หนึ่งมนุษย์หนึ่งกุมภีล์จ้องหน้ากันเขม็งราวกับจะฉีกเนื้อเถือหนังกันให้ตาย มันเอนเอียงไปทางเดโชมากกว่าเพราะฝ่ายขาลยังคงทำสีหน้าเรียบเฉยเพียงแต่แผ่รังสีกดดันออกมาไม่หยุดเพียงเท่านั้น
“จักปล่อยข้าดีๆ หรือจักปล่อยทั้งน้ำตา” เดโชว่า ทั้งที่ตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบากแต่ก็ไม่เคยแยแส ในหัวคิดหนทางหลุดรอดจากเหตุการณ์ตรงหน้าแต่ยังไม่เจอวิธีไหนเข้าเค้า
ขาลมองคนที่ยังไม่ยอมศิโรราบอย่างทึ่งในจิตใจอันกล้าแข็งของอมนุษย์ตนนี้ โดนเขาเฆี่ยนจนหลังเกือบขาดไปแล้วยังไม่วายพยศมาสร้างรอยแผลให้เขาได้
“เลิกปากดีสักทีจะได้ไม่เจ็บตัว”
“ข้าไม่เลิกเจ้าจะทำไม! ”
“ก็จะทำแบบนี้ไง” เป็นอีกคราที่ท่าทีพยศชวนปราบนั้นทำให้ขาลกดจูบแนบแน่นปลายลิ้นสอดประสานให้เลือดของทั้งสองคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน มันอบอวลขมคาวอยู่ในคอแต่รสจูบคาวเลือดนี้ก็ยังไม่หยุดลง
“อื้อ! ปล่อย--อึก” คนด้านใต้พยายามดิ้นออกแต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกยามโดนดูดโคนลิ้นอย่างแรงจนต้องกลายมานิ่วหน้าไปด้วยความเจ็บแทน
จูบร้อนวนเวียนอยู่ไม่ขาด จากที่เริ่มด้วยการปราบพยศทีแรกเริ่มกลายเป็นการเคลิบเคลิ้มของกันและกัน ความเร่าร้อนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นในขณะเดียวกับที่เดโชเริ่มอ่อนแรงล้าลงจากความทั้งเจ็บและเผลอไผลเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบไร้ถนอมนี้
“อืมม...อ่” เสียงครางอื้ออึงในลำคอยังมีให้ได้ยินแต่ก็เบาบางลงทุกทีเหมือนๆ กับที่ลมหายใจผะแผ่วลงจากการถูกทรมานมาอย่างยาวนานและถูกรสจูบพรากลมหายใจไปทีละน้อยจนท้ายที่สุดเดโชก็เริ่มทานทนไม่ไหว
ฝ่ามือที่โดนเชิดเหนือหัวเริ่มหยุดขยับเขยื้อน เปลือกตาสีมุกปรือหลับลงช้าๆ ก่อนสติทั้งหมดจะขาดห้วงไปดื้อๆ ทิ้งให้ขาลที่ยังมัวเมากับรสจูบถึงกับคั่งค้าง
“.....” ขาลผละริมฝีปากออกมา พลางมองหน้าคนหมดสตินิ่ง ฝ่ามือเชิดคางคนหลับใหลขึ้น ไม่วายจรดจูบลงไปอีกทีอย่างเผลอไผลและไร้การล่วงล้ำ
“เอ็งต้องตายอยู่ที่นี่” ขาลรำพึงกับตัวเอง
สัญญาทาสได้เริ่มต้นขึ้นแล้วและมันจะไม่มีวันจบลงโดยง่าย
“คุณท่านเจ้าขา! ”
“กำลังไป” ขาลตอบรับเสียงที่ตะโกนขึ้นมาอีกระลอก คราวนี้ป้านวลหรือทาสในเรือนเบี้ยที่ถูกเดโชจับเป็นตัวประกันถือถาดน้ำอุ่นขึ้นมาด้วย เพราะทันทีที่ขาลเปิดประตูก็เจอเข้ากับป้าที่ก้มตัวสั่นงันงกอยู่ภายนอก
“มีอะไรป้านวล”
“หามิได้ค่ะนายท่าน บ่าวเพียงแต่ขึ้นมาดูอาการพ่อหนุ่มน้อยที่ป่วยไข้คนนั้น”
เห็นดังนั้นจึงได้ที
“ดูแลมันให้ดี ครามอยู่ที่ใด” ทั้งฝากฝังและถามไถ่ต่อ ขาลทำเป็นฝากฝังต่อเพียงเท่านั้นเพราะไม่อยากเสียอาการให้ใครเห็นว่าตนตีตราทาสตนนี้ไว้หนักหนาแค่ไหน
“เรือนรับรองบูรพาเจ้าค่ะ”
“อืม” ขาลรับคำแล้วเดินออกไปทันทีอย่างไม่คิดแยแสคนที่หมดสติอยู่ภายในห้อง
เรือนอัศวเหมรามันเป็นเรือนใหญ่ที่พระสุนทรเมืองประทานแก่ขาลที่เข้ามารับหน้าที่รับใช้ แม้จะมาจากพระนครก็ได้รับความวางใจจากคุณท้าวมาก ภายในเรือมีเรือนรับรองใหญ่ถึงสองแห่งเรือนหลักอีกหนึ่งแห่งรวมเป็นสาม
เรือนรับรองแรกไว้ใช้ทำพิธีการ และตอนนี้เดโชก็เป็นผู้ครอบครองมัน เรือนทางทิศบูรพาเป็นเรือนเอาไว้รับรองสหายในราชสำนักอาทิเช่น คราม คนที่มานั่งรอจนรากงอกเหมือนดังครานี้
แม้จะรู้ตัวดีว่าผิดที่มาดึกดื่น แต่การทิ้งสหายรักให้นั่งจ๋องอยู่คนเดียวก็หาใช่ที แถมมันมืดค่ำแล้วทางบ่าวก็มิได้ตระเตรียมน้ำอุ่นน้ำอบอะไรไว้จึงไม่ได้มีอะไรนำขึ้นถวายแก่ครามเลย ขนมนมเนยสักชิ้นก็ไม่มี
ดังนั้นทันทีที่เห็นขาล ครามเพื่อนรักจึงถลาแทบจะเข้ามากอดไว้แต่ขาลยกเท้าหมายจะถีบเสียให้กระเด็นแทนการต้อนรับกลับ
“ใยทำกับคนที่รอเจ้านานเช่นนี้สหาย” ครามเปิดประเด็น
ครามคือขุนนางที่มาจากพระนครด้วยกันกับขาล รับราชการพร้อมกันและได้ยศพระยาเหมือนๆ กัน เรือนอยู่ถัดจากเรือนอัศวเหมราไปอีกสองสามไพรใหญ่
“อย่ายียวนมีเรื่องอันใด”
“มาถึงก็ไล่กันทางอ้อมเชียวนะ ข้าเสียใจดีไหมนี่”
“คราม...”
“ก็ได้...เจ้าได้ยินเรื่องกุมภีล์จำแลงรึไม่” ครามรีบเปลี่ยนท่าทีเพราะกลัวจะเจอลูกถีบเข้าจริงๆ
“กุมภีล์...จำแลง? ”
“ใช่ ท่านเหมราชเล่าให้ฟังถึงอมนุษย์ที่พระองค์เคยเจอมาแก่ข้า หนึ่งในนั้นมีกุมภีล์จำแลงกาย ได้ข่าวว่าเมืองพิจิตรแห่งนี้มีจระเข้ชุกชุมแต่มันไม่ขึ้นมากัดผู้คนแล้วน่าแปลกไหมเล่า”
“ว่าต่อไป”
“ข้าคิดว่าอาจเป็นการจำแลงกายขึ้นมาเพื่อสืบสาวความลับของชาวเรา เพราะจากที่ได้ยินพอพวกมันจำแลงกาย พวกมันเหมือนมนุษย์ทุกอย่างเว้นสิ่งเดียว”
“...”
“คือนัยน์ตาสีทองอร่ามของพวกมัน”
“ดวงตาสีทองอร่ามงั้นรึ”
คงไม่ใช่ว่า…
----------------------------------------------------------------------------
มาลงเพิ่มอีกตอนแล้วค่า บอกเลยพี่ครามก็ไม่ได้มาเล่นๆแบบพี่ขาลแน่นอนค่ะ เพื่อนรักจากพระนครอยู่ในแก็งยาดองเดียวกันเลยด้วย แต่พี่เขาจะมาทำไมนั้นขอให้ช่วยติดตามกันต่อน้า
ฝากเม้นติชมด้วยเหมือนเคยค่ะ หนึ่งเม้นหนึ่งล้านกำลังใจ
#กำราบกุมภีล์