มาเฟียไร้รัก 21
หลังจากผ่านไปสองสามวัน ลู่เหวินก็อาการดีขึ้นเยอะแต่ก็ยังไม่ได้หายสนิทดี ส่วนวิระก็แพ้ท้องหนักขึ้น เลยต้องได้แต่นั่งๆนอนๆ เพราะเดินมากก็เหมือนจะเป็นลม ทำให้คนทั้งบ้านต้องคอยจับตาดูวิระ ส่วนลู่เหวินก็ได้คุณน้ำช่วยเลี้ยงนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะลู่เหวินจะไม่ค่อยงอแงเท่าไร ส่วนงานแต่งที่วีรภาพเคยตั้งใจไว้ก็ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะวิระไม่สะดวกที่จะจัดงานเร็วๆนี้ แถมลู่เหวินเองก็กำลังซน วีรภาพเลยได้แต่ขึ้นรับตำแหน่งไว้ก่อน และก็ประจวบเหมาะกับที่คุณชายอี้เฟิงกลับมาที่ฮ่องกงพอดี เลยเริ่มเตรียมจัดงานฉลองให้กับว่าที่ประธานคนใหม่ของตระกูลหยางขึ้น ทำให้วีรภาพค่อนข้างยุ่งมากในช่วงนี้ วิระเองก็มักมีอาการน้อยใจวีรภาพที่กลับบ้านดึกทุกวันจนแปลกใจตัวเองที่มีอาการเช่นนี้ตั้งแต่ท้องลูกคนที่สอง เหมือนวันนี้ที่วีรภาพกลับดึกมาก วิระก็นอนไม่หลับสักที พอนั่งรอวีรภาพนานๆน้ำตาก็เริ่มไหล จนเริ่มเบื่อตัวเองที่ร้องไห้ไม่หยุด
“วิระยังไม่นอนเหรอ” วีรภาพที่กลับเข้ามาพอดีเห็นไฟในห้องนอนยังสว่างอยู่ก็ถามขึ้น เตียงนอนเด็กของลูกชายก็มีลู่เหวินนอนหลับสนิทอยู่ วิระเองก็นั่งอยู่บนเตียง
“กลับมาแล้วเหรอ…” น้ำเสียงสะอึกสะอื้นของวิระเอ่ยขึ้นก่อนจะหันหน้ามาสบตากับวีรภาพที่อยู่ตรงหน้าประตู พอวีรภาพเห็นวิระร้องไห้ก็รีบเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรั้งตัววิระเข้ามากอดทั้งๆที่วิระยังนั่งอยู่บนเตียง
“ไม่สบายเหรอ ร้องไห้ทำไม”
“นายกลับดึก ไปไหนมา แอบไปหาคนอื่นรึไง”
“ไม่ได้ไปหาใคร ฉันมัวแต่เคลียร์งานเลยดึก ขอโทษนะ”
“วันหลังห้ามกลับบ้านเกินสองทุ่มนะ ไม่งั้นฉันจะให้นายนอนนอกห้องแน่วีร์ ไปอาบน้ำได้แล้วตัวเหม็น”
“โอเคๆ นายนอนก่อนเลยนะวิระ เดี๋ยวฉันอาบน้ำเสร็จแล้วจะกลับมานอนกอด”
“เร็วๆนะ”
วีรภาพรีบไปอาบน้ำเพราะจะรีบกลับมานอนกอดวิระที่ช่วงนี้เริ่มมีนิสัยชอบน้อยใจ เจ้าน้ำตา และขี้อ้อนมากๆ แถมยังไม่มีวี่แวววิระจอมโหดหลงเหลืออยู่เลย ซึ่งก็เป็นอาการน่ารักๆที่ถ้าปกติโลกคงใกล้แตกถึงจะได้เห็น
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ วีรภาพที่เดินมาที่เตียงก็เห็นวิระนอนหลับกอดหมอนข้างไปแล้ว วีรภาพเลยเดินไปเช็กยาที่ข้างหัวเตียงดูว่าวิระกินยาครบตามที่หมอสั่งรึเปล่า พอเห็นว่ากินครบวีรภาพก็เลยหันกลับมาจับผ้าห่มคลุมร่างกายวิระให้ดีๆ ก่อนจะเดินไปนอนลงข้างๆแล้วกอดตัววิระเข้าหาตนเองก่อนจะหลับสนิทลง แต่ก็นอนได้ไม่กี่ชั่วโมง เพราะเสียงลู่เหวินร้องไห้ตั้งแต่เช้าตรู่ วิระก็หลับสนิทเพราะเพลียจากอาการแพ้ท้อง วีรภาพเลยตื่นขึ้นมาดูลูกชายแทน พอเข้าไปใกล้ๆเตียงก็ได้กลิ่นเหม็นที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี กลิ่นของลู่เหวินปล่อยระเบิดแต่เช้าเลย
“ฮึก ปะ แหวะ” ลู่เหวินร้องบอกทั้งน้ำตาแถมยังทำท่าผะอืดผะอม เพราะได้กลิ่นอึของตนเองเกินจนจะรับได้ ทำให้วีรภาพอดที่จะขำลูกชายของตนเองไม่ได้ เพราะหมดสภาพเด็กจอมแสบเลยทีเดียว
การอาบน้ำให้ลู่เหวินวันนี้เป็นไปด้วยความง่ายดาย ลู่เหวินไม่งอแงเหมือนทุกวันเพราะอยากชำระร่างร่างกายให้สะอาดไร้กลิ่นเหม็นของอึของตนเองให้เร็วที่สุด พออาบเสร็จก็ถูกปะแป้งเด็กจนหอมฟุ้ง ก่อนจะถูกวีรภาพพาขึ้นไปนอนบนเตียงกับวิระที่หลับสนิทอยู่ ลู่เหวินที่พอถูกมาวางบนเตียงหลังใหญ่ก็ขยับไปนอนซุกวิระจนวิระรู้สึกตัวและค่อยๆลืมตาขึ้นมามอง พอเห็นว่าเป็นลู่เหวินก็ก้มจูบหน้าผากลูกชายเบาๆ ต้อนรับเช้าวันใหม่
“ป๊าอาบน้ำให้ตัวหอมเชียวนะคนเก่ง”
“มะๆ หม่ำๆ”
“หิวแต่เช้าเลย จะอ้วนอยู่แล้วครับลู่เหวิน โตขึ้นเดี๋ยวไม่หล่อนะ”
“หยออออ”
“ใช่ครับ ไม่หล่อแน่ๆ แต่จะเป็นหนุ่มน้อยมีพุงน่าฟัดแทน” วิระบอกก่อนจะใช้หน้าฟัดพุงน้อยๆของลูกชาย ลู่เหวินก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากตามประสา จนวีรภาพเดินออกมาจากห้องน้ำ วิระถึงปล่อยลูกชาย
“วีร์ แต่งตัวเสร็จแล้วพาลูกลงไปกินข้าวก่อนนะ เดี๋ยวฉันตามไป”
“ได้สิ ว่าแต่เช้านี้มีอาการเวียนหัวมั้ย”
“ไม่มี ลู่เหวินครับ ลงไปกับป๊านะครับจะได้หม่ำๆอาหารเช้า”
“หม่ำๆ ปะ”
“รู้แล้วๆตัวแสบ ลงไปหม่ำข้าวกัน” วีรภาพอุ้มลูกชายขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะพาลู่เหวินลงไปกินข้าวเช้าพร้อมกับทุกคน แต่ถ้าเกิดแม่จะป้อนข้าวลู่เหวินเองวีรภาพก็จะกลับขึ้นมาดูแลวิระต่อ เพราะวิระค่อนข้างอ่อนเพลียในช่วงนี้ เกิดหน้ามืดล้มลงพื้นขึ้นมาจะแย่เอาได้
และทุกอย่างที่คิดไว้ก็เป็นอย่างที่วีรภาพคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด เพราะหลังจากพาลู่เหวินลงไปกินข้าวโดยมีเมียของอี้เฟิงและแม่ช่วยดู วีรภาพก็รีบกลับขึ้นมาดูวิระ และสิ่งที่วีรภาพเห็นก็คือ วิระกำลังจะหน้าคว่ำลงพื้นหลังจากที่ลุกขึ้นมาจากเตียงนอน แต่โชคดีที่วีรภาพเข้าไปอุ้มไว้ได้ทันเลยไม่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น
“เกือบไปแล้วเห็นมั้ย”
“อย่าดุได้มั้ย เวียนหัวจัง เหมือนจะอ้วกเลย”
“ไปหาหมอมั้ย ทำไมดูแย่ลงทุกวันเลย”
“ไปหาทำไมทุกวัน มันก็แค่อาการแพ้ท้อง เดี๋ยวก็หาย อุ้มเข้าห้องน้ำหน่อยวีร์อยากอ้วกแล้ว”
“โอเค เดี๋ยวอาบน้ำให้เลยแล้วกัน” แม้วีรภาพจะอาบแล้วก็ตามแต่วีรภาพก็ไม่อาจปล่อยให้วิระอาบคนเดียวได้ เดี๋ยวจะล้มลงพื้นอีก ช่วงนี้ให้ห่างตาไม่ได้เลยจริงๆ
.........................................50%....................................................
งานเลี้ยงฉลองถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตที่โรงแรมหรูกลางเมือง ลู่เหวินถูกจับใส่ชุดสูทที่ถูกสั่งตัดพิเศษสำหรับเด็กด้วยผ้าเนื้อดีที่สวมใส่แล้วไม่ระคายเคือง เป็นชุดคู่ที่ถูกสั่งตัดให้แก่ลมหนาวด้วยเช่นกัน แต่ต่างกันตรงแค่สีชุดนั้น ส่วนปลายฝนก็สวมชุดสีเดียวกับฝาแฝดเพียงแต่เป็นชุดกระโปรงแบบที่สวมใส่แล้วดูน่ารังน่าชังดั่งเจ้าหญิงน้อยของวงศ์ตระกลู เด็กๆทั้งสามคนที่เป็นจับจ้องต่อสายตาของแขกในงาน เนื่องจากเป็นทายาทของตระกูลหยางกันทุกคน วิระเองที่ไม่เคยได้ออกงานสังคมในฐานะภรรยาของวีรภาพแต่แขกในงานก็พอจะรู้เพราะมีข่าวลือมาเยอะว่าภรรยาของวีรภาพนั้นเป็นคนจัดการศัตรูของตระกูลหยางที่เอาเท้าเข้ามาแหย่จนไม่เหลือแม้แต่เหงาหัว พอวิระมองไปทางไหน ผู้คนก็จะค่อนข้างเกร็งเพราะข่าวลือโหดๆนั่น แต่บางคนที่ไม่รู้ก็แอบมองวิระด้วยสายตาเหยียดหยามไม่น้อย แต่วิระก็ไม่คิดจะสนใจ
“ลู่เหวินครับ ไม่เอาครับไม่ลงเดินนะครับ” วิระบอกลูกชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สำหรับเด็กและพยายามจะดิ้นลงพื้นให้ได้ วิระเองก็มีอาการแพ้ท้องอยู่เลยไม่สามารถลุกเดินไปไหน ลูกชายเลยออกอาการหงุดหงิดเพราะอยากลงเดินตามความซนของเด็กที่อยู่ในช่วงวัยหัดเดิน วีรภาพเองก็ต้องเดินไปคุยกับแขกในงาน วิระเลยไม่รู้จะทำยังไงกับลูกชายที่เริ่มจะดื้อแล้วดี
“อื้อ! มะๆๆ ลงๆๆ”
“ไม่ได้ครับ ม๊าเดินตามเราไม่ไหวนะครับลู่เหวิน”
“มะ!”
วิระส่งสายตาดุให้ลูกชายที่เริ่มจะดื้อขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากร่างกายวิระปกติ วิระจะไม่ว่าเลย นี่แค่ยืนไม่นานวิระก็มีอาการเวียนหัวแล้ว จะให้วิ่งตามลู่เหวินวิระคงจะได้แท้งลูกคนเล็กเสียก่อนที่จะได้คลอดเอาน่ะสิ
สองแม่ลูกนั่งทำสงครามสายตากัน จนวีรภาพที่เพิ่งปลีกตัวออกมาจากแขกในงานได้ก็เดินเข้ามาหาก่อนจะนั่งลงข้างๆกายของวิระที่ยังไม่เลิกจ้องตาทำสงครามกับลูกชาย
“เป็นอะไรกันทั้งสองคน”
“ก็ลู่เหวินน่ะสิจะลงเดิน พอไม่ให้ลงก็เริ่มออกฤทธ์”
“ใจเย็นๆ อย่าโกรธลูกเลย ลูกอยู่ในช่วงวัยที่กำลังดื้อ”
“ไม่ได้โกรธ แค่กลัวว่าปล่อยลูกเดินแล้วจะไปซนจนเจ็บตัว คนเต็มงานแบบนี้อันตราย” อารมณ์ของว่าที่คุณแม่ลูกสองเหวี่ยงไปมาทำให้วีรภาพที่เริ่มชินกับอาการขึ้นลงแบบนี้ก็เตรียมการตั้งรับไว้เสมอ เช่น วีรภาพต้องหัดใจเย็นกว่าคนท้องและคอยรับฟังโดยที่ไม่ต้องโต้เถียงมากจนคนท้องหงุดหงิด ตามน้ำได้ก็ควรตาม
“งั้นเดี๋ยวให้เฟยมาอยู่เป็นเพื่อน อยากกินอะไรบอกเฟยนะ เดี๋ยวฉันจะพาลูกไปเดินสักแปป จะได้ไม่งอแง”
“อื้อ งั้นก็ดูลูกดีๆนะ” วิระบอกก่อนจะหยิบผลไม้บนโต๊ะเข้าปาก ก่อนจะมองไปรอบๆกาย ซึ่งพอเห็นคนเยอะๆแล้วก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเลย แถมกลิ่นน้ำหอมของแขกในงานยังตีกันคลุ้งในอากาศอีก วิระชักเริ่มอยากจะอาเจียนขึ้นมาแล้วสิ
“วิระนายไหวรึเปล่า หน้าเริ่มซีดแล้ว” เฟยที่เข้ามาดูวิระตามที่นายสั่งก็รีบถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเริ่มซีดเซียว
“ไหว แต่อยากได้น้ำส้มคั้นสดๆ ไปเอามาให้หน่อยได้มั้ยเฟย”
“ได้สิ งั้นอย่าลุกไปไหนนะ ฉันจะไปบอกพ่อครัวของโรงแรมทำให้”
“อืม รีบๆไปเอามาก็พอ” เพราะถ้าได้น้ำส้มที่อมหวานอมเปรี้ยวและคั้นสดๆ วิระคงรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
วิระที่นั่งรอเฟยอยู่ที่โต๊ะสักพัก ก็มีผู้หญิงสองสามคนเดินเข้ามาที่โต๊ะก่อนจะใช้สายตามองเหยียดวิระและเริ่มพูดถากถางขึ้นทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน วิระเดาว่าคงเป็นลูกหลานของผู้ร่วมงานที่ถูกเชิญมา ถึงทำตัวไร้มารยาทแบบนี้กับคนอื่นได้แบบไม่แคร์มารยาททางสังคม
“นี่น่ะเหรอภรรยาของคุณวีรภาพ จืดชืดสิ้นดี ไม่เห็นเหมาะสมกันสักนิด”
“นั่นสิ แล้วก็ไม่เห็นจัดงานแต่งสักที สงสัยจะเป็นแค่คู่ขามากกว่า อีกไม่นานคงถูกทิ้ง หึ!”
“ขอโทษนะครับ เรารู้จักกันเหรอ ถ้าจะมาพูดจาเสียดสีได้แค่นี้ก็รีบถอยหลังออกไปไกลๆซะ” วิระบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง จากตอนแรกที่เริ่มอาการดีขึ้น พอคนพวกนี้เดินเข้ามาใกล้ กลิ่นน้ำหอมฉุนๆก็ทำให้อาการเวียนหัวกลับมาและมันทำให้วิระหงุดหงิด
“ปากดีนักนะ แกมีสิทธิ์อะไรมาไล่ฉัน เป็นแค่เมียเก็บแท้ๆ”
“เมียเก็บ?”
“ใช่น่ะสิย่ะ ถ้าเค้าให้เกียรติเค้าคงไม่เก็บไว้แบบนี้ น่าสมเพชจริงๆเลย”
“น่าสมเพช? จะน่าสมเพชมากกว่านี้ถ้าภายในสามวิแล้วพวกคุณไม่เดินออกไปให้พ้นหน้าผม”
“กล้าดียังไงมาพูดกับพวกฉันแบบนี้ รู้มั้ยว่าพวกฉันเป็นใคร”
“ใช่! แค่ที่บ้านเรายกเลิกการค้ากับตระกูลหยางก็ขาดทุนแล้ว น้ำหน้าอย่างแกมีปัญญาชดใช้เหรอ”
“มีครับ เพราะผมรู้จักลูกค้าและหุ้นส่วนของตระกูลหยางทุกคนและพวกคุณเองก็คงจะเป็นลูกหรือหลานเท่านั้นไม่ได้มีสิทธิ์มาบริหารงานอยู่แล้ว และการที่มาเสียมารยาทแบบนี้ ระวังจะเป็นคนเดือดร้อนเองมากกว่านะครับ เพราะคนแบบผมไม่เคยปรานีใครอยู่แล้ว” วิระที่หมดความอดทนหยิบปืนพกของตนที่พกติดตัวเสมอเวลาออกจากบ้านในชุดสูทของตนเองขึ้นมา ก่อนจะจ่อไปที่หน้าของหญิงสาวทั้งสามคนอย่างโมโห
เวียนหัวก็เวียนหัว อยากอ้วกก็อยากอ้วก หงุดหงิดจนเหมือนร่างกายจะระเบิดเพราะต้องมาฟังเรื่องไร้สาระอีก ยิงทิ้งให้หมดสะเลย น่ารำคาญ!
กรี้ดดดดดดดดดด*!*
เสียงกรีดร้องดังขึ้นไปทั่วงาน ทำให้ทุกคนหันมามองและจับจ้อง ทุกคนในงานเห็นวิระที่ยืนอยู่และจ่อปลายกระบอกปืนไปที่หน้าของสามสาวที่กำลังกรีดร้องไม่หยุด แต่เหมือนการกระทำพวกนั้นจะเรียกความหงุดหงิดให้วิระพอสมควร เฟยเองที่ถือน้ำส้มกลับเข้ามาในงานเลี้ยงก็รีบเดินเข้าไปหาวิระทันที วีรภาพและคนในครอบครัวก็เหมือนกัน
“วิระ ทำไมเอาปืนออกมาจ่อหน้าคนอื่นแบบนี้ล่ะ” วีรภาพที่ส่งลู่เหวินให้พ่อของตนเองเป็นคนอุ้มแทนก็รีบเดินเข้าไปหาวิระพร้อมถามขึ้นทันที
“เอามากรอกปากคน น่ารำคาญ”
“ไอ้คนชั้นต่ำ”
“ยังไม่หยุดพูดอีกนะ เดี๋ยวแม่ก็ยิงไม่เลี้ยง” วิระบอกออกมา ก่อนทำท่าจะขยับนิ้วมือเหมือนจะกดยิง จนทั้งสามคนตรงหน้าเริ่มหน้าซีดลงเรื่อยๆเพราะแววตาของวิระไม่มีแววที่ล้อเล่นเลยสักนิด
“พวกคุณกล้าดียังไงมาว่าภรรยาของผมชั้นต่ำ คนตระกลูหยางไม่อาจจะร่วมงานกับคนที่หยามเกียรติของเราได้ ต่อจากนี้เป็นต้นไป เราขอยกเลิกการทำงานกับตระกูลของพวกคุณทุกคน เฟยส่งแขก” วีรภาพพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่เต็มไปด้วยความจริงจัง ซึ่งซิ่นหลิงและลู่หลินก็ไม่ได้คัดค้าน เพราะทุกคนในตระกูลย่อมได้รับคำสอนมาว่าหากใครหยามเกียรติของตระกูลก็ไม่ต้องให้เกียรติคนพวกนั้นเช่นเดียวกัน
“เดี๋ยวเฟย” แต่ก่อนที่เฟยจะตามลูกน้องไปส่งแขกทั้งสามคนต้องหยุดชะงักหันหน้ามามองวิระที่เรียกตนเองไว้ก่อน
“อะไรเหรอวิระ”
“เอาน้ำส้มมาให้ฉันแล้วค่อยไป”
พอวิระบอกแบบนั้นเฟยเองก็ยิ้มเหยๆออกมา เพราะเฟยเองก็ลืมตัวเหมือนกันว่าตนเองถือน้ำส้มไว้ให้นายหญิงอีกคนของบ้านที่ไม่ว่าจะท้องลูกคนไหนก็ยังมีความโหดเกินปกติ ทั้งๆที่ตอนแรกคนในบ้านก็คิดว่าท้องนี้วิระจะพูดง่ายขึ้น ที่ไหนได้…. โหดเหมือนเดิม สงสารนายจริงๆ มีเมียโหดขึ้นทุกวัน เหอะๆ
.............................................100%...............................................
อย่าหือกับว่าที่คุณแม่ เพราะคุณแม่จะอ้อนคุณสามีแค่คนเดียวววว จรัมมมมมมมม