ฮันกยอลรับแก้วคืนจากมือของแจโอเงียบๆ แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ช่วงนี้เธอหักโหมอย่างที่แจโอพูดจริงๆ เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เธอจัดการกับตารางงานที่แน่นเอี๊้ยดด้วยการอดหลับอดนอนวาดต้นฉบับทั้งคืนจนจะเป็นบ้าแล้ว แถมยังต้องมาที่โรงพยาบาลตอนกลางวันเพื่อดูแจโออีก ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนแบกหมีตัวใหญ่ไว้บนหลังหนึ่งตัวอย่างกับในโฆษณาตัวหนึ่งเลย
เหนื่อย ง่วงและรู้สึกตัวหนักๆ แต่เธอก็ไม่ได้ใจร้ายจนถึงขั้นปล่อยคนที่เกือบตายเพราะตัวเองทิ้งไว้
“คือว่า”
ฮันกยอลเก็บกระเป๋าแล้วเปิดปากพูด
“อย่าทำแบบนั้นอีกนะคะ”
“ทำอะไร?”
“ต้องหนีสิคะ ในสถานการณ์แบบนั้นน่ะ ถ้าตายขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไงล่ะคะ”
น้ำเสียงตำหนิอย่างรุนแรงเหมือนกับกำลังดุเด็กๆ ทำให้แจโอยิ้มกว้างออกมา
“รู้สึกดีจังที่คุณเป็นห่วง”
“คุณ…”
ฮันกยอลขมวดคิ้วและไม่พูดอะไร
ตอนนั้นฮันกยอลได้รู้เป็นครั้งแรกว่าการที่คนอื่นบาดเจ็บเพราะตัวเองมันน่ากลัวขนาดไหน เข้าใจแล้วว่าคําว่าการเสียสละไม่ได้หอมหวานขนาดนั้น ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแจโอจริงๆ ล่ะก็ เธอคงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจต่อไปเลย บางครั้งการเอาใจใส่ก็จำเป็นในยามที่จะต้องเสียสละ
“ฉันรู้สึกขอบคุณคุณและรู้สึกขอโทษมากๆ แต่พูดตรงๆ ก็รู้สึกหนักใจค่ะ แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันเปลี่ยนใจนะคะ การคบกันเนี่ย ฉัน...”
“ไม่ ผมไม่คิดรั้งคุณไว้ข้างกายผมด้วยเรื่องนี้หรอกนะ”
แจโอจ้องมองฮันกยอลด้วยแววตาที่อ่อนโยนซึ่งหาได้ยากก่อนจะพูดต่อ
“ผมรู้ว่าคุณเจ็บปวดเพราะเรื่องสมัยก่อน ก่อนหน้านี้ก็เคยบอกไปแล้ว ผมไม่มีความคิดที่จะเร่งคุณเลยเพราะฉะนั้นใช้เวลาตามสบาย แล้วก็...”
“คุณคังแจโอคะ”
ฮันกยอลคิดว่ามันชักจะน่าเบื่อหน่ายเกินไปแล้วจึงพูดตัดบทแจโอ
“แน่นอนว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาสารภาพรัก แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ฉันไม่คบกับใคร มันไม่ใช่ปัญหาง่ายๆ อย่างนั้นหรอกนะคะ ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ไม่อยากคบกันใครทั้งนั้นค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนแนวทางสิ”
“อะไระนะคะ”
แจโอยื่นมือออกมาคว้าข้อมือฮันกยอล จากนั้นจึงลูบอย่างเงียบๆ แล้วประทับริมฝีปากลงบนหลังมือเบาๆ
“ถ้าชอบผมไม่ได้ก็ลองพยายามเชื่อใจผมดูสิ แต่ถ้าคุณบอกว่าแค่นั้นก็ยากแล้วแสดงว่าผมไม่มีโอกาสแล้วแหละ”
เขาจ้องตาตรงๆ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้น
“บอกมาสิ เชื่อใจผมสักนิดบ้างรึยัง?”
เพราะไม่รู้จะตอบอะไรฮันกยอลจึงได้แต่ขยับริมฝีปากขึ้น การปฏิเสธดีกว่าการโกหกเพื่อให้เขายอมแพ้ไปซะ แต่เธอกลับพูดไม่ออกและเสียงก็ไม่ยอมหลุดออกมาจากปากเลย
“ปะ ไปก่อนนะคะ”
สุดท้ายเธอก็วิ่งออกไปข้างนอกห้องคนไข้ราวกับจะหนี
‘ถามว่าเชื่อใจไหมน่ะเหรอ? ให้เชื่อใจคุณน่ะเหรอ?’
น่าขำ ไม่สิ น่าสับสนมากกว่า แจโอจี้ส่วนที่เธอลำบากใจที่สุดโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเหมือนเคย เชื่อใจคุณไหมเหรอ? นั่นสินะ ฉันควรจะต้องตอบยังไงดีนะ? ถ้าบอกว่าไม่เชื่อใจผู้ชายที่โดนแทงเพราะปกป้องตัวเองก็... ไม่สิ ไม่ใช่แค่เหตุผลนั้นเพียงอย่างเดียว
ฮันกยอลมองเข้าไปข้างในจิตใจของตัวเองสักพักแล้วจู่ๆ ก็หยุดยืนอยู่กับที่ เสียงกระซิบจากส่วนลึกภายในจิตใจของตัวเองคือสาเหตุที่ทำให้เธอตกใจ
‘ฉันไม่เชื่อใจเขา’
บาดแผลที่เธอโอบกอดเอาไว้จนถึงตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะหายไปง่ายๆ เพียงเพราะเรื่องนี้ เธอรู้สึกขอบคุณแจโอ แต่ก็ยังไม่เชื่อใจเขาได้อย่างหมดใจ ฮันกยอลมีเหตุผลอื่นอีกที่ทำให้เธอลังเลกับคำตอบ
อยากเชื่อใจเขา คนที่ซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเอง ความจริงใจของเขา
ฮันกยอลกุมหน้าอกไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว จิตใจที่มั่นคงส่งสัญญาณมาว่ากำลังสั่นไหวและกำลังจะเริ่มอ่อนยวบลง พระเจ้าช่วย
ครืด การสั่นที่รู้สึกอยู่ในกระเป๋ากางเกงอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ฮันกยอลได้สติทันที เธอรับโทรศัพท์แล้วก้าวเดินต่ออีกครั้ง
“ว่าไงมิน”
“พี่ ตอนนี้อยู่ไหนน่ะ ผมแวะมาหาพี่ที่บ้าน”
“ออกมาข้างนอกได้สักพักแล้ว ตอนนี้กำลังกลับ อีกสิบนาทีน่าจะถึงบ้าน จะเข้าไปรอข้างในก่อนไหม พวกผู้ช่วยอยู่ที่บ้านใช่ไหม”
“อืม โอเค จะรอนะ”
ฮันกยอลออกมาจากโรงพยาบาลแล้วขึ้นแท็กซี่ เธอนั่งที่เบาะหลังและมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วจึงควบคุมสีหน้าที่สับสน
ใช่แล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงเพราะต้องการเชื่อใจใครบางคนไม่ได้หมายความว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง หากจิตใจสงบลงเมื่อไหร่ สิ่งที่ต้องทำก็คือล็อกหัวใจนั้นไว้อย่างแน่นหนาอีกครั้ง พร้อมกับมุ่งมั่นว่าจะไม่เจ็บปวดเพราะใครบางคนอีก
“พี่”
มินดึงตัวเธอเข้ามาแล้วเริ่มสำรวจดูตรงนู้นตรงนี้ทันทีที่ฮันกยอลก้าวเข้ามาในบ้าน
“ได้ยินมาว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเหรอ ทำไมไม่บอกล่ะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ไม่เป็นไรแน่ใช่ไหม”
ไม่มีช่องว่างให้ตอบเลยสักนิด ฮันกยอลจึงปล่อยให้มินทำตามที่ต้องการไปก่อน เมื่อเห็นทีท่าว่าเขาสงบลงเล็กน้อย เธอจึงพาเขาไปนั่งที่โซฟา
“ไม่ได้เป็นอะไร แต่ว่ามีคนอื่นที่ได้รับบาดเจ็บ”
“ผู้รับผิดชอบคนนั้นที่เจอครั้งก่อนน่ะเหรอ?”
ฮันกยอลพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ
“อาการไม่ค่อยดีเหรอ? ได้ยินว่าไปโรงพยาบาลแทบทุกวันเลย”
ดูเหมือนว่าพวกผู้ช่วยคงจะคุยกับมินเยอะพอสมควร แน่นอนว่างานที่เธอสั่งไว้ก็น่าจะมีเยอะจนกองเป็นภูเขาเลากา แต่ก็นะ... เอาเถอะ เธอเองก็โดดงานเหมือนกัน แต่ก็แอบรำคาญนิดหน่อยเพราะดูเหมือนว่านั่นจะทำให้มินเป็นกังวลขึ้นมา
“ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้ว เขาบาดเจ็บเพราะฉัน เพราะฉะนั้นจะให้อยู่เฉยไม่ได้หรอกนะ”
แต่ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย แม้จะไม่สบายใจแต่ก็ตั้งใจว่าจะไม่ไปเจอหน้าเขาจนกว่าจะออกจากโรงพยาบาล
“โรงพยาบาลไหน?”
มินลูบริมฝีปากตัวเองแล้วถามเงียบๆ
“ทำไมล่ะ?”
“ผมก็จะไปเยี่ยมเขาสักครั้ง”
“นายจะไปที่นั่นทำไม?”
เขายิ้มร่าและตอบกลับราวกับเป็นเรื่องปกติ
“ก็ต้องไปขอบคุณสิ เพราะเขาพี่ถึงปลอดภัยไง”
“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องไปก็ได้”
แม้ว่าฮันกยอลจะโบกมือห้ามแต่มินก็ยังตื้อไม่เลิก
“ถ้าเป็นแถวๆ นี้ก็โรงพยาบาลXXใช่ไหม? เขาชื่ออะไรนะ?”
“บอกว่าช่างมันไง! ไม่ต้องไป”
เขาหน้าชาและหุบปากสนิททันที่เธอจงใจพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ฮันกยอลลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“ดื่มชาไหม เอาอะไรดี?”
“อะไรก็ได้”
ฮันกยอลวางถ้วยน้ำชาให้ก่อนจะเข้าไปในห้องตัวเองสักพัก แล้วจึงเดินออกมาอีกครั้ง เธอยื่นของอย่างหนึ่งให้กับมิน
“นี่”
“อะไรเหรอ”
มินรับซองที่ฮันกยอลยื่นมาให้ด้วยสีหน้างุนงง ข้างในนั้นมีตั๋วคอนเสิร์ตอยู่สองใบ เป็นการแสดงที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงทีเดียว แต่ภาพประกอบที่วาดอยู่บนตั๋วอย่างประณีตกลับดึงดูดสายตาของมินมากกว่า
“นี่พี่วาดเหรอ?”
“อืม โปสเตอร์ด้วย”
มันเป็นงานนอกที่ถูกจ้างเมื่อหลายเดือนก่อน ซึ่งน่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจึงส่งบัตรเชิญมาให้ฮันกยอลด้วย
“ไปกับแฟนสิ”
“มีที่ไหนล่ะ”
มินส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างเขินอาย
“หาซะสิ นายก็ป็อปอยู่นี่นา”
เขาทำเป็นเหลือบมองเฉยๆ และนิ่งเงียบไม่ตอบโต้ จากนั้นใส่ตั๋วลงไปในซอง ก่อนจะยื่นกลับไปให้ฮันกยอล
“ทำไมล่ะ?”
“ผมจะไปกับพี่”
“ไปกับฉันแล้วจะสนุกยังไง?”
“ไปกับพี่ก็ดีออก ไปด้วยกันนะ ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิด”
“อ้อ จริงสิ! วันเกิดนายอาทิตย์หน้านี่”
เพราะว่ามีเรื่องนู้นเรื่องนี้เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนทำให้เธอลืมไปซะสนิท
“ถ้างั้นไปด้วยกันนะ หือ?”
มินงอแงจับชายเสื้อแล้วเขย่า สุดท้ายท่าทางน่ารักๆ ของมินที่เห็นไม่ได้ง่ายๆ ก็ทำให้ฮันกยอลพ่ายแพ้ไป ฮันกยอลยิ้มตามมินที่ยิ้มอย่างสดใสแล้วลูบหัวของเขาเบาๆ
“เดี๋ยวให้ของขวัญวันเกิดอีกต่างหากนะ”
มินปล่อยร่างกายไปกับสัมผัสของเธอเหมือนเคย ฮันกยอลเพลิดเพลินกับสัมผัสนุ่มนิ่มบริเวณนิ้ว แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงเสียงของแจโอขึ้นมา
‘บอกมาสิ เชื่อใจผมสักนิดบ้างรึยัง?’
ความจริง เธอรู้ว่าทุกอย่างคือข้ออ้าง ที่บอกว่าไม่ชอบการสารภาพรัก ที่บอกว่าทำอะไรไม่ได้เพราะบาดแผลในอดีตมันฝังลึก ทั้งหมดก็เป็นเพียงการข้ออ้างที่พอจะฟังขึ้นที่เธอสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะหนีได้ง่าย ไม่ว่าที่ไหนบนโลกนี้ก็ไม่มีใครที่โอเคกับการอยู่ตัวคนเดียวหรอก ฮันกยอลก็เช่นกัน
ดังนั้นเธอจึงดึงมินเข้ามา การอยู่คนเดียวมันโดดเดี่ยว เธอจึงใช้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อตัวเองพาเขาเข้ามายังเส้นทางที่คับแคบและคดเคี้ยว
ฮันกยอลก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีให้มินนั้นคือความเชื่อใจที่แจโอพูดถึงหรือจะเป็นอย่างอื่น แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้อย่างชัดเจนคือความจริงที่ว่า อย่างน้อยเขาก็ไม่ทิ้งเธอก่อน
ในตอนนั้นเอง ฮันกยอลก็ยิ้มอย่างขมขื่นออกมาเพราะความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวแวบหนึ่ง
“มีอะไรเหรอ?”
มินถามด้วยความสงสัย แต่ฮันกยอลทำแค่เพียงส่ายหน้าเงียบๆ
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แค่ไออุ่นที่พอจะทำให้มืออุ่นก็อบอุ่นเพียงพอแล้ว พร้อมกับพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเอง