ปกติแล้วแจโอเป็นคนที่ค่อนข้างจะเชื่องช้า แต่ถ้าเป็นเรื่องงานเขาจะรับรู้อย่างรวดเร็วราวกับเป็นนักเรียนหญิงม.ปลายที่ถูกเวทมนตร์สะกด ถ้าเป็นช่วงที่เดดไลน์เริ่มใกล้เข้ามา ระดับของความเข้มงวดก็จะเพิ่มขึ้นสามสี่เท่าตัวเลยทีเดียว
“คือว่า หัวหน้าฝ่าย”
ผู้ช่วยซองที่ตากลายเป็นหมีแพนด้าเนื่องจากความเหนื่อยล้าเรียกแจโอด้วยสีหน้าราวกับใกล้ตายเต็มที
“ทำไม”
“โทรศัพท์มือถือ ดังไม่หยุดตั้งแต่เมื่อกี้แล้วค่ะ”
“รู้แล้ว”
ถ้ารู้แล้วก็รีบๆ รับสิคะ ผู้ช่วยซองไม่กล้าพูดออกมาจากปาก ทำได้แค่เพียงก้มหน้าลงดูต้นฉบับเหมือนเดิม ตอนนี้เป็นช่วงเวลาดุเดือดของทุกคน ไม่ว่าจะตำแหน่งสูงหรือต่ำ เขารู้ว่าคนที่โทรมาไม่หยุดคือใครจึงเลี่ยงที่จะไม่รับ แต่แจโอก็ต้องรับโทรศัพท์อย่างช่วยไม่ได้เพราะสายตาที่เขม่นมองมาจากทุกทิศทาง
“ทำไมลูกถึงไม่รับโทรศัพท์เลยล่ะ”
“ก็ยุ่งอยู่”
ถ้าโทรมาครั้งสองครั้งแล้วไม่รับก็ควรจะยอมแพ้และล้มเลิกไปได้แล้ว แต่แม่ของแจโอยังดื้อด้านอยู่พอตัว
“ลูกยังไม่ลืมที่ต้องไปนัดบอดตอนเย็นพรุ่งนี้ใช่ไหม ครั้งนี้ก็ทำให้ดีล่ะ”
“โทรมาเพื่อบอกเรื่องแค่นี้ใช่ไหมครับ ผมรู้แล้ว งั้นวางแล้วนะ ยุ่งอยู่”
“เด็กคนนี้นี่!”
แจโอรีบกดปุ่มวางสายโดยไม่สนใจเสียงที่ดังมาจากหูโทรศัพท์
“หัวหน้าฝ่ายมีนัดบอดเหรอคะ”
“ทำงานไป”
“ชิ”
ผู้ช่วยซองบุ้ยปากอย่างน่ารักก่อนจะลุกจากที่นั่งแล้วเข้าไปในห้องพักพนักงาน ส่วนแจโอก็กำลังเช็คตัวอย่างปกนิตยสารที่ส่งมาจากโรงพิมพ์อย่างละเอียด เนื่องจากผลงานใหม่ของนักเขียนจองได้ผลตอบรับดีกว่าที่คาดไว้มาก ภาพของเธอจึงถูกนำมาขึ้นปกทั้งที่เพิ่งลงให้อ่านเพียงแค่สองเดือนเท่านั้น
‘เข้มไปไหมนะ’
แจโอยกตัวอย่างขึ้นมาเทียบกับต้นฉบับของนักเขียนจอง พอดูอย่างนี้แล้วเห็นได้ชัดว่าฝั่งตัวอย่างสีดูเข้มกว่านิดหน่อย คงจะต้องตัดสินใจว่าจะทำใหม่อีกรอบหรือไม่ทำหลังจากคุยกับนักเขียนจอง แต่โทรบอกโรงพิมพ์ไว้ก่อนก็น่าจะดี ในตอนที่แจโอกำลังจะยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นได้จังหวะพอดี
“อ้าว คุณนักเขียนจอง!”
ผู้ช่วยซองที่ออกมาจากห้องพักพนักงานพอดีเปิดประตูต้อนรับให้ด้วยความยินดี เมื่อนักเขียนจองเข้ามาในห้องทำงาน แจโอก็วางโทรศัพท์ไปในทันที
“ขอโทษนะครับที่บอกให้มาถึงที่บริษัท”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันมีธุระที่ต้องออกจากโซลอยู่แล้วค่ะ”
ผู้ช่วยซองที่อยู่ข้างๆ และเตรียมจ้องหาโอกาสแทรกบทสนทนาได้ยินแบบนั้นก็พูดเสริมขึ้นทันที
“ดูท่าจะไปที่หรูๆ นะคะ แต่งตัวออกมาสวยเชียวค่ะ”
“ต้องไปงานแต่งงานน่ะค่ะ”
วันนี้นักเขียนจองแต่งตัวสวยต่างกับตอนปกติอย่างที่ผู้ช่วยซองว่าจริงๆ ผมที่เธอมักจะมัดแน่นอยู่เสมอก็ถูกปล่อยยาวลงมาด้านหลัง แต่งหน้าอย่างสวยงาม ริมฝีปากทาด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อนเป็นประกายและวาดเส้นโค้งทำให้รู้สึกอารมณ์ดี
ก่อนหน้านี้ก็รู้อยู่แล้วว่านักเขียนจองเป็นคนที่ค่อนข้างสวยทีเดียว แต่เพิ่งได้เห็นนักเขียนจองแต่งหน้าแต่งตัวแบบจัดเต็มอย่างวันนี้เป็นครั้งแรก แม้แต่แจโอที่ไม่ค่อยมีความรู้สึกอะไรก็ยังรู้สึกแปลกใหม่ ดูท่าว่าคำกล่าวที่ว่าไก่งามเพราะขนคนงานเพราะแต่งจะไม่ใช่คำโกหก
“ขอดูหน้าปกหน่อยค่ะ”
“อ่อ ครับ”
แจโอตั้งสติได้ทันทีเพราะคำพูดของนักเขียนจอง เขารีบเอาตัวอย่างที่อยู่บนโต๊ะมาแล้วยื่นให้กับนักเขียนจอง
“เหมือนว่ามันจะออกมาเข้มนิดหน่อยนะครับ”
“อืม นั่นสินะคะ”
แจโอมองลงนักเขียนจองซึ่งกำลังก้มหน้ามองหน้าปกอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วจู่ๆ ก็เหมือนถูกดึงดูดด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาด
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกจั๊กจี้ที่จมูก เป็นเพราะน้ำหอมที่เธอใส่มาหรือเปล่า กลิ่นหอมหวานจึงพุ่งออกมาราวกับถาโถมเข้ามาทั้งตัว หรืออาจจะเป็นเพราะอดนอนทั้งคืนเนื่องจากเดดไลน์กำลังบีบเข้ามาก็ได้ ประสาทรับกลิ่นจึงไวกว่าปกติ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นอีกก็อาจจะเป็นเพราะเกิดการเปรียบเทียบกับกลิ่นหนังสือเหม็นอับที่อัดแน่นอยู่ในห้องทำงานก็ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การที่นักเขียนจองดูแปลกใหม่ก็คือความจริง
‘คิดอะไรอยู่เนี่ยฉัน’
แจโอส่ายหัวรัวๆ ไล่ความคิดไร้สาระต่างๆ ออกไป เขารวบรวมสติอีกครั้งและจดจ่อกับการทำงานแทนที่จะมานั่งเดาไร้สาระว่าหรือเธอจะใช้วิธีนี้ในการหลอกล่อผู้รับผิดชอบกันนะ
“ถ้าไม่พอใจจะให้ทำใหม่ก็ได้นะครับ บอกมาได้เลยครับ”
“เปล่าค่ะ แบบนี้ดูดีกว่าด้วยซ้ำนะคะ ดูหดหู่ขึ้นนิดหน่อยด้วย”
“ครับ…?”
นักเขียนจองยิ้มอย่างอ่อนโยนให้แจโอที่ถามกลับอย่างงงๆ พลางตอบคำถาม
“มันเป็นเรื่องหดหู่นี่คะ ยิ่งดาร์กก็ยิ่งดี”
ลืมไปเลยว่าภายใต้ใบหน้าที่สดใสนั้นมีความเศร้ายิ่งกว่า ‘โรค ม.2’[1] เสียอีก แจโอลืมซะสนิทว่าเมื่อสักครู่ตัวเองเกือบตกหลุมรักเธอแล้วจึงหัวเราะออกมาอย่างเคอะเขิน
“ถ้าอย่างนั้นเอาตามนี้เลยนะครับ”
“ค่ะ”
หลังจากได้รับต้นฉบับของเดือนนี้ แจโอก็ออกมาที่ทางเดินเพื่อที่จะมาส่งนักเขียนจอง กดปุ่มลิฟต์และยืนรอสักพัก แต่ทันใดนั้นนักเขียนจองก็เซไปมา
“อ๊ะ โอเคไหมครับ”
แจโอเอ่ยถามพร้อมกับจับแขนและประคองเธอไว้
“ค่ะ โอเคค่ะ ไม่ได้ใส่รองเท้าส้นสูงนานแล้วก็เลย...”
นักเขียนจองยืดตัวตรง ใบหน้าแดงขึ้นเหมือนกับอาย สายตาของแจโอที่มองลงไปด้านล่างโดยอัตโนมัติทำให้เธอพยายามซ่อนเท้าตัวเองเอาไว้
‘อ่า มิน่าล่ะ’
ก็ว่าทำไมแปลกๆ ที่ส่วนสูงซึ่งไม่ถึงไหล่ของเขาถึงพุ่งพรวดขึ้นมา เธอสวมรองเท้าที่มาพร้อมกับความสูงที่แค่เห็นก็หวาดเสียวแล้ว ส้นรองเท้าบางเหมือนกับตะเกียบสูงพอๆ กับบันไดหนึ่งขั้น เขาถึงขั้นประหลาดใจกับการใส่ของแบบนั้นเดินไปมา
ในระหว่างนั้นลิฟต์ก็มาถึง กำลังจะขึ้นลิฟต์โดยที่ไม่ได้คิดอะไรแต่ทว่า...
“เธอ บิทนา ใช่ไหม”
คนที่อยู่ในลิฟต์มองมาที่นักเขียนจองพร้อมกับเอ่ยปากพูด
“อ๊ะ…!”
นักเขียนจองยืนแน่นิ่งอยู่ที่เดิมพร้อมกับส่งเสียงที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่ายินดีหรือตกใจกันแน่
“ฉันเอง ซึงโฮ อีซึงโฮ”
เขาบอกชื่อตัวเองด้วยท่าทางตื่นเต้นเกินเหตุ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
มุมปากของนักเขียนจองที่พูดทักทายสั่นเบาๆ
‘บิทนา? อ๋อ ชื่อจริงงั้นเหรอ?’
จู่ๆ แจโอก็นึกขึ้นได้ว่าชื่อที่ตัวเองรู้จักคือนามปากกาของเธอ จะว่าไปชื่อบิทนาก็เป็นชื่อที่ต่างกันสุดๆ เลย แต่ก็เหมาะกับลักษณะภายนอกของเธอดี
“ทำงานที่นี่เหรอ”
“เปล่าหรอก คือ...”
ท่าทางที่พูดอึกอักไม่สมกับเป็นเธอนั้นดูงุนงงมากทีเดียว
“ตอบอะไรอย่างนั้นล่ะ”
ซึงโฮยิ้มเจื่อนพร้อมกับสะกิดไหล่ของนักเขียนจองเบาๆ
“ฉันมาทำสัญญาหนังสือที่นี่น่ะ แต่ไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหน เธอรู้ไหม”
“ถ้าเป็นหนังสือ คุณหมายถึงนวนิยายทั่วไปใช่ไหมครับ”
น่าจะต้องตอนนี้แหละ แจโอจึงแทรกเข้ามาในบทสนทนา ซึงโฮงงนิดหน่อยเมื่อมีชายแปลกหน้าคุยด้วยแล้วจึงพยักหน้าตัวเอง แจโอพูดพลางชี้นิ้วขึ้นไปด้านบน
“แผนกวรรณกรรมขึ้นไปอีกหนึ่งชั้นครับ”
“คุณเป็นพนักงานที่นี่เหรอครับ”
“กองบรรณาธิการการ์ตูนครับ”
“การ์ตูน?”
ซึงโฮหันไปมองนักเขียนจองด้วยสีหน้าสงสัย
“เธอเป็นนักเขียนครับ”
ซึงโฮจงใจทำสีหน้าตกใจเพราะคำพูดของแจโอ
“คาดไม่ถึงเลยนะ การ์ตูนเหรอ นึกว่าจะไปเอาดีด้านบทภาพยนตร์ซะอีก”
“ก็ฉันเลือกมาทางนี้แล้วนี่คะ”
“อย่างว่า หนทางก็มีหลากหลายนี่เนอะ”
เขามองดูนาฬิกาแล้วพูดว่า ‘อ๊ะ’ ก่อนจะหันไปทางบันไดหนีไฟ
“ขอโทษนะ ฉันคงต้องไปแล้ว วันหลังไว้เจอกันอีกนะ”
เขาวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นบนโดยที่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรเลย
นักเขียนจองยืนนิ่งด้วยสีหน้าอ่อนเพลียแปลกๆ เหมือนกับเจอโดนก่อกวนจิตใจไปชั่วครู่ เธอเพียงแค่มองเขานิ่งๆ จากนั้นจึงเอ่ยออกมาสั้นๆ ราวกับแก้ตัว
“รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยน่ะค่ะ”
“อ๋อ ครับ”
แจโอพยักหน้าแล้วกดปุ่มลิฟต์อีกครั้ว
‘รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย?’
เรื่องราวที่แอบฟังเมื่อคืนผ่านเข้ามาในหัวทันทีทันใด
‘เป็นคนดีแต่มารู้ที่หลังว่าเขาลอกงานของฉันเป็นผลงานจบการศึกษา’
ตามที่คาดเดาและพิจารณาจากท่าทางของนักเขียนจองตอนที่เผชิญหน้ากับชายคนนั้น เขาจะต้องเป็นหัวขโมยที่เคยขโมยผลงานไปอย่างแน่นอน เมื่อมั่นใจอย่างนั้นแจโอก็หัวเสียขึ้นมาทันที
เธอช่างเหมือนกับคนโง่ ถ้าบอกว่าไอ้คนที่เรียนจบจากการขโมยผลงานคนอื่นเป็นคนดีก็คงจะไม่มีคนเลวบนโลกนี้แล้วแหละ
ไม่พอใจท่าทางของเธอที่พูดทุกอย่างออกมาอย่างมั่นใจกับผู้รับผิดชอบคนก่อน แต่พออยู่ต่อหน้าไอ้คนเฮงซวยนั่นกลับไม่สามารถแม้แต่จะพูดอะไรออกไปได้เลย
แม้จะกระแหนะกระแหนอย่างโน้นอย่างนี้อยู่ภายในใจ แต่สุดท้ายแจโอก็เดินมาส่งเธอจนถึงทางเข้าบริษัท
“ถ้าพิมพ์เสร็จแล้วจะติดต่อไปอีกรอบนะครับ”
“ค่ะ เหนื่อยหน่อยนะคะ”
แจโอยืนมองดูหญิงสาวที่โค้งศีรษะเล็กน้อยก่อนจะหันหลังแล้วเดินไปอย่างช้าๆ อยู่ครู่หนึ่ง
การพบกันอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึงคงจะทำให้ช็อกน่าดู เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงจะไม่เดินเหมือนคนจะล้มได้ทุกเมื่อแบบนั้นหรอก แจโอไม่ชอบท่าทางที่ยึดติดกับเรื่องที่ผ่านไปแล้วสักเท่าไหร่จึงเดาะลิ้นออกมาเสียงดัง
ผู้หญิงที่ไม่มีดวงเรื่องผู้ชาย ผู้หญิงที่น่าสงสารซึ่งใช้ชีวิตยึดติดกับอดีต
ที่เป็นกังวลก็เป็นเพราะว่าเธอน่าสงสาร แจโอหาข้อแก้ตัวให้กับความรู้สึกของตัวเอง
* * *
[1] หรือโรค Chuunibyou หมายถึงคนที่ชอบทำตัวเหมือนกับว่าตัวเองเก่งรู้ไปเสียทุกเรื่อง หรือทำตัวเหมือนว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่นๆ ถ้าหนักหน่อยก็จะมีลักษณะของการดูถูกผู้ใหญ่หรือผู้มีอายุมากกว่า ปกติจะพบได้ในเด็กวัยรุ่น แต่บางทีก็มีพบว่าคนเป็นผู้ใหญ่หรือเลยวัยนี้ไปแล้วก็ยังมีอาการของโรคนี้อยู่