PINTAtalk 3 : ความเลี้ยงโต๊ะแชร์ของเหล่าหง่อมเรนเจอร์
แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง
“เอ้าๆๆ ฟังไอ้โฟคมันพูดหน่อย กูเห็นมันทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด จะพูดแต่ไม่พูดมาหลายทีแล้ว ปากกูจะแห้งแทนมันแล้วเนี่ย”
เสียงไอ้ว่านเคาะแก้วและพูดลั่นในวงสนทนา วันนี้เป็นวันครบรอบในหนึ่งเดือนที่พวกเขาต้องมากินข้าวด้วยกัน ร้านอาหารชั้น 55 บนห้างหรูกลางใจเมือง ถึงแม้ว่าจะอยู่ในร่ม แต่เพดานกระจกใสก็เปิดให้เป็นบรรยากาศกรุงเทพราตรีได้เป็นอย่างดี
“มีอะไรเปล่าโฟค”
อิฐหันไปถามพร้อมยิ้มอย่างสนใจ เพียวที่นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไรนอกจากตั้งใจมองคนต้นเรื่องแบบเงียบๆ ไป๋เองก็หันไปมองชั่วครู่หนึ่ง ตาคู่นั้นหรี่เล็กอย่างตีความ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยคาดคั้นอะไรออกไป
“อ่า” โฟคอึกอัก
“มีอะไรหรือเปล่าโฟค”
ไป๋เอ่ยถามเพื่อนสนิท ถึงแม้ว่านายแพทย์หนุ่มจะติดอาการเข้าถึงยากไว้กับตนอย่างเป็นปรกตินิสัย แต่ในคำถามนี้ ไป๋ก็ยิ้มให้กับโฟคอย่างตั้งใจ ราวกับจะช่วยคลายความอึดอัดใจของอีกฝ่าย
“เฮ้ย! หรือว่า!” ไอ้ว่านลุกขึ้นตะโกนเสียดัง
“ว่า...” เพียวหันไปทางว่านอย่างสงสัย
“ไอ้โฟคท้อง!”
จบประโยคของไอ้ว่าน เสียงหัวเราะก็ระเบิดดังมาจากเจ้าตัว ท่าทางมันจะถูกอกถูกใจมุกของตัวเองเสียเหลือเกิน เพื่อนคนอื่นได้ยินมันหัวเราะก็เผลอหัวเราะตามไปด้วย แม้แต่โฟคก็ยังหลุดยิ้มออกมาได้ ไป๋มองภาพเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมของตนอย่างระอาใจ แก่จนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว แต่ปากก็ยังเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงพันธุ์สัตว์อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
“หนังสือเกียร์สีขาวกับกาวน์สีฝุ่นได้เซ็นสัญญาตีพิมพ์แล้วนะ”
เสียงไอ้โฟคพูดขึ้น คำประกาศนั่นเอาอีกสี่คนที่นั่งอยู่รอบวงหันมามองอย่างสนใจ ไอ้ว่านลุกขึ้นยกชูแก้ววิสกี้ ไอ้อิฐลุกขึ้นชนแก้วอีกคนเป็นเพื่อนว่าน ส่วนเพียวเลื่อนมือมาจับมือโฟคเอาไว้ ไป๋มองหน้าโฟคเงียบ ยิ้มให้ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาสนใจอาหารตรงหน้าต่อไป
“พวกเราจะดังกันแล้วหวะ” ไอ้ว่านพูดขำๆ
“หนังสือจะเปิดตัวตอนงานหนังสือเดือนตุลาคม กูไปคุยกับสำนักพิมพ์มาแล้ว ทางโน้นจะตีพิมพ์พร้อมกัน 3 เล่มเลย แถมมี box set แบบมีแถบแม่เหล็กติดด้วย สวยมาก กูเห็นแล้วยังตกใจเลย ไม่นึกว่าทางสำนักพิมพ์จะทำให้ดีขนาดนี้” โฟคพูดเล่าต่อ หน้าตาของทันตแพทย์หนุ่มปิดความตื่นเต้นไว้ไม่มิด
“อ้าว นี่ก็เป็นข่าวดีหนิ แล้วมึงจะกังวลอะไรวะ”
อิฐหันไปถามโฟคแบบงงๆ คำถามนั้นเรียกว่าสนใจจากไป๋ได้ดี นายแพทย์หนุ่มหันไปมองหน้าอิฐหนึ่งที ก่อนจะหันไปจับจ้องที่โฟคอย่างพิจารณา
“กูกลัวว่าคนเขาจะลืมเรากันหมดแล้ว”
เสียงโฟคดังขึ้นมาเท่าเสียงกระซิบ แต่นั่นก็ยังชัดเจนพอที่เพื่อนทั้งห้าคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะจะได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ เพียวกระชับมือที่จับมือโฟคไว้แน่น ว่านลดท่าทีเริงรื่นลง และหันมาตั้งใจสนใจเพื่อนของตนมากขึ้น
“คิดมากไปเปล่า คนคงไม่ลืมเราหรอกมั้ง” ว่านพูดเชิงปลอบใจ
“แต่นี่มันเกือบปีหนึ่งเลยนะ กว่าหนังสือของพวกเราจะได้วางแผงออกมา ไม่รู้สิ กูอาจจะคิดมาก แต่ถึงเวลานั้น กูกลัวว่าคนจะลืมพวกเรากันไปหมดแล้ว กูกลัว กลัวว่าเขาจะลืมวันเวลาที่ผ่านกับพวกเรามาจนหมด”
โฟคหลุบหน้าลงต่ำ เหมือนไม่อยากจะให้เพื่อนเห็นความอ่อนแอของตนเอง เพียวยิ้มพร้อมส่ายตัวเบาๆ แบบรู้นิสัยดี วิศวกรหนุ่มที่เวลานี้ย้ายมาประจำบนบกแล้ว ดึงตัวแฟนหนุ่มเข้ามากอดไว้อย่างให้กำลังใจ มือหนึ่งก็ลูบหัวโฟคไว้อย่างอบอุ่นและแผ่วเบา
“การลืม มันไม่ได้ง่ายแบบนั้นหรอกโฟค” ไป๋พูดขึ้นพร้อมทอดสายตามาทางเพื่อนสนิท
“...”
“นับตั้งแต่วันที่พวกเขาทุกคนร่วมเดินทางไปกับเรา พวกเขาก็ได้โอบกอดเอาพวกเราไปเป็นส่วนหนึ่งกับเขาแล้ว ความรัก ความรู้สึก และทัศนคติมากมายของเรา ยังไหลเวียนอยู่ในตัวเขา ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เขาอาจจะนึกถึงมนุษย์สีเทาในวันที่ต้องก้าวข้ามความผิดพลาดของตนเอง เขาอาจจะนึกถึง selfish gene ในวันที่ต้องก้าวข้ามความผิดพลาดของคนที่ตัวเองรัก เขาอาจจะนึกถึงความฝันของเธอในวันที่เขากำลังเลือกเส้นทางในชีวิต และเขาอาจจะคิดถึงความรักของพวกเรา ความรักที่จะคอยปลอบประโลมใจพวกเขา ไม่ว่าจะในวันที่แสนเหงา แสนเศร้า หรือแสนสุขก็ตาม”
ไป๋พูดออกมายาวเหยียด ชายหนุ่มทั้งห้าคนเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ในห้วงคิดของตนเอง ต่างฝ่ายต่างมีเรื่องที่ตกตะกอนอยู่ในใจ เหมือนว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องพูดคุยกันในคืนนี้
“แต่สักวันหนึ่ง พวกเขาก็ต้องลืมพวกเราจนหมดหรือเปล่าวะ” โฟคถามแบบไม่เข้าใจ
“ใช่ นั่นคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ลืมไม่มีหรอก มีแต่ลืม ขึ้นอยู่กับว่าลืมช้าหรือลืมเร็วก็เท่านั้น” ไป๋พูดพร้อมเอื้อมมือไปตบบ่าอีกฝ่ายอย่างเบามือ
“ไม่อยากให้วันนั้นมาถึงเลย”
ความนี้กลับเป็นอิฐที่พูดขึ้น วิศวกรหนุ่มเอาศีรษะมาพิงแนบไหล่ของนายแพทย์หนุ่มเอาไว้ ไป๋หันมายิ้มเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบเส้นผมของอีกฝ่ายด้วยความรักสุดหัวใจ
“การถูกลืมไม่ได้น่ากลัวแบบนั้นหรอก ต่อให้วันหนึ่งพวกเราทั้งหมดถูกลืมจริงๆ พวกเราก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่หล่อหลอมพวกเขามาอยู่ดี พวกเรายังคงเป็นความทรงจำที่แม้ว่าพวกเขาจะจดจำมันไม่ได้ แต่มันก็ยังคงอยู่ พวกเราจะยังคงอยู่ที่นั่นตลอดไป” โฟคฟังประโยคยาว พร้อมเอียงหน้าเข้าไปซุกไว้กับไหล่เพียว
“คงได้แต่หวังให้เขาซื้อหนังสือของพวกเรากลับไป พวกเราจะได้ถูกลืมช้าที่สุด” โฟคพูด
“เดี๋ยว ไอ้โฟค มึงได้ค่าคอมจากสำนักพิมพ์เปล่าเนี่ย ฮึ ดูหลุกหลิกอยากขายของนะมึงเนี่ย ฮ่าฮ่า”
เสียงจับผิดของไอ้ว่านทำเอาบรรยากาศที่กำลังติดจะเศร้าสร้อยบนโต๊ะอาหารพังครืนไม่มีชิ้นดี เสียงหัวเราะลั่นดังมาจากโดยรอบ ไอ้โฟคที่ดูเศร้าก็เผลอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
“เปล่าโว้ย มึงแม่ง ปากหมาคงเส้นคงวาจริง” โฟคด่า
“เชี่ย เดี๋ยวนี้มึงด่ากูเหรอ ไอ้โฟค ชิชะ ไอ้เชี่ยไป๋มันเสี้ยมมึงมาใช่ไหม” ว่านลุกขึ้นโวยวายอย่างสนุก
“น้ำก็ไหลลงต่ำเปล่าวะ คำพูดต่ำๆ มันก็ไหลไปหาคนต่ำๆ อย่างมึงตามหลักแรงโน้มถ่วงแหละ ไม่เกี่ยวอะไรกับกูสักหน่อย ฮ่าฮ่า”
ปัณฑูรหาจังหวะด่าเพื่อนสนิทอย่างแสบสันและสะใจ คราวนี้เสียงหัวเราะของวงสนทนาดังขึ้นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ความเป็นเพื่อน มิตรภาพที่แสนยาวนาน อบอวลไปในบรรยากาศของวันนี้
“เราจะทำอะไรกันได้มากกว่านี้ไหมวะ กูอยากให้หนังสือขายดีๆ” อิฐถามเหมือนชวนคิด
“ไม่ต้องหรอก พวกเราทำได้แค่ไว้ใจ”
ไป๋พูดพลางชี้นิ้วขึ้นไปบนเพดานที่ทำด้วยกระจก พื้นที่นั้นเปิดให้เห็นท้องฟ้ากว้าง ชายหนุ่มเหมือนกับจะบอกให้ไว้ใจกับอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็ใครสักคนที่อยู่เหนือคนทั้งห้าคนนี้ขึ้นไป
“ไป๋ อิฐไม่เข้าใจ” แฟนหนุ่มของไป๋พูด คนอื่นในวงสนทนาก็หันหน้ามามองอย่างสงสัยเช่นกัน
“ไอ้กะลาสีเรือบ้าพลังนั่นก็กำลังพยายามอย่างถึงที่สุดอยู่ ปล่อยหน้าที่พาผู้คนไปพบโลกใหม่ให้เป็นของมันเถอะ พวกเราแค่เฝ้ามองมันจากตรงนี้ก็พอ มันจริงจังกับความฝันของมันมาก สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือเชื่อมั่นในตัวมัน เชื่อมั่นในความฝันของมัน เชื่อมั่นในความพยายามที่จะทำความฝันให้สำเร็จ” ไป๋พูดพร้อมชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า
“เสน่ห์ของความฝันคือมันเป็นสิ่งที่มีแต่เราเท่านั้นที่มองเห็น แต่ถ้าวันหนึ่ง ความฝันของเราเป็นสิ่งที่คนอื่นมองเห็นได้ จับต้องได้ มันคงจะเป็นความฝันที่มีเสน่ห์มากเลย ...จริงไหม?”
นายพินต้า
กดติดตามนายพินต้าในแอปนี้เถิดครับ นักอ่านที่รัก เวลาผมขึ้นนิยายเรื่องใหม่จะได้เห็นไงครับ >/\<