ขอนอนด้วยคนได้ไหม
ทำไม?
… ความจนมันถึงได้น่ากลัวแบบนี้นะ!
ฉันแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่ากลับมาที่คอนโดได้อย่างไร ฉันนั่งโง่ๆ อยู่ในสวนเล็กๆ ด้านล่างคอนโดมิเนียม มองดูผู้คนเดินผ่านไปมา จนฟ้าเริ่มมืด ฉันยังไม่อยากขึ้นไปในห้องที่มีเพียงฉันอยู่ตามลำพังกับความคิดลบๆ ในหัวสมอง ในมือยังกำโทรศัพท์มือถือที่พยายามต่อสายไปหาคุณพ่อ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อท่านได้ นี่ฉันโดนลอยแพจริงๆ ใช่ไหม
โดนพ่อบังเกิดเกล้าทอดทิ้งให้อยู่ต่างบ้านต่างเมืองเพียงคนเดียว และตกงานแบบสายฟ้าแลบกลายเป็นสาวน้อยลูกครึ่งจนตรอก
“ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ ฮือๆๆ”
น้ำตาเป็นเพียงสิ่งเดียวที่อยู่เป็นเพื่อนฉันในยามยากเช่นนี้
“ไม่ได้ ไม่ได้ มินนี่เธอจะต้องเข้มแข็งเข้าไว้สิถึงจะถูก”
ฉันบอกกับตัวเอง ยกมือปาดคราบน้ำตาออก ท้องไส้มันก็ร้องโครกครากบอกว่าเลยเวลาทานอาหารเย็นมามากแล้ว ฉันเพิ่งจะสังเกตว่าผู้คนที่เดินกันพลุกพล่านไปมาเริ่มน้อยลงจนบางตา
“งือ หิวจัง”
นึกได้ว่าบนห้องยังมีมาม่าคัพที่ฉันซื้อตุนเอาไว้อยู่หลายกระป๋อง มันเป็นอาหารยอดนิยมในยามขัดสน ฉันลุกขึ้นเดินเข้าไปในอาคารตรงไปยังลิฟต์ บรรยากาศตอนนี้มันเงียบมากใต้อาคารคอนโดแทบจะไม่เจอใครเลย พอมองดูนาฬิกาที่แขวนไว้บอกเวลาตีหนึ่งครึ่งถึงได้เข้าใจว่ามันเป็นเวลาดึกมากนั่นเอง
ติ๊ง! ประตูลิฟต์เปิดออก ฉันเดินเข้าไปในลิฟต์แล้วกดปิดประตู ทว่าประตูลิฟต์ยังไม่ทันได้ปิดสนิทก็มีรองเท้ายื่นเข้ามาขัดประตูเอาไว้
“ไปด้วยสิ”
นายตัวซวยเดินเข้ามาในลิฟต์ เขาปรายตามองฉันแวบหนึ่งก่อนจะกดหมายเลขชั้นที่ห้องพักของเราสองคนอยู่
“วันนี้กลับดึก”
ฉันกลอกตาขึ้นมองหน้าเขา เห็นนายแจสเปอร์ยืนกอดอกพิงผนังลิฟต์ด้านหนึ่ง คิ้วเข้มของเขาเลิกขึ้น
“ไม่ได้เอาปากมาด้วยเหรอยัยเฉิ่ม” เหมือนเขาจะยั่วโมโหฉัน แต่ตอนนี้ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะไปต่อล้อต่อเถียงกับใคร
“…”
“แปลกดีนะอยู่ห้องติดกันแต่เพิ่งจะเคยขึ้นลิฟต์ด้วยกัน”
เขามองฉันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมคุยด้วยเขาก็เลยหยุดพูด จนประตูลิฟต์เปิดออก นายแจสเปอร์เดินออกไปก่อนเป็นคนแรก ฉันเดินก้มหน้าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากตามไปห่างๆ มองเห็นลางๆ ถึงสิ่งของที่วางแกะกะทางเดินและเงาสูงใหญ่ของเขาที่หยุดอยู่หน้าประตูห้องตัวเอง
“จะย้ายห้องแล้วเหรอ”
“ห๊า วะ… ว่าไงนะ ไม่นะ แล้วคืนนี้ฉันจะไปนอนที่ไหน”
พอฉันเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าข้าวของเครื่องใช้รวมทั้งกระเป๋าเสื้อผ้าของฉันถูกนำออกมาวางไว้นอกห้องจนหมด ที่ประตูติดป้ายเอาไว้บอกว่าฉันถูกยกเลิกสัญญาเช่าเนื่องจากผิดสัญญาไม่จ่ายค่าเช่าห้อง ฉันยืนขาแข็งอยู่หน้าห้องที่กองเต็มไปด้วยข้าวของ น้ำตามันก็ไหลออกมาเองเป็นสาย ความซวยมันยังไล่ลาตามฉันมาจนถึงห้องอีกงั้นเหรอ
“อ้าว โดนไล่ออกงั้นเหรอ”
นายแจสเปอร์พูดขึ้นลอยๆ ใบหน้าของเขานิ่งไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยทั้งที่ฉันต้องถูกไล่ออกจากร้านกาแฟก็เพราะเขามีส่วนผิด
“ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะนาย นายมันตัวซวย” ฉันโบ้ยความผิดทุกอย่างไปให้เขาก่อนจะทรุดลงกับพื้นภาพตรงหน้าพร่ามัวไปด้วยม่านน้ำตา
“พูดบ้าๆ ยัยเฉิ่ม”
เขาส่ายหน้าก่อนจะเข้าห้องแล้วปิดประตูใส่ฉันเสียงดังปัง ทิ้งให้ฉันนั่งอยู่ในโถงทางเดินเพียงลำพังในเวลาเกือบตีสอง ตอนนี้คนเดียวที่ฉันพอจะนึกขึ้นได้ก็มีแต่วาวาเท่านั้น ฉันจึงตัดสินใจโทรไปหานาง รอปลายสายอยู่นานกระทั่งวาวารับสาย
“อือ โทรมาทำไมดึกๆ ดื่นๆ ป่านนี้มินนี่” เสียงของนางงัวเงียปนหงุดหงิด
“วาวาฉันขอโทษที่โทรมารบกวนตอนดึกแบบนี้นะ คือฉันถูกไล่ออกจากที่พัก คืนนี้ฉันขอไปนอนห้องเธอก่อนได้ไหม”
“ว่าไงนะมินนี่”
“ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้วตอนนี้ ฉัน…”
ตื๊อๆๆๆ จู่ๆ ปลายสายก็ตัดไปซะอย่างงั้น
ฉันพยายามติดต่อกลับไปอีกหลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถติดต่อวาวาได้อีก บางทีโทรศัพท์ของวาวาแบตเตอรี่อาจจะหมด และที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือฉันยังไม่เคยไปเที่ยวเล่นที่ห้องของนางเลย นางมักจะบ่ายเบี่ยงตลอดเวลาฉันขอไปที่ห้อง
ฉันกลับมาสู่ความมืดอีกครั้ง หนทางเดียวที่คิดได้พังทลายไม่เป็นท่า รอบตัวฉันมีแต่คนที่ไม่รู้จัก ฉันแทบไม่มีใครเลยในเมืองไทย เพิ่งจะรู้ว่าการเอาตัวรอดในสถานการณ์แบบนี้มันยากเหลือเกิน ฉันมองเลยประตูห้องของตัวเองไปยังประตูอีกบาน
ใช่สิ! ที่ฉันต้องเป็นแบบนี้เขาก็มีส่วนผิด
ก็อก! ก็อก! ก็อก!
มันอาจเป็นความคิดที่บ้าที่สุดเท่าที่ฉันคิดได้เลย
“มีอะไร” นายแจสเปอร์เปิดประตูออกมา
“ฉันถูกไล่ออกจากห้อง ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้วด้วย ฉันไม่รู้จะไปไหน ฉันไม่รู้จักใครเลย ขอพักที่ห้องของนายสักคืนได้ไหม แค่คืนเดียวเท่านั้น”
“อ่อ”
นายแจสเปอร์ฉีกยิ้ม ใช่แล้วความจริงเขาก็คงไม่ใช่คนจิตใจโหดร้ายอะไรหรอก ดูจากที่เขาเหมือนจะช่วยฉันเอาไว้สิ ถึงแม้นว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเลวร้ายสุดๆ ก็เหอะ
“ไปนอนที่อื่น ห้องฉันไม่ใช่โรงแรม”
ปัง!
พูดจบผู้ชายใจร้ายที่ชื่อแจสเปอร์ก็ปิดประตูห้องใส่หน้าฉัน
“…”