บนโต๊ะที่ไอ้ไนท์เดินนำพวกผมมา มีผู้ชายหน้ายาวผิวขาวจั๊วหุ่นสูงบางเหมือนนักร้องเกาหลีนั่งอยู่หนึ่งคน ใบหน้าไปคนละทิศคนละทางกับไอ้ไนท์เลย ถ้าไอ้ไนท์เป็นชาวตะวันตก ไอ้ตี๋นี่ก็เป็นชาวตะวันออก ไม่มีทางที่สองคนนี้จะเป็นพี่น้องกันจริงๆ
ปากบอกว่าน้องชาย หึ ดูแล้วคงเป็นเด็กในสังกัดมันมากกว่า /แล้วมุงจะเดือดร้อนทำไม (¬‿¬)
“ใครครับ?”
เมื่อเห็นไอ้ไนท์พาพวกผมสองคนมาที่โต๊ะ ไอ้ตี๋หน้ายาวนั่นก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างงงๆ แถมยังมองผมสองคนด้วยสายตาพินิจพิจารณาเป็นพิเศษโดยเฉพาะกับไอ้เอิร์ธ ไอ้ตี๋นั่นจ้องเพื่อนผมเหมือนเห็นศัตรูคู่แค้นมาจากชาติก่อนยังไงยังงั้น ที่ผมบอกว่าชาติก่อนก็เพราะมั่นใจมากว่าไอ้เอิร์ธไม่เคยรู้จักไอ้ตี๋นั่นมาก่อน
หืม... เดี๋ยวนะ หรือว่าไอ้ตี๋นี่จะเล็งพี่กันต์อยู่พอเห็นไอ้เอิร์ธก็เลยเขม่น
หรือเปล่าวะ?
“น้องที่รู้จักน่ะ นี่เอิร์ธ นั่นตะวัน ส่วนนี่ปายเพิ่งกลับจากเมืองนอก”
ไอ้ไนท์แนะนำพวกเราเป็นรายตัว ไอ้เอิร์ธยิ้มให้ไอ้ตี๋ที่ชื่อปายอย่างมีมนุษย์สัมพันธ์ดี ส่วนผมแค่สบตาแบบผ่านๆ ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ยังไงก็คงเจอกันแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว จะว่าไปไอ้ตี๋นี่เพิ่งกลับจากนอกเหรอ เอ... หรือว่ารู้เรื่องพี่กันต์มีเมียก็เลยรีบกลับมา ถ้าเป็นงั้นจริงก็โคตรนับถือเลย แต่มันจะใช่อย่างที่ผมคิดจริงเหรอ
“นั่งสิ” ไอ้ไนท์ดึงเก้าอี้ตัวข้างๆ ออกให้ไอ้เอิร์ธนั่ง เล่นเอาไอ้ตี๋ปายมองด้วยสายตาไม่พอใจ ราวกับจะบอกว่าที่ตรงนั้นควรจะเป็นของมันมากกว่า
มีใครคิดอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า... ไม่ใช่ว่าผมแค่มะโนไปเองเรื่องไอ้ตี๋นี่กับพี่กันต์หรอกเหรอ แต่ความจริงแล้วที่ไอ้ตี๋เขม่นไอ้เอิร์ธเป็นเพราะกำลังหวงไอ้ไนท์? ท่าทางไอ้ตี๋ตอนนี้เหมือนหมาขี้อิจฉาที่กำลังมองเจ้านายเล่นกับแมวไม่มีผิด
ผมล่ะขำ มึงเข้าใจผิดโขเลยล่ะไอ้ตี๋เอ๊ย
“ครับ”
ไอ้เอิร์ธพยักหน้าแล้วนั่งลงเก้าอี้ที่ไอ้ไนท์เลื่อนออกให้อย่างว่าง่าย ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ากำลังถูกไซบีเรียนสายพันธุ์จิ้งจอกจ้องจะฝังเขี้ยวเล็บใส่ นอกจากรู้สึกเป็นห่วงในความซื่อบื้อไม่รู้สถานการณ์ของไอ้เอิร์ธแล้วผมยังคงรู้สึกรำคาญใจที่ต้องนั่งร่วมโต๊ะกับคนแปลกหน้า แต่จะให้ลากไอ้เอิร์ธออกจากโต๊ะไปเลยก็ออกจะระห่ำเกินตัว ทางเลือกของผมคือเดินอ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้ามอย่างฝืนๆ แต่เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ถึงกับผงะเพราะคนที่นั่งตรงข้ามผมและกำลังจ้องตาผมอยู่ตอนนี้คือไอ้ไนท์!
เหี้ย เมื่อกี้มัวแต่คิดอะไรฟุ้งซ่านจนไม่ทันสังเกตว่าเก้าอี้ที่ไอ้ไนท์เลื่อนออกให้เอิร์ธนั่งเป็นตัวที่ไอ้ไนท์เคยนั่งและอยู่ตรงข้ามกับไอ้ตี๋ เท่ากับว่าตอนนี้ไอ้เอิร์ธกับไอ้ตี๋นั่งตรงกัน ส่งสายตาให้กันปิ๊งๆ ได้เลย
ส่วนไอ้ไนท์นั่งที่ใหม่ซึ่งดันตรงข้ามกับผมพอดี ถึงจะบอกว่าเก้าอี้ที่โต๊ะมีสี่ที่ แต่ตามหลักแล้วคนมาใหม่ก็ต้องนั่งที่ใหม่ มีที่ไหนยกที่นั่งตัวเองให้คนใหม่นั่ง แล้วตัวเองไปนั่งที่ใหม่ การที่ผมนั่งตรงข้ามกับไอ้ไนท์ เงยหน้าขึ้นเจอ จะคีบจะตักอะไรก็ต้องใช้หม้อร่วมกับมันทำเอาผมกระอักกระอ่วนจนอยากจะลุกออกจากโต๊ะไปให้มันรู้แล้วรู้รอด
“เอาเลย ตายสบาย มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง”
ไอ้ไนท์พูดกับพวกผมสองคน ดวงตาคมเข้มของมันมองผมแล้วยิ้มให้อย่างใจดี ผมว่ามันต้องจงใจนั่งแบบนี้แน่ ผมถลึงตาใส่ไอ้ไนท์ อยากด่าแต่ด่าไม่ได้ ทำได้แค่เข่นฆ่ามันทางสายตาเท่านั้น ก่อนหันไปเรียกไอ้เอิร์ธเพื่อหาเรื่องลุกออกจากโต๊ะ ต้องการพื้นที่สงบจิตสงบใจ
“เอิร์ธไปตักเนื้อกัน”
“อืม ไปสิ”
ไอ้เอิร์ธลุกตามผมออกมา พวกผมตรงมาที่โต๊ะอาหาร ผักกับเนื้อสดแยกกันอยู่คนละโต๊ะ เรียงต่อกันยาวเป็นรูปตัวแอล อีกฝั่งเป็นบ่อกุ้งสด ใครอยากกินก็จับน็อคเอาเอง เวลามากับบีบีผมทำบ่อย แต่ว่าตอนนี้ผมทำแค่มองผ่าน ไม่ใช่ชอบกุ้งนะ เพียงแต่ความรู้สึกอยากอาหารของผมมันเหือดหายไปหมดตั้งแต่ที่เจอไอ้ไนท์แล้ว
ผมกับไอ้เอิร์ธแยกกันตักของที่ชอบ แต่ก็มาเจอกันตรงกลางอยู่ดี ผมถือโอกาสพูดขึ้นมา “เราแยกโต๊ะนั่งไม่ดีกว่าเหรอ”
“นั่งๆ ไปเหอะ อย่าเรื่องมาก”
มันบอกผมแล้วก็เดินออกไปเลย เอ้า! ไอ้นี่... หาว่ากูเรื่องมากเฉยเลย แม่งเอ๊ย!
ผมหันมาคีบอาหารต่ออย่างฉุนเฉียวรู้สึกตัวอีกทีเบคอนก็กองเต็มจานเป็นกองฟางจะล้มอยู่แล้ว ไอ้ฉิบหาย เอาคืนได้ไหมวะเนี่ย จะน่าเกลียดไหม ผมหันซ้ายหันขวาดูว่ามีใครมองหรือเปล่า ไอ้ไนท์ไม่รู้โผล่มาจากไหนชะโงกหน้าสวนมาพอดี ผมร้อง ‘เฮ้ย’ หัวใจแทบร่วง เมื่อกี้หน้ามันเกือบชนกับปากผมอยู่แล้ว ดีที่ยังไหวตัวหลบทัน
“อะไร ทำหน้าอย่างกับเห็นผี”
มึงน่ากลัวยิ่งกว่าผีอีก!
ไอ้ไนท์มองสีหน้าแตกตื่นของผมด้วยสายตาเอือมระอา
“มึงนั่นแหละโผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“กูจะเอาเบคอน มึงก็แค่บังเอิญยืนอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่คิดอะไรก็อย่าทำตัวมีพิรุธ เดี๋ยวคนเขาจะดูออก”
“คะใคร ใครมีพิรุธ”
ผมหน้าร้อนวูบ มองรอยยิ้มกวนส้นตีนของมันแล้วอยากจะเอาเบคอนฟาดหน้ามันจริงๆ
“หืม... มึงชอบเบคอนมากขนาดนั้นเลยเหรอ กินหมดไหมถามจริง”
ไอ้ไนท์มันสะดุดตาเข้ากับเบคอนในจานผม กูถือตั้งนานมึงเพิ่งสังเกตเรอะ แต่ช่างเถอะ มึงไม่ต้องมาเยาะเย้ยกูเลย สัส
“เรื่องของกู ไม่ต้องยุ่ง”
“กูช่วยกินได้นะ เนื้อแบนๆ ก็อร่อย แต่จะให้ดีก็ต้องเป็นไส้กรอกกลมกล่อมกว่าเยอะ” มันยิ้มอย่างมีเลศนัย
“อัยยยยสัส!”
“ตะวันมึงจะทำสถิติเหรอ เบคอนพูนเป็นปราสาททรายเลย จะกินหมดไหมนั่น”
พอผมกลับมาที่โต๊ะไอ้เอิร์ธก็ท้วงทำนองเดียวกับไอ้ไนท์เปี๊ยบ
ปราสาททรายพ่องมึงดิ
ผมถลึงตาใส่มันอย่างไม่สบอารมณ์ วางจานลงบนโต๊ะดังปึ้กจนไอ้ตี๋ที่นั่งข้างๆ หันมามองแต่ผมไม่สนใจ ทิ้งตัวลงนั่งแล้วคีบเบคอนใส่เตาย่างอย่างเอาจริงเอาจัง แซ็วดีนัก จะกินให้หมดให้ดู
เอ... แต่เดี๋ยวนะ มื้อนี้ไอ้ไนท์บอกว่าจะเลี้ยงนี่นา งั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องฝืนกินน่ะสิ โฮ่ๆ ใช่แล้ว กินไม่หมดถูกปรับก็เงินไอ้ไนท์นี่หว่า ไม่เกี่ยวกับผม ผมจะเดือดร้อนไปไย
พอคิดได้แล้วผมก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะกินเบคอนให้หมดจาน หันไปคีบอย่างอื่นขึ้นเตาย่างอย่างสบายอารมณ์
ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผมคิดตกแล้วไอ้ไนท์ก็เดินกลับมา ในจานที่มันถือเต็มไปด้วยไส้กรอกที่ถูกจัดวางเรียงเป็นชั้นอย่างสวยงาม แถมยังวางจานไส้กรอกลงตรงหน้าผมอีก สัส ผมแทบอยากจะหักตะเกียบในมือแล้วเอาทิ่มนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ของมันให้รู้แล้วรู้รอด
ตอนแรกบอกจะเอาเบคอนแต่หลังจากพูดแทะโลมผมแล้วเสือกจัดไส้กรอกมาเต็มจาน ดูยังไงแม่งก็เจตนาไม่บริสุทธิ์ชัดๆ มันเล่นยั่วโมโหผมซึ่งหน้าแบบนี้ จะไม่ให้ผมเกลียดได้ยังไง
“อ้าวไหนว่าจะไปเอาปู” ไอ้ตี๋ท้วงด้วยสีหน้ามึนงงบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้รู้เลยว่าภายในไส้กรอกจานนั้นมีความนัยอะไรซ่อนอยู่
“คิดไปคิดมาปูกินยาก พี่ขี้เกียจแกะ ไส้กรอกดีกว่ากลืนง่ายดี”
ไอ้ไนท์ตอบยิ้มๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่ว่าทำไมตอนพูดต้องชำเลืองมองมาทางกูด้วยวะ คนอื่นไม่มีใครสงสัยคำพูดของมันเลย มีแต่ผมนี่แหละที่สะดุ้งสะเทือนอยู่คนเดียว
ผมพยายามไม่แสดงอาการ ทำตัวปกติเหมือนไอ้เอิร์ธกับไอ้ตี๋ปาย ยื่นตะเกียบไปพลิกเบคอนบนเตาเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ไอ้ไนท์ก็จะกระตุกต่อมอารมณ์ผมอีก
“กินได้นะ กูไม่หวง”
มันบอก พลางไส้กรอกข้ามมาวางลงในน้ำซุปฝั่งผมอย่างมีน้ำใจอีก ไอ้สัส! กูไม่ต้องการ
ผมจ้องมันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ไอ้ไนท์กลับลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม่งเอ๊ย ชอบนักยั่วโมโหกูเนี่ย
“พี่ไนท์ขอไส้กรอกผมบ้าง”
ไอตี๋ปายไม่ยอมน้อยหน้า มันยื่นจานออกไปขออันที่สุกแล้วจากไอ้ไนท์
“เอาเยอะไหม”
“สองสามชิ้นก็พอครับ”
ไอ้ไนท์คีบไส้กรอกใส่จานให้ไอ้ตี๋อย่างไม่หวง
หลังจากนั้นบรรยากาศบนโต๊ะก็เงียบสงบสักที ต่างคนต่างกิน ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก แต่แล้ว... จึก!
ตะเกียบสองคู่แตะลงบนเนื้อชิ้นเดียวกัน ผมกระดิกคิ้ว เลื่อนสายตาขึ้นมองก็สบสายตาเข้ากับไอ้ไนท์อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
อะไรจะใจตรงกันขนาดนี้วะ มันต้องจงใจเล็งเนื้อชิ้นเดียวกับผมแน่ๆ ใจผมอยากแย่งเนื้อมาแล้วกินหยามใส่หน้ามันไปเลย ให้มันรู้ว่าใครเป็นผู้ชนะ แต่ที่โต๊ะนี่ไม่ได้มีแค่ผมกับมันเนี่ยสิ สิ่งที่คิดกับสิ่งที่ทำเลยต่างกันลิบลับ ผมปล่อยเนื้อเปลี่ยนมาคีบผักในหม้อแทน
“มึงเอาไปสิ”
ไอ้ไนท์มันคีบเนื้อให้ผม ใจกว้างเป็นแม่น้ำโขงเลยนะมึง ไม่ต้องหวังดีกับกูขนาดนั้นก็ได้
“....” ผมมองเนื้อในจานนิ่ง ความกลัวว่าคนอื่นจะรู้ความสัมพันธ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ระหว่างผมกับไอ้ไนท์ทำให้ผมตอบสนองต่อการกระทำของมันช้า ทั้งที่ไม่มีใครมานั่งจับผิดผมสักนิด เป็นผมที่ร้อนตัวอยู่ฝ่ายเดียว
ผมอยากเขี่ยเนื้อชิ้นนี้ทิ้งด้วยซ้ำ แต่ก็จะกลายเป็นมีพิรุธอีก เลยข่มใจกินให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราว
“เฮ้ย เก่งว่ะ” เสียงไอ้ตี๋ปายดังขึ้น มันกำลังชื่นชมไอ้เอิร์ธที่แกะกล้ามปูกินอย่างช่ำชอง ข้างๆ ไอ้เอิร์ธมีเศษกุ้งกับกระดองปูกองใหญ่วางอยู่ โห ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามันกินไปเยอะขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงว่าไม่ได้ยินเสียง ที่แท้ก็ซุ่มกินนี่เอง
ไอ้เอิร์ธมันช่ำชองเรื่องกินปูกินกุ้งมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ขนาดไอ้ตี๋ปายยังชม ผมไม่แปลกใจหรอก เห็นมันแกะง่ายแบบนั้นก็อยากได้บ้าง
“แกะให้กูบ้างดิเอิร์ธ”
“อยากกินแกะเอง” มันบอกแบบมะนาวไม่มีน้ำ ไอ้เหี้ย ใจดำ กูแกะเองก็ได้วะ
ผมเอื้อมมือไปหยิบปูที่สุกแล้วมาวางตรงหน้าแล้วทุบด้วยค้อนเล็กๆ ที่มีไว้สำหรับทุบกระดองปู
ปั้ก!
“อึก!”
ทุบปูตรงนี้ แต่เสียงกลับดังมาจากตรงโน้น
ผมเงยหน้าขึ้น ก็เห็นไอ้ไนท์เอามือปิดตา
“หืม? เกิดอะไรขึ้น”
ผมหยุดมือทันควัน มองไอ้ไนท์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างงงๆ อย่าบอกกูนะว่าเศษปูที่กูทุบกระเด็นเข้าตามัน จะบอกว่าซวยหรือโคตรซวยดีล่ะเนี่ย อะไรจะแม่นขนาดน้านนน
“พี่ไนท์?” ไอ้ตี๋ปายลุกพรวดพราดขึ้นถามด้วยสายตาร้อนรน ท่าทางเดือดร้อนกว่าเจ้าตัวซะอีก
“สงสัยปูกระเด็นเข้าตา” ไอ้ไนท์บอกพลางกะพริบตาข้างนั้นถี่ๆ ท่าทางทรมานมาก ผมถึงกับพูดไม่ออก จะขอโทษก็กระดากปาก เลยได้แต่มองอย่างทำอะไรไม่ถูก
“ผมว่าพี่ไปห้องน้ำเถอะ” ไอ้เอิร์ธรีบบอก
“อืม” ซึ่งไอ้ไนทก็พยักหน้าเห็นด้วย มันลุกขึ้น
ไอ้เอิร์ธกับไอ้ตี๋ทำท่าจะลุกออกจากโต๊ะไปพร้อมกับไอ้ไนท์ “เอ่อ...”
มันสองคนชะงัก มองหน้ากันอย่างตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะอยู่ใครจะไป อย่างกับมองภาพศึกชิงนางอยู่ยังไงยังงั้น
ขณะที่มันสองคนต่อสู้แย่งชิงกันเงียบๆ อยู่นั้น ตัวผมที่เป็นต้นเหตุกลับนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก
“ไม่ต้อง พี่ไปเองได้”
ไอ้ไนท์บอกปัดความหวังดีของไอ้เอิร์ธกับไอ้ตี๋
“แต่...” พอไอ้ตี๋ปายเอ่ยปากจะแย้ง ไอ้ไนท์ก็ยกมือขึ้นห้าม มันกำลังจะเดินออกไป ผมที่เป็นตัวการก็อดรนทนต่อความรู้สึกผิดในใจไม่ไหว พรวดพราดขึ้นยืน
“กูไปเป็นเพื่อนมึงเอง”
บนโต๊ะเงียบกริบ แต่ก็ชั่วแวบสั้นๆ เท่านั้น ไอ้ไนท์มองผมอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่ขัดถ้าผมจะไปห้องน้ำกับมัน ยังไงผมก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเองอยู่แล้ว ถึงจะไม่ตั้งใจก็เถอะ
ไอ้เอิร์ธพยักหน้าเห็นดีเห็นงามที่เป็นผม ส่วนไอ้ตี๋เหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด ปล่อยให้ผมไปห้องน้ำเป็นเพื่อนไอ้ไนท์โดยไม่ปริปากบ่น
“กูมองไม่ถนัด”
ไอ้ไนท์มันพูดเสียงขัดๆ เคืองๆ ระหว่างโน้มหน้าเข้าไปใกล้กระจกที่ผนังห้องน้ำ
ผมกอดอกรออยู่ห่างๆ ได้ยินแบบนั้นก็นึกรำคาญใจ ไม่รู้แม่งอะไรนักหนา ครั้นจะไม่สนก็ไม่ได้ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนเดินเข้าไปหา
“มาให้กูดูหน่อย”
“อือ...”
มันหันกลับมาเผชิญหน้าผม เอนสะโพกพิงขอบอ่างย่อตัวลงให้อยู่ในระดับต่ำกว่าสายตาผมเพราะมันตัวสูงกว่า ผมโน้มหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจะช่วยดูเศษปูที่อยู่ในตาของมัน พยายามไม่ใส่ใจท่าทางของผมกับมันตอนนี้ ซึ่งถ้ามีคนเข้ามาเห็นละก็... ไม่อยากคิดเลยว่าจะเข้าใจผิดไปถึงไหนต่อไหน
“เจอแล้ว” มีเศษปูเล็กๆ อยู่ในตามันจริงด้วย ถ้าไม่เห็นกับผมคงต้องคิดว่ามันกรุเรื่องขึ้นมาเองแน่ๆ
“เอาออกได้ไหม”
ไอ้ไนท์ถามกลับมาไม่เต็มเสียงเหมือนเวลามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย เอ่อ... หยุด! กูอย่าเพิ่งคิดลึก
“จะให้กูเอาออกยังไง เป่าเหรอ” ผมถามอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี ถ้ามันเป็นสาวน้อย หรือพี่สาวน่าทะนุถนอมผมคงพยายามคิดหาวิธีช่วยมากกว่านี้ แต่นี่มีแต่อยากให้เสร็จเร็วๆ ก่อนจะมีคนเข้ามาเห็น
“ถอดคอนแทคเลนส์”
“ถอดยังไง ให้กูถอดให้เหรอ” ผมถามอย่างทึ่มๆ ไอ้ไนท์ไม่พูดมาก มันดันไหล่ผมออก แล้วหันกลับไปที่กระจก ฝืนถ่างตาที่ระคายเคืองและแดงเรื่อขึ้น ใช้นิ้วเขี่ยเลนส์ใสออก แล้ววักน้ำขึ้นล้างตาข้างนั้น ก่อนหันกลับมาหาผมด้วยใบหน้าที่เปียกครึ่งซีก
“ออกหรือยัง” มันถาม พลางย่อตัวลงให้ผมดูให้
ผมว่าออกไม่ออกตัวมันน่าจะรู้ดีที่สุดนะ แต่อาจเป็นเพราะความรู้สึกเคืองในตายังไม่หายไปมันก็เลยยังไม่แน่ใจ
ผมขี้เกียจบ่น มันขอให้ดู ก็ดูให้มันสักหน่อยแล้วกัน
ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ หรี่ตามอง แต่ก็รู้สึกไม่ถนัดเลยยกมือขึ้นจับหน้ามันแล้วใช้นิ้วดันเปลือกตามันขึ้นเพื่อที่จะมองให้ชัดๆ
“ไม่มี...”
ผมหลุบตาลงบอก แต่กลับรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาดเพราะผมดันสบสายตากับมันในระยะเผาขน ผมชะงักงัน เสียงพูดขาดหาย กระทั่งหัวใจยังเต้นผิดจังหวะ
อึก! นี่ผมเป็นบ้าอะไรเนี่ย ผมผละออกจากมันทันทีที่รู้ตัว เอ่ยอย่างลนลาน
“ไม่มีอะไรแล้ว ออกหมดแล้ว งั้นกูกลับโต๊ะก่อน”
“....”