ตอนที่2
มินนี่-ดาโซ
[มินนี่ TALKS]
‘ดาโซ’
‘คะคุณพ่อ มีเรื่องอะไรเหรอเปล่าคะ”
สีหน้าของคุณพ่อดูเหมือนมีเรื่องกลุ้มใจซึ่งมันไม่เคยปิดบังฉันได้มิดสักครั้ง คงเป็นเพราะเรามีกันเพียงสองคนพ่อลูกเท่านั้น
‘บริษัทใหญ่เรียกตัวพ่อให้กลับไปช่วยงานที่เกาหลี 3-4 เดือน’
‘เรื่องแค่นี้เองเหรอคะ หนูอยู่คนเดียวได้สบายมาก คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ ลูกสาวคุณพ่อเข้มแข็งจะตายไป จริงมั้ยคะ ทานอาหารเยอะๆ นะคะคุณพ่อดูซูบไปเยอะเลย’
ฉันตักอาหารใส่จานของคุณพ่อ
‘จริงด้วยสิ ลูกเข้มแข็งและสวยเหมือนคุณแม่ของลูก’
‘ค่ะ’
ฉันมองคุณพ่อตักอาหารเข้าปาก คุณพ่อของฉันเป็นชาวเกาหลีใต้ท่านทำงานเป็นวิศกรอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง พบรักกับคุณแม่ของฉันซึ่งเป็นผู้หญิงไทย คุณพ่อบอกฉันเสมอว่าคุณแม่เป็นคนสวยและจิตใจดี ฉันรู้จักคุณแม่ผ่านรูปถ่ายและคำบอกเล่าของคุณพ่อเท่านั้น เพราะท่านจากฉันกับคุณพ่อไปเนื่องจากอุบัติเหตุหลังจากคลอดฉันออกมาได้เพียงห้าเดือน ต่อมาบริษัทของคุณพ่อมีแพลนขยายบริษัทย้ายฐานการผลิตมาเปิดสาขาในประเทศไทย
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องย้ายตามท่านมาเรียนที่ประเทศไทย นับจากวันที่คุณพ่อของฉันถูกเรียกตัวกลับประเทศเกาหลีไปจนถึงวันนี้ก็ 5 เดือนแล้วสินะ
“มินนี่! ยืนเหม่ออะไรอยู่เอากาแฟไปเสิร์ฟโต๊ะที่4ให้หน่อย”
“อ่อค่ะ ขอโทษด้วยนะคะพี่บี”
ฉันขอคุณพ่อมาทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนเพราะอยากแบ่งเบาภาระของท่าน การหาเงินได้ด้วยตนเองเป็นความภาคภูมิใจแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นจำนวนมากมายสักเท่าไหร่นักก็เหอะ
“โต๊ะ4นะคะ”
ผู้จัดการร้านกาแฟเป็นผู้หญิงไทยรูปร่างค่อนไปทางอวบนิดๆ ชื่อว่าพี่บี พี่บีชอบทำหน้าทำตาเหมือนคนไม่สบอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
“ใช่ รีบไปสิ ลูกค้ารอนานแล้ว”
ฉันรีบก้มหน้าก้มตาเดินเอากาแฟไปเสิร์ฟตามที่พี่บีบอก โต๊ะ4มีผู้ชายนั่งกันอยู่3คน พวกเขาพามองฉันด้วยสายตาที่ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่
“ขอโทษด้วยนะคะที่ให้คุณลูกค้ารอนาน”
พอวางแก้วกาแฟเสร็จสรรพฉันก็ยืนโค้งเป็นการแสดงความขอโทษต่อพวกเขา
“น้องชื่ออะไรหน้าตาน่ารักจังครับ” ผู้ชายหนึ่งในนั้นถามฉันขึ้น
“มินนี่ค่ะ”
มินนี่คือชื่อที่เพื่อนๆ ในประเทศไทยเรียกฉัน นอกจากคุณพ่อและญาติที่เกาหลีแล้วแทบจะไม่มีใครที่นี่รู้จักฉันในชื่อ ‘ดาโซ’ เลยสักคนเดียว ก่อนจะมาประเทศไทยฉันฝึกพูด อ่าน เขียนภาษาไทยมาอย่างหนักจนพูดไทยได้คล่อง แต่มันอาจจะฟังดูสำเนียงแปร่งๆ ไปบ้างสำหรับเจ้าของภาษา
“ชื่อน่ารักอีกตะหาก มีแฟนเหรอยังครับ” เพื่อนในกลุ่มอีกคนแซวขึ้น
“ยังค่ะ ขอตัวไปทำงานต่อนะคะ”
“เดี๋ยวสิครับช่วยเก็บขยะตรงนี้ไปทิ้งหน่อยสิคนสวย มันดูไม่สะอาดตาเลย” ผู้ชายผมเกรียนที่สุดในกลุ่มขยำบิลแล้วโยนลงข้างโต๊ะ
“ค่ะ อุ๊ย! ทำไมทำแบบนี้คะ”
พอฉันย่อตัวลงไปเก็บเศษกระดาษก็มีมือของหนึ่งในผู้ชายพวกนั้นมาจับที่ก้นของฉัน แล้วคนที่เหลือก็พากันหัวเราะชอบใจใหญ่ เท่านั้นไม่พอลูกค้าโต๊ะอื่นก็พากันมองมายังฉันและผู้ชายโต๊ะ4เป็นตาเดียวกัน ฉันทั้งโกรธและอายจนหน้าแดง ต้องรีบเดินกลับมาหลังเคาน์เตอร์
“เป็นไรมากมั้ยมินนี่”
วาวาซึ่งเป็นเพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกันร้องถามด้วยสีหน้าเจื่อนๆ ฉันเดาว่าวาวาคงเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
“ไม่ ไม่เป็นไร ฉันแค่ตกใจนิดหน่อย”
วาวาพยักหน้า
“คราวหลังเวลาเสิร์ฟเสร็จก็รีบเดินออกมาเลย ไม่ต้องไปพูดจาต่อล้อต่อคำกับพวกนั้นอีกเข้าใจมั้ยมินนี่ พวกนั้นจะหาว่าเธอไปอ่อยเขา”
พี่บีตะคอกพร้อมกับขึงตาใส่ฉัน
อ่อย… งั้นเหรอ ฉันคิดว่าเข้าใจความหมายของคำนี้ดีนะ หัวสมองของฉันเริ่มประมวลผลค้นหาคำศัพท์ภาษาไทยที่เคยเรียน
อ่อย ผลการค้นหาคำศัพท์สำหรับ อ่อย
คำกริยา
1.โปรยเหยื่อเพื่อล่อปลา ในคำว่า อ่อยเหยื่อ
2.ให้เงินหรือสิ่งของคราวละเล็กละน้อยเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้ตายใจ
“แต่มินนี่ไม่ได้อ่อยนะคะพี่บี”
ฉันไม่เข้าใจว่าฉันไปอ่อยพวกนั้นตรงไหน
“อย่ามาเถียงมินนี่ ฉันเห็นว่าเธอไปยืนคุยกับพวกเขา”
พี่บีเริ่มขึ้นเสียงใส่ฉัน จนวาวาต้องดึงแขนฉันเอาไว้เหมือนต้องการให้ฉันหยุดเถียงพี่บี ใช่สินะ! ไม่ว่าจะผิดหรือถูกพวกเราก็ไม่เคยถกเถียงกับพี่บีชนะอยู่แล้วนี่
“ค่ะ ขอโทษค่ะ” ฉันได้แต่ก้มหัวขอโทษ
“เอานี้ไปเสิร์ฟเค้กโต๊ะ7 กาแฟร้อนโต๊ะ10”
เห้อ… การทำงานมันสอนอะไรฉันได้มากมายจริงๆ นะ อดทนเข้าไว้นะ