหารยามอีกสองนายก็หยุดชะงัก
แวบแรกที่เห็นสายตาของหล่อนใกล้ๆ แบบนี้เขากลับรู้สึกแปลกๆ
“เอ็งมีอะไรรึ ข้าจะรีบนำตัวนางคนนี้ไปแดนอื่น”
นายทหารในชุดเครื่องแบบอันแสนคุ้นเคยแบบเดียวกับที่เขามีเอ่ยปากถามเสียงเข้มหน้าขรึม
“จำข้าได้ไหม ข้าชื่อนาย เราน่าจะเคยเจอกันบนโลกมนุษย์นะ ข้าจำเจ้าได้ เจ้าชื่อพิมพ์”
“จำได้” พิมพ์ตอบกลับมาเพียงสั้นๆ แววตาประหลาดเสียจนเขารู้สึกแปลกใจหนักขึ้น
“งั้นเจ้าน่าจะจำเพื่อนข้าได้ ไอ้เผือก จำคนชื่อนี้ได้ไหม”
“จำได้สิ”
“เออ นั่นแหละ มันชอบเจ้ามากนะ ถึงตอนนี้จะผ่านมานานแล้วมันก็ยังฝังใจอยู่”
“เร็วๆ หน่อยเอ็ง ข้าต้องรีบไปส่งรถนะ เอ๊ะ ไม่สิ ข้าหมายถึงต้องรีบพานางไปส่ง” นายทหารอีกคนเอ่ยเร่ง ประโยคไปส่งรถเมื่อกี้ทำเอาเขาอดคิดถึงคนขับรถแท็กซี่บนโลกมนุษย์ไม่ได้ แหม่… ไม่ส่งรถก็ต้องเติมแก๊สใช่มั้ย… รู้หรอก!
“เจ้าเคยเป็นคนขับแท็กซี่เหรอ” เพื่อนนายทหารอีกคนถามกระซิบกระซาบ หวังให้ได้ยินกันแค่สองคนแต่เขาก็ยังได้ยินอยู่ดี แต่ตัดสินใจว่าทำเป็นไม่ได้ยินและเปลี่ยนเรื่องดีกว่า
“พวกเจ้าจะไปแดนไหนกันเหรอ?”
“ข้าจะพานางไป...” แต่ขณะที่นายทหารคนหนึ่งกำลังจะตอบคำถาม สาวเจ้าก็แทรกขัด
“เจ้าพูดถึงเผือกทำไม? มีอะไร? ถ้าไม่มีข้าจะรีบเดินทาง”
“อ๋อ มีสิ เออ ข้าเกือบลืมแหนะ” นั่นทำให้เขาคิดออกว่ายังไม่ได้ถาม
“เผือกมันอยากรู้ว่าทำไมพิมพ์ถึงเทมันล่ะ? วันนั้นทำไมไม่มาตามนัด”
“ข้าไป…”
“อ้าว แล้วทำไม?”
“ข้าถึงได้ตายแล้วมาอยู่ที่นี่ไง…”
“ห้ะ…”
“วันนั้นข้าถูกรถชน”
“!!!”
“ในใบทะเบียนบอกว่าตายคาที่ด้วย นี่หมดคำถามหรือยัง พวกข้าเสียเวลามามากแล้ว ปะเดี๋ยวลุงหน้ายักษ์จะหาว่าพวกข้าสองคนโอ้เอ้” นายทหารขัดขึ้นและทำท่าจะพาตัวพิมพ์ไปทันที
“โอเคๆ ข้าไม่กวนพวกเจ้าแล้ว”
นายได้แต่มองตามหลังทั้งสามที่เดินตรงแน่วพุ่งไปตรงประตูระหว่างแดนซึ่งก็คือแม่น้ำด้านหลังนี้ เขาสังเกตเห็นวงแผลขนาดใหญ่ที่บริเวณน่องด้านหลังขาซ้ายของพิมพ์ มันเป็นรอยเหมือนเนื้อหายไปแต่ไม่ได้เหวอะหวะอะไร ถ้าให้เดาคงหายไปตั้งแต่ก่อนตายที่โลกมนุษย์
แปลก… ปกติแล้วแผลจะถูกทำให้เป็นปกติ ยกเว้นแต่ว่าแผลนั้นเป็นกรรมบางอย่างที่รอการชดใช้ให้หมดจึงยังปรากฏให้เห็นอยู่
เขาหยุดคิดเรื่องสาวเจ้าและกลับไปใส่ใจคนในเครื่องมือสื่อสารอีกครั้ง ต่อประโยคกันได้อีกหลายประโยคก่อนที่ในที่สุดเผือกจะเดินมาหยุดอยู่ห่างจากเขาไม่ไกล
ทั้งสองทักทายกันก่อนจะนั่งลงริมน้ำนั้นและชวนคุยกันถึงเรื่องที่เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ในแชท
ย้อนกลับไปในอดีต
ณ โลกมนุษย์
“จะดีเหรอวะเอ็ง”
“ข้าทนไม่ได้ว่ะ”
“อืม...”
“นะ ช่วยข้านะไอ้นาย”
“ก็ได้ นัดเธอคนนั้นออกมา ชื่ออะไรนะ พิมพ์?”
“ขอบคุณเอ็งมากว่ะ”
“เออ เพื่อนกันไอ้เผือก”
“เอ็งว่าเค้าจะมีวันเปลี่ยนใจกลับมารักข้ามั้ยวะ”
“เท่าที่เอ็งเล่าก็ยากว่ะ”
นายยกมือขึ้นตบบ่าของเพื่อนรักเบาๆ เผือกทรมานกับความรักที่ไม่สมหวังเพราะเธอคนนี้มานานแล้วและมาปรับทุกข์กับเขาเสมอ ซึ่งเขาก็ได้แต่รับฟัง มีครั้งนี้แหละที่อีกฝ่ายเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ อันที่จริงเขาไม่อยากยุ่งกับเรื่องแบบนี้เลย แต่ก็อดไม่ได้ เพราะคำว่า ‘เพื่อนกัน’
“แล้วเอ็งจะนัดพิมพ์มาเจอวันไหน?”
“อืม...ข้าคิดว่าวันพรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้เลยเหรอ”
“อืม”
“โอเค ให้ข้าไปเจอเอ็งที่ไหนก่อนมั้ย”
แล้วพวกเขาทั้งสองคนก็นัดแนะสถานที่และเวลาด้วยกันหลังจากนั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์นี้จะพลิกผันทั้งชีวิตที่เหลือและชีวิตหลังความตายของพวกเขาตลอดไป
ปัจจุบัน
ห้องทำงานของลุงหน้ายักษ์ประจำแดน 1
โทนตกแต่งภายในห้องเป็นสีแดงสลับทอง เรียบหรู แต่ไม่เว่อร์วัง ชายผิวแดงเข้มนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่กลางห้อง คนๆ นั้นดูคล้ายมนุษย์ที่มีอายุเลขตัวหน้าประมาณเลขห้าหรืออาจจะใกล้เคียงเลขหกก็ไม่แปลก เขาขยับแว่นที่อยู่ระหว่างดวงตาเรียวรีกับสันจมูกทุกสิบนาทีโดยประมาณ
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับคนที่หน้าประตูเอ่ย
“มีแขกมาพบท่านยมขอรับ”
“ไหน ใครกัน” ท่านยมที่ถูกเรียกแหงนหน้าขึ้นมอง ดวงตาจดจ้องที่กรอบประตูทางเข้า
“สวัสดีขอรับ ข้านายเผือก”
“สวัสดีขอรับท่านยม ข้าชื่อนาย วันนี้ข้าทั้งคู่อยากสอบถามท่านเรื่องการขอย้ายจากแดนหนึ่งขอรับ” พวกเขาทั้งสองตัดสินใจทำตามปรารถนาที่ได้พูดคุยกันไว้ในแชท ทันทีที่ออกจากใต้ภูเขาชื่อดังของแดน 1 ตรงบริเวณริมน้ำ นายกับเผือกก็พุ่งตรงมายังที่แห่งนี้
เกิดความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง นายท่านที่ว่ามีตำแหน่งยมบาลเหลือบมองทั้งสองด้วยความนิ่งเฉย
“พวกเจ้าอยากจะย้ายไปที่ไหนกันล่ะ”
“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่มีแดนที่ไม่ร้อนเท่านี้หรือไม่ขอรับ” นายต่อบทสนทนาออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ กับสายตาที่กรุ่นไปด้วยพลังอำนาจ
“พวกเจ้าร้อน?”
“ใช่ขอรับ โดยเฉพาะช่วงนี้ ร้อนมากเลยขอรับ” เผือกเสริม
“หืม จริงหรือ” คนมีอำนาจเอ่ยถามด้วยท่าทางไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไรนัก แต่ก็มีหลักฐานคาตาเป็นเม็ดเหงื่อที่ไหลชโลมกายทั้งคู่อยู่ตรงหน้า
“หรือว่าช่วงนี้อุณหภูมิในนรกธานีสูงผิดปกติขอรับ” เผือกถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ แต่เขาอยู่ในนรกธานีแห่งนี้มาเนิ่นนานแล้ว และไม่เคยรู้สึกร้อนเท่าช่วงนี้มาก่อนเลย
“ไม่หรอก ข้าว่าไม่” คุณลุงหน้ายักษ์เอ่ยตอบเรียบๆ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยคลายความปวดเมื่อยจากการทำงานมาเป็นระยะเวลานาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสายตายังคงจ้องมองพนักงานเฝ้าประตูในเมืองนรก บริวารของตนเองอย่างแน่วแน่ เพราะกำลังมองหาให้ลึกลงไปถึงอดีตของทั้งคู่เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์
การที่ทั้งคู่ร้อนรุ่มอยู่ในนรกแบบนี้มีความหมายเพียงอย่างเดียว กรรมเก่าของพวกเขากำลังคืบคลานเข้ามาใกล้และเจ้ากรรมนายเวรยังรอวันให้พวกเขาชดใช้อยู่…
ย้อนกลับไปในอดีต
ณ โลกมนุษย์
เผือกยืนนิ่งอยู่หน้าร้านที่เขานัดไว้กับเพื่อนตั้งแต่เมื่อวาน เฝ้ารอหญิงสาวในดวงใจ เขาชะเง้อแล้วชะเง้อเล่าอยู่ที่เดิมจนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง
พิมพ์...ไม่มีวี่แววของเธอเลย…
ชายหนุ่มยืนอยู่เพียงลำพัง
ลึกๆ แล้วเขาก็ล่วงรู้ว่าเธอคงไม่มีวันหันกลับมารักเขาอีกแล้ว
แววตาเศร้าสร้อย แต่เขาก็ยังคงชะเง้อมองหาจวบจนกระทั่งตะวันตกดิน
เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เขาพบว่าเป็นเลขหมายของเพื่อนรักอย่างนาย เจ้าตัวค่อยๆ รับสายท่าทางเงียบเหงาเศร้าสร้อย
“อือ ข้ารู้คำตอบแล้ว”
(อย่าคิดมากเว้ย)
“เธอคงไม่คิดจะเปลี่ยนใจกลับมา”
(เอาน่ะ ถือว่าให้โอกาสพิมพ์ได้เลือกแล้ว)
“ชีวิตของพิมพ์แลกกับการที่เลือกกลับมารักกันอีกครั้งยังเป็นไปไม่ได้เลยอะ...”
(อย่าไปสนใจ นางนั่นมันคบชู้ มันนอกใจเอ็งนะเว้ย สมควรแล้ว)
“ทำไมวะไอ้นาย ข้าไม่ดีตรงไหน ทั้งที่ข้ารักมัน ดูแลมัน แต่มันก็ทิ้งข้า”
(เอ็งไม่ผิดเลยเว้ย นางนั่นสมควรโดนแล้ว)
เสียงถอนหายใจดังผะแผ่วอย่างยังอาลัยอาวรณ์ของคนตกอยู่ในภวังค์รัก
“ตอนที่เอ็งต่อรองพิมพ์ เอ็งบอกเค้าครบถ้วนหรือเปล่า”
(บอกละเอียดแล้ว ทั้งขู่ ทั้งปลอบ บอกมันไปแล้วว่าถ้ากลับมาเลือกรักเอ็งเหมือนเดิม ข้ากับเอ็งจะถือว่ามันไม่เคยนอกใจเอ็ง จะให้อภัย ให้มันเป็นคนรักของเอ็งและเป็นเพื่อนของข้าเหมือนเดิม แต่ถ้ามันไม่กลับมา ข้าก็บอกไปแล้วว่าข้าจะฆ่ามัน...)
“งั้นพิมพ์ก็เต็มใจเลือกให้เอ็งขับรถชนมันให้ตายสินะ...”
ปัจจุบัน
ห้องทำงานของลุงหน้ายักษ์ประจำแดน 1
คุณลุงผิวแดง ผู้มีอำนาจสูงสุดในนรกธานีเขยิบกรอบแว่นสีทอง ดวงตามองลอดแว่นออกไปยังอดีตมนุษย์
“พวกเจ้าคงลืมหมดแล้วสินะ”
“ลืมอะไรขอรับ” ทั้งคู่เอ่ยถามพร้อมเพรียง
“ความทรงจำในตอนเป็นมนุษย์น่ะ ลืมหมดแล้วใช่ไหมล่ะ”
“อ่า จริงๆ ข้าก็ยังพอจำได้นะขอรับ ข้าเป็นมะเร็งตับตายขอรับ แต่ความทรงจำมันไม่ค่อยปะติดปะต่อ มีบางส่วนที่ลืมๆ ไปแล้วบ้าง คงเพราะมันเกิดขึ้นมานานเกินไป” เผือกพูดไปพูดมาก็ชักยาว เขาทำท่านึกๆ แต่ก็นึกอะไรไม่ออกอีก
นายเองจึงเสริมบ้าง
“ข้าก็จำได้ว่าข้าตายเพราะมะเร็งปอดขอรับ”
“พวกเจ้าจำได้แค่นั้นรึ?”
“ขอรับ” ตอบพร้อมเพรียงอีกหนหนึ่ง
“แหม่ น้ำยาลบความทรงจำก่อนเข้ามาปฏิบัติงานที่นี่ถือว่าใช้การได้ดีเยี่ยมเลยจริงๆ” นายท่านสูงสุดเปรยกับตัวเอง พร้อมทั้งแสยะยิ้มราวสมเพชอะไรบางอย่าง
ต้องเล่าถึงธรรมเนียมปฏิบัติของพวกดินแดนหลังความตายกันสักเล็กน้อย
เมื่อมนุษย์ตายลงแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือจะมีทูตจากสวรรคาหรือทูตจากนรกธานีมารับตัวไปเพื่อสิงสถิตในที่แห่งใดแห่งหนึ่งตามแต่สิ่งที่ทำมาตอนยังมีชีวิต และเมื่อใดก็ตามที่สิ้นสุดเวลาในดินแดนทั้งสองนั้นอดีตมนุษย์ก็จะได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง วนเวียนกันไปแบบนี้
แต่ก็มีบางกรณีเหมือนกัน ที่ไม่ได้กลับไปเกิดอีก
เพราะอดีตมนุษย์นั้นได้กลายเป็นเจ้าพนักงานในดินแดนนั้นๆ แทน ซึ่งการจะเป็นแบบนี้ได้ต้องทำความดีมาแบบสุดขั้ว เพื่อเสวยสุขในสวรรคา หรือไม่ก็ต้อง…
ทำความชั่วมาแบบสุดขีด เพื่ออยู่ในนรกธานี!
“ว่าแต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับที่พวกข้าร้อนรุ่มหรือนายท่าน หรือเกี่ยวอะไรกับการย้ายแดนหรือไม่ขอรับ” นายถามอย่างไม่เข้าใจ
“พวกเจ้าย้ายไปที่แดนอื่นก็ร้อนอยู่ดี ไม่ต้องย้ายไปหรอก”
“อ่า งั้นมีที่ที่พวกข้าจะไม่ร้อนหรือไม่ขอรับ” นายปาดเหงื่อเล็กน้อย ทั้งคู่นั้นอยู่ในสภาพชุ่มเหงื่อแต่ผู้ชายรุ่นลุงผิวเข้มคล้ำตรงหน้ากลับไม่มีแม้แต่หยาดเหงื่อ
“มีสิ”
“ที่ไหนขอรับ”
“โลกมนุษย์...”
“พวกข้ากลับไปเกิดได้หรอขอรับ” น้ำเสียงดีใจผิดไปชัดเจน และแม้เผือกจะไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูดก็ยังเห็นความดีใจชัดเจนในนัยน์ตา
“ยังหรอก พวกเจ้ายังไปไม่ได้”
“ทำไมหรือขอรับ”
“เขายังไม่ให้อภัยน่ะ พวกเจ้าเลยร้อนรุ่มแบบนี้”
“เขาคือ?”
นายเป็นคำเดียวที่พูดตอบโต้กับท่านยมบาล
“คนที่เจ้าฆ่าเขาไง”
“อะไรนะขอรับ?”
“...”
“ข้าคงหูฝาดไป”
“คนที่เจ้าขับรถชนเขาอย่างตั้งใจนั่นไง เขายังไม่ให้อภัย และกำลังจ้องจะเอาคืน ส่วนเจ้า...” ท่านยมบาลผิวแดงเข้มหันมองเผือกบ้าง
“ถึงจะไม่ได้เป็นคนฆ่า แต่ก็เป็นคนสั่ง เขาไม่ยอมให้อภัยเจ้าเหมือนกัน...”
“!!!”
“อ้อ มีอีกอย่างที่สมควรแก่เวลาให้พวกเจ้าได้รู้แล้ว”
ภายในห้องที่ตกแต่งด้วยสีแดงทองตกอยู่ในความเงียบ เงียบราวกับคนกำลังกลั้นหายใจ เงียบขนาดที่หากมีเข็มหล่นลงพื้นสักเล่มหนึ่งคงได้ยินเสียง
“พวกเจ้าไม่ได้ป่วยตาย ไม่ได้เป็นมะเร็งตายอย่างที่พวกเจ้าจำได้หรอก”
ดวงตาสองคู่สี่ดวงจับจ้องแน่วแน่ที่บุรุษผู้ทรงอำนาจสูงสุดในนรกธานี ชายผิวเข้มคล้ำที่แข็งแรงและสูงใหญ่ น่าเกรงขามราวกับภูผาแกร่ง
“พวกเจ้าฆ่าตัวตายเอง!”
ย้อนกลับไปในอดีต
ณ โลกมนุษย์
“เอ็งใจเย็น” นายเอ่ยคำปลอบประโลมเพื่อนรัก
“ข้าใจเย็นไม่ไหวแล้ว อยู่ไหนวะ แม่งออกมาสู้กันซึ่งๆ หน้าสิ” เผือกมีท่าทีลุกลี้ลุกลน ขอบตาดำคล้ำราวกับอดหลับอดนอนมายาวนาน และร่างกายยังดูซูบผอมอย่างคนป่วยหนัก
“แค่กๆ ใจเย็นดิวะ ...แม่งเอ๊ย ไอเป็นเลือดตลอด” นายพยายามปลอบเพื่อน แต่ก็อดบ่นพึมพำไม่ได้ หลังจากที่ตัวเองไอออกมาเป็นเลือดเพราะอาการป่วยของมะเร็งปอดที่กำลังเผชิญอยู่
“ข้าก็ปวดท้องมาก มะเร็งบ้านี่!” เผือกเองก็ประสบภาวะของการป่วยหนักไม่แพ้กัน ...มะเร็งตับ…
“แค่กๆ”
“แต่ที่แย่กว่าป่วยคือผีนางพิมพ์!”
“ข้าว่า... แค่กๆ… เอ็งคิดมากเองแหละ ไม่มีไรหรอก”
“ไม่-มี-ทาง ที่ข้าตาโหลขนาดนี้ก็เพราะนางนั่น!”
“ข้าเป็นคนขับรถชนนางนั่นเอง มันไม่มาหลอกเอ็งเยอะเท่าข้าหรอก”
“มันมาหลอกเอ็งด้วยเหรอวะไอ้นาย ไม่เห็นเคยเล่า”
“เออ… ข้าไม่แน่ใจหรอกนะ แต่มันก็น่ากลัว” พูดไปก็หลบสายตา สภาพของนายก็ไม่ต่างกับเพื่อนรัก ขอบตาดำคล้ำ ใบหน้าซีดเซียวไม่แจ่มใสและผอมโซ
“เอ็งเจออะไร”
“ข้าฝันบ่อยแล้วก็สะดุ้งตื่น ฝันถึงนางนั่น… แต่ที่ปลายเตียงข้าก็มักจะมีนางนั่นอยู่เสมอตอนที่ข้าลืมตาตื่น...”
“...”
“แล้วก็ยังมีเหตุการณ์แปลกๆ ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่สองเดือนที่แล้วที่ข้าขับรถชนพิมพ์”
“เช่น...”
“บางทีข้าก็รู้สึกเหมือนมีใครมารั้งขาข้าไว้”
“...”
“บางทีก็เหมือนมีคนมอง หรือมีเสียงเรียก”
“ข้าก็เจอ...”
“พวกเราควรทำไงวะ แค่กๆ...แค่กๆ...”
พวกเขาไม่อาจตอบคำถามนี้ได้ ทั้งนายและเผือกยิ่งรู้สึกว่าชีวิตถูกรบกวนหนักขึ้นทุกวัน ทั้งคู่เห็นในสิ่งที่ไม่มีคนอื่นเห็น เห็นบ่อย เห็นถี่ เห็นจนไม่เป็นอันทำอะไร อีกทั้งอาการป่วยที่หนักข้อขึ้นทุกวัน ความทรมานทั้งทางกายและทั้งใจรุมเร้าจนแทบปางตาย
มนุษย์โง่เขลาทั้งสองคนจึงตัดสินใจหาทางออกง่ายๆ ด้วยการจบชีวิตตัวเอง เผือกเลือกตกจากตึกสูงสิบสี่ชั้น นายเลือกวิ่งออกไปให้รถชนตายคาที่เหมือนกับที่เขาใช้วิธีนี้ฆ่าพิมพ์…
ไม่มีใครบอกได้ว่าพวกเขาเห็นอย่างที่รู้สึกจริงๆ หรือเป็นเพียงแค่อาการหลอนไปเอง…
และแม้จะตายจากไปแล้ว แต่การชดใช้มันยังไม่จบหรอก…
พวกเขาต้องชดใช้ต่อไปในช่วงชีวิตหลังความตายอีกยาวนาน
ตราบใดที่เจ้ากรรมนายเวรยังไม่ยกโทษให้...
พวกเขาจะต้องตายแล้วตายอีกและทุกข์ทรมานแสนสาหัสแม้จะตายไปแล้วก็ตาม