ตอนที่ 115 : รองเท้าที่ถูกถอดวางทิ้งไว้
“โธ่เว้ย!”
ปัณฑูรสบถออกมาอย่างไม่ได้ดั่งใจ เมื่อพยายามใช้โทรศัพท์มือถือในมือติดต่ออิฐหลายๆ ต่อหลายครั้ง แต่อิฐก็ไม่รับ เขาพยายามกดโทรออกซ้ำๆ จนเขาก็เริ่มที่จะหงุดหงิดตัวเอง ไป๋เปลี่ยนหน้าจอระหว่างการโทรออกกับการติดต่อในโปรแกรมแชตสารพัดค่ายไปมาเพื่อหาวิธีติดต่อกลับอีกฝ่าย แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกช่องทางจะส่งตรงไปไม่ถึงอีกคนเลย
“ทำไมไม่รอกูวะ”
เสียงของไป๋บ่นพึมพำในขณะที่ก้มมองโปรแกรมกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาล ในขณะที่ขาก็สาวเท้าไปยังลิฟต์ส่วนตึกหลังที่อิฐไปนั่งอยู่ที่ห้องรับรองในตอนแรกด้วย ภาพที่ปรากฎต่อสายตาเขาคืออิฐกำลังเดินออกจากห้องรับรองตรงชั้นสี่ไปยังทางเดินเชื่อมไปยังตึกหน้า ไป๋ตัดสินใจตรงไปที่ห้องรับรองที่อิฐนั่งอยู่ตอนแรกก่อน เขาเข้าใจว่าอิฐอาจจะออกไปเข้าห้องน้ำเฉยๆ มากกว่า
“คุณปัณฑูรจะไปชั้นไหนครับ”
เสียงของพนักงานต้อนรับตรงบริเวณหน้าลิฟต์ของตึกหลังถามเขาขึ้นอย่างสุภาพ ความจริงพนักงานทั้งโรงพยาบาลรู้จักเขาดีทุกคน ด้วยตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงที่ยังคงทำงานเป็นหมอด้วย เดินไปเดินมาในโรงพยาบาลตลอด พนักงานในตึกก็ต่างคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเป็นอย่างดี
“ชั้น 4”
ไป๋ตอบไปด้วยเสียงปนหอบน้อยๆ ความจริงใช้คำว่าเดินมาคงจะไม่ได้ เพราะเขาวิ่งมาจนตอนนี้เหงื่อซึมออกมาตรงไรผมเต็มไปหมด ปากตอบไปพลาง ตาก็ยังมองโปรแกรมกล้องวงจรปิดในโทรศัพท์มือถือไปพลางด้วย
“รอสักครู่นะครับ”
พนักงานต้อนรับตอบกลับมาอย่างสุภาพ พร้อมกับเอื้อมมือไปกดปุ่มแสดงเครื่องหมายลงให้กับเขา ตอนนี้เขาอยู่ที่ชั้น 8 เงยหน้ามองตัวเลขที่แสดงอยู่หน้าลิฟต์ตอนนี้ ไป๋ก็ถึงกับพึมพำในลำคออย่างขัดใจ ลิฟต์ทุกตัวกำลังมุ่งหน้าขึ้นชั้นบน ตึกที่เขายืนอยู่มีทั้งหมด 22 ชั้น และลิฟต์ในโรงพยาบาลมักจะช้ามาก เพราะคนเข้าออกลิฟต์จำนวนมากเป็นผู้ป่วยบนรถเข็น หรือบนเตียงที่ต้องใช้ความช่วยเหลือมาก ยิ่งคิดยิ่งขัดใจ ในวันที่รีบที่สุด แต่ไม่มีลิฟต์สักตัวที่แสดงเครื่องลงให้เป็นฝั่งเขาแม้แต่ตัวเดียว
“มีวิธีทำให้ลิฟต์ลงมาเร็วๆ ไหม”
ไป๋ถามออกไปเสียงห้วนอย่างขัดใจ ถึงแม้รู้ว่าจะเป็นคำถามที่ดูงี่เง่ามากแค่ไหน แต่ด้วยอารมณ์นั้น เขาก็เผลอถามพนักงานต้อนรับไปอย่างไม่ได้คิดจะห้ามปรามตนเอง
“เอ่อ เท่าที่ผมทราบ ไม่มีนะครับ” อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างอึกอักแต่ก็ไม่มีทางออกที่น่าพอใจ
“พรีม”
เสียงของเขาส่งออกไปอย่างเร่งร้อนทันที เมื่อสายโทรศัพท์ที่ต่อไปมีคนรับ พรีม คือ หญิงสาวที่รับตำแหน่งเป็นเลขานุการและผู้ช่วยอย่างเป็นทางการของตำแหน่งเขา ไป๋กรอกเสียงลงโทรศัพท์สลับกับดูกล้องวงจรปิดอย่างเร่งร้อนใจ ตอนนี้ไอ้อิฐเดินไปจนถึงส่วนตึกหน้าของวงศ์วรเวชแล้ว
“คะพี่ไป๋ มีอะไรให้พรีมช่วยคะ”
เสียงอีกฝ่ายดังตอบมาแบบร่าเริงตามธรรมชาติ ห้องทำงานของพรีมอยู่ที่ชั้น 5 ของตึกหน้า หญิงสาวรับหน้าที่ในการจัดการตารางชีวิตและคอยประสานงานกับบุคคลภายนอกให้เขาเป็นหลัก
“ถ้าพี่เปิดประตูหนีไฟแล้วเดินลงบันไดไป สัญญาณจะร้องเตือนใช่ไหม” ไป๋ถามออกไปแบบเร่งร้อน
“สักครู่นะพี่ หนูขอติดต่อฝ่ายความปลอดภัยก่อน” ปลายสายตอบมาแบบแอคทีฟมากขึ้น เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของเขาดูเร่งรัด
“ต่อแล้วไม่ต้องวางนะ คุยสองฝั่งไป หูซ้ายหูขวา” เขาสั่งเสียงเรียบ
“ค่ะ พี่ไป๋รอหนูเดี๋ยว” อีกฝ่ายรับคำ
“...”
ไป๋ถือปลายสายรอพร้อมเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างไม่ได้ดั่งใจ ลิฟต์ตรงหน้าไม่เป็นใจกับเขาสักตัว 3 ตัวที่มีอยู่เพิ่งเคลื่อนไปถึงชั้น 12 และ 15 เท่านั้น แถมเลขก็ขยับช้ามาก น่าจะมีคนไข้เข้าออกตลอดเวลา ไป๋ก้มมองวงจรปิดในมือถือก็ได้แต่ขมวดคิ้วอย่างขัดใจ ไอ้อิฐกำลังมองซ้ายมองขวาอยู่บริเวณชั้น 4 ของตึกหน้า เหมือนมันกำลังจะตัดสินใจไปที่ไหนสักแห่ง แต่ดูเหมือนจะยังหาทางตัดสินใจไม่ได้
“ไม่ดังค่ะพี่ แค่จะมีแจ้งเตือนไปฝ่ายระบบความปลอดภัยเฉยๆ ค่ะ”
พรีมตอบกลับมาภายในประมาณ 1 นาทีได้ ตึกหลังเป็นตึกที่ครอบครัวเขาซื้อมาจากโครงการคอนโดมิเนียมที่ล้มละลายก่อนจะได้ปล่อยขายและนำมาปรับเป็นโรงพยาบาลต่อ ลักษณะตึกจึงสูงและใช้ลิฟต์เป็นหลัก บันไดที่มีระหว่างชั้นก็เป็นบันไดหนีไฟที่ไม่ค่อยสะดวกนัก แต่ก็ถือว่าสะดวกที่สุด ถ้าอยากจะลงไปให้ถึงชั้นล่างให้เร็วที่สุดในเวลานี้
“แจ้งรีเคียวริตี้ว่าพี่จะใช้บันไดหนีไฟ ไม่มีอะไรผิดปรกตินะ”
ไป๋พูดพร้อมกับใช้ไหล่ดันประตูผลักเปิดออกไป จากชั้น 8 ถึงชั้น 4 คงใช้เวลาไม่นาน เขาน่าจะไปถึงบริเวณที่อิฐอยู่ภายในไม่กี่นาที
“มีอะไรให้หนูช่วยอีกไหมคะพี่” พรีมถามต่อ
“เปิดกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลตัวที่ 36 ดู พรีมเห็นผู้ชายตัวสูงที่ใส่เสื้อเชิ้ตกางเกงสแลคไหม ตอนนี้กำลังเดินผ่านกล้องตัวที่ 36 จะไปเข้า 37 แล้ว” เขาพูดพลางชำเลืองดูมือถือ แต่ขาก็วิ่งลงบันไดไม่หยุด
“เจอค่ะพี่” อีกฝ่ายตอบ
“ดูเค้าไว้ รายงานพี่ตลอดว่าเค้ากำลังเดินไปไหน พี่ลงบันไดอยู่ ดูไม่ถนัด” ไป๋ตอบพร้อมเสียงเหนื่อยหอบ ตอนนี้เขาเพิ่งลงมาได้แค่ชั้นเดียวเอง
“ค่ะพี่”
“ขอบคุณนะพรีม”
เขาพูดพร้อมยังวิ่งตอบไป เหนื่อยเริ่มท่วมออกมาจนเสื้อเชิ้ตด้านหลังของเขาเปียก ไป๋เป็นมนุษย์ที่ห่างไกลการออกกำลังกายมาก มากในระดับที่แทบจะจำรสชาติของร่างกายที่เปื้อนเหงื่อของตัวเองไม่ได้แล้ว
“พี่ไป๋ คุณเค้าเดินลงบันไดเลื่อนไปที่ชั้น 3 แล้วค่ะ” เสียงดังรายงานมาจากโทรศัพท์
“ห๊ะ”
ปัณฑูรอุทานออกมาอย่างตกใจ ขาเขายังวิ่งต่อไปในขณะที่ตาก็เปลี่ยนหน้าจอไปดูกล้องวงจรปิดด้วย ไอ้อิฐเดินลงบันไดเลื่อนไปชั้น 3 แล้ว หรือนี่มันจะโกรธเขาจนไม่คิดจะรอฟังคำตอบจากเขาจริงๆ ไป๋เงยหน้ามองดูเลขชั้นอย่างหงุดหงิด เขาพึ่งมาถึงชั้น 6 เท่านั้นเอง
“พรีมยังถือสายซีเคียวริตี้อยู่หรือเปล่า” เขาถามอย่างเร่งร้อน
“เปล่าค่ะพี่ วางไปแล้ว” อีกฝ่ายตอบ
“ต่อสายเดี๋ยวนี้ บอกเค้าให้ปิดบันไดเลื่อนระหว่างชั้น 1 กับ ชั้น 2 ของตึกหน้า”
ไป๋ออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด เร่งร้อน และปราศจากความนิ่งเฉยที่เป็นบุคลิกประจำตัวอย่างสิ้นเชิง ปัณฑูรตัดสินใจสั่งการอยากไม่สนตรรกะเหตุผลดูสักครั้ง เขาเลื่อนภาพในกล้องไปดูบันไดเลื่อนที่พูดถึงก่อนสั่งการไปเล็กน้อย ไม่มีคนใช้บริการและคนโดยรอบ ทัน มันต้องทันสิหน่า ขอทำตามใจตัวเองสักครั้งหนึ่งเถิดนะ
“คะ?” เสียงของพรีมดังอย่างไม่มั่นใจ แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงกดโทรศัพท์สำนักงานดังมาจากปลายสาย
“เดี๋ยวนี้”
เขาพูดเร่งแบบไม่สนใจความไม่เข้าใจของคนตรงหน้า ตาเขาก้มดูกล้องวงจรปิดในมืออีกครั้ง ตอนนี้ไอ้อิฐกำลังจะลงบันไดเลื่อนจากชั้นมาจากชั้น 3 แล้ว ไป๋เผลอสบถออกมาด้วยความไม่ได้ดั่งใจอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองตัวเลข ตอนนี้เขาเพิ่งอยู่ชั้น 5 ของโซนบันไดหนีไฟเท่านั้นเอง
“เรียบร้อยค่ะพี่” ปลายสายโทรศัพท์ดังออกมา
“สั่งเวรเปลชั้นสองให้รีบวิ่งไปกั้น บันไดเลื่อนไว้เดี๋ยวนี้ บอกว่าบันไดเลื่อนเสีย ให้ไปยืนขวางไว้ห้ามคนขึ้นลง” ไป๋สั่งอย่างวางแผนไว้แล้ว
“ได้ค่ะ”
“เดี๋ยวพี่จะอัดเสียงส่งไปทางไลน์ พรีมโทรแจ้งเวรเปลเสร็จแล้วให้โทรหาแผนกประชาสัมพันธ์ต่อ บอกให้ประกาศเสียงพี่ออกเสียงตามสาย ใช้เสียงพี่นะ ไม่ต้องพูดใหม่”
“คะ?” เขาได้ยินเสียงกดโทรศัพท์อีกครั้งจากปลายสายเบาๆ
“เถอะน่าพรีม เดี๋ยวพี่รับผิดชอบเอง” เขาพูดต่อ
ไป๋พูดพร้อมพยายามสงบสติอารมณ์ให้นิ่ง เขาพยายามข่มความเหนื่อยตอนนี้ทั้งหมดเพื่อให้เสียงของเขาเรียบที่สุด ไป๋มาหยุดอยู่บริเวณบันไดหนีไฟตรงชั้น 4 ยังพอทันเวลา น่าจะทันเวลา เลขาของเขาตอบรับกลับมาด้วยเสียงที่ดูก็ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง แต่ไป๋ก็ไม่สนใจ
เขาหยุดพักเหนื่อยอยู่ไม่กี่วินาทีก็นำโปรแกรมอัดเสียงขึ้นมาพูดด้วยเสียงที่ข่มให้เรียบสนิทและดูเป็นปรกติที่สุด ไป๋เปิดเช็คเสียงฟังหนึ่งครั้งก่อนจะส่งไปทางไลน์ให้กับเลขาส่วนตัวอย่างเร่งรีบ ก่อนที่ขาของเขาจะออกวิ่งอีกครั้ง พรีมตอบรับทราบกลับมาในไลน์ว่าจะเร่งดำเนินการให้
ไป๋ยังคงวิ่งลงบันไดต่อไปแบบข่มอาการหอบของตัวเองไว้ไม่มิด เสื้อทั้งหมดของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อจนเชิ้ตสีขาวเปียกชุ่มจนแนบเนื้อ เขายังคงวิ่ง วิ่ง วิ่งต่อไป ราวกับกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พบอีกฝ่ายแล้ว เขาได้ยินคำพูดของอิฐชัดเจนดีตอนที่ยืนแอบฟังอยู่ในห้องรับรอง อิทธิกรยืนยันกับพ่อของเขาว่าถ้าอีกฝ่ายไม่เห็นด้วย อิฐจะไม่กลับมาให้เจอหน้าอีก เขาไม่มีทางเลือก เขาจะไม่ยอมเสี่ยง เขาจะไม่ยอมปล่อยให้คนที่สำคัญที่สุดของเขาหลุดมือไปอีก
และเขามาถึงชั้น 3 แล้ว
ประกาศ ประกาศ นี่คือประกาศสำคัญของนายแพทย์ปัณฑูร วงศ์วรเวช
นายแพทย์ปัณฑูรขอให้ผู้ป่วยที่ใช้ชื่อว่า นายอิทธิกร นพณราดล กลับไปรอฟังผลตรวจที่ห้องรับรองชั้น 4 ของตึกหลังในเวลานี้ ย้ำ ขอให้นายอิทธิกร นพณราดลลกลับไปที่ห้องรับรองชั้น 4 ของตึกหลังในเวลานี้
ขอบคุณครับ
ไป๋ยืนพักเหนื่อยเมื่อได้ยินว่าเสียงของตนประกาศออกไปที่ระบบประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลสำเร็จ เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“พี่ไป๋ คุณเค้าถึงชั้น 2 แล้ว แต่เค้าไม่ได้เดินกลับไปตึกหลังนะคะพี่ เค้าเดินผ่านกล้องตัวที่ 11 ไปอยู่ตรงหน้าบันไดเลื่อนที่เวรเปลไปกั้นไว้แล้ว ดูเหมือนว่าเค้าตั้งใจจะออกไปนอกตึกให้ได้เลยค่ะ เมื่อกี้หนูเห็นเค้าชะงักไปแป๊บหนึ่งแต่เขาก็เดินต่อ ไม่มีอาการจะกลับไปที่ตึกหลังเลยค่ะ” เลขาของเขารายงานมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“โธ่เว้ย”
ไป๋พูดออกมาอย่างหงุดหงิด พร้อมกลับเริ่มต้นสาวเท้าวิ่งลงบันไดต่ออีกครั้ง เขาวิ่งไปพลางก้มไปมองกล้องวงจรปิดในมือไปพลางด้วย เป็นอย่างที่พรีมบอกจริงๆ ไอ้อิฐไม่มีทีท่าจะกลับไปยังตึกหลังตามคำประกาศเลย ท่าทีของมันเหมือนกำลังจะหาทางลงไปชั้นหนึ่งที่เชื่อมต่อกับด้านหน้าอาคารให้ได้ ถึงแม้ว่าบันไดเลื่อนที่อยู่ตรงหน้าจะถูกเวรเปลที่เขาสั่งไว้ยืนขวางไว้ก็ตาม
“พี่ไป๋ เค้าเดินไปกดลิฟต์แล้วค่ะ”
เสียงปลายสายเร่งให้เขาร้อนใจมากขึ้น ไป๋เงยหน้ามองเลขบอกชั้นตรงหน้าอีกครั้ง ตอนนี้เขาถึงชั้น 2 แล้ว แต่เขาอยู่ตึกหลัง ในขณะที่ไอ้อิฐอยู่ตึกหน้า และแน่นอนว่ามันต้องใช้เวลาอีกหลายนาทีกว่าจะไปถึงตรงที่อิฐยืนอยู่ได้
“พรีมวิ่งไปกดลิฟต์เดี๋ยวนี้ กดขึ้นให้หมด อย่าให้ลิฟต์ลงไปชั้น 2 ได้!”
ไป๋ร้องตะโกนสั่งอย่างไม่ได้ดั่งใจ ปลายสายไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่เขาก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวตัวอย่างรวดเร็ว เลขาเขากำลังทำตามที่เขาบอก ไป๋เงยหน้ามองเลข 2 ตรงหน้าชั่วครู่อย่างตัดสินใจ ก่อนจะเริ่มก้าวเท้าวิ่งลงสู่ชั้นล่าง โดยไม่รอฟังผลลัพธ์จากปลายทาง
“ไม่ทันค่ะพี่ ลิฟต์หมายเลข 2 กำลังลงไปแล้ว!”
พรีมรายงานผลพร้อมกับเสียงหอบที่ดังอย่างเห็นได้ชัด ปัณฑูรสบถในลำคออย่างขัดใจ ตอนนี้เขาเพิ่งจะมาถึงชั้นที่ 1 ของตึกหลัง
ชายหนุ่มพุ่งตัวไปที่ประตูหนีไฟอย่างแรง ก่อนจะโผล่เข้าไปในอาคารด้วยสภาพหมดภาพคุณหมอสุดเนี๊ยบที่เขารักษาตลอดมา ผู้คนบริเวณโดยรอบหันมามองเขาเป็นตาเดียว พยาบาลบางคนยกมือไหว้สวัสดีเขา หลายคนทำหน้างงกับภาพที่อยู่ตรงหน้า พนักงานหลายคนเหมือนจะอึ้งไปนิดๆ ที่เห็นผู้บริหารของตนวิ่งลงมาจากบันไดหนีไฟในสภาพนี้
“รอกูก่อนสิวะไอ้อิฐ!”
ไป๋พูดขณะก้มมองกล้องวงจรปิดในมือที่แสดงภาพชายหนุ่มที่เขาเฝ้าดูมาตลอดเดินลับเข้าลิฟต์ไปแล้ว ไป๋ออกตัววิ่งอีกครั้งแบบไม่สนใจสิ่งภายนอกใดๆ ทั้งสิ้น ไม่สนใจว่าใครจะมองเขาอย่างไร ไม่สนใจว่าคนจะเอาเขาไปนินทาแบบไหน ไม่สนใจว่าภาพลักษณ์ที่เขาควรจะมีมันจะถูกทำลายไปด้วยหรือเปล่า
เขารู้เพียงแต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานี้ มันไม่ได้สำคัญไปกว่าอิฐเลย
ไป๋วิ่งไปตามทางเชื่อมระหว่างอาคารอย่างไม่คิดชีวิต
ระหว่างมีผู้คนมากมายพยายามจะทักทายเขา สวัสดีเขา แต่เขาไม่ได้สนใจแม้แต่นิดเดียว เขาวิ่งไปด้วยความเชื่อมั่นสุดท้าย อาจจะยังทัน ความรักครั้งนี้อาจจะต่อเวลาให้เขาได้สักหน่อย
มือขวาของเขากดต่อสายเบอร์ emergency call ที่มุ่งตรงไปยังคนที่กำลังเดินหนีเขาไปนั่น แต่มันก็ไม่มีสัญญาณตอบรับใดใดกลับมาเหมือนเดิม ไม่มีเวลาแม้แต่จะก้มมองกล้องวงจรปิดอีกแล้ว
เขาต้องวิ่งให้เร็วที่สุดในเวลานี้
“โธ่เว้ย”
เขาตะโกนมาอย่างอารมณ์เสียถึงขีดสุด เมื่อรองเท้าหนังที่เขาสวมใส่อยู่เกิดขาดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พื้นรองเท้าแยกออกจากตัวรองเท้าส่วนบน จนส่วนพื้นรองเท้าที่หลุดออกสะบัดตีรองเท้าไปมาทำให้เขาวิ่งไม่สะดวก
ไป๋ก้มมองรองเท้านั่นเพียงครู่เดียวก่อนจะตัดสินถอดรองเท้าราคาแพงทั้งสองข้างออกอย่างไม่ใยดี เขาใกล้กับตึกหน้ามากแล้ว และเขาเสียโอกาสไปไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว รองเท้าถูกถอดวางทิ้งไว้ ในขณะที่ไป๋กำลังวิ่งต่อไปเพื่อไปพูดในสิ่งที่เขาอยากพูดเพียงสักครั้ง
ไป๋ยังวิ่งต่อไปโดยมีประตูเชื่อมเข้าอาคารหน้าเป็นเป้าหมาย เขาอยากจะเอ่ยขอโทษ ขอโทษไอ้อิฐอีกสักครั้งก่อนมันจะเดินหายไป เขารู้ตัวดีว่าการกระทำของเขาในเวลานี้มันคงจะดูงี่เง่ามาก แต่เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะรับความเสี่ยงที่จะเสียอิฐไปแม้แต่นิดเดียว
“ไอ้อิฐ!”
ปัณฑูรตะโกนออกไปอย่างสุดแรงเกิด เมื่อตัวเองก้าวเข้ามาในอาคารหน้าได้ และเห็นลิบๆ ว่าไอ้อิฐกำลังจะเปิดประตูออกตรงหน้าอาคารไป ชายหนุ่มผู้ครอบครองหัวใจเขามาโดยตลอดชะงักไปชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะหันมามองหน้าเขาอย่างตกใจน้อยๆ ราวกับว่าไม่คาดคิดว่าจะเห็นได้ในเวลานี้
“กูขอโทษ กูผิดเอง ผิดทุกอย่าง มึงได้ยินกูไหม ไอ้อิฐ กูขอโทษ” เขาตะโกนออกไป พร้อมกับวิ่งไปหาคนที่หยุดนิ่งรอเขาอยู่นั่น
“...”
“กูยอมรับผิดทุกอย่าง แต่มึงอย่าทิ้งกูไป อย่าทิ้งกูไปแบบนี้”
ไป๋พูดพร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าชายเสื้อคนตรงหน้าอย่างขอร้อง น้ำตาของไป๋ดูจะเป็นเครื่องหมายในการแทนความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่อัดอั้นอยู่ภายในได้เป็นอย่างดี
นี่อาจจะเป็นวินาทีแรกที่ไป๋รู้สึกว่าตนเองมีอิสรภาพเต็มที่ที่จะโอบกอดความรักสุดหัวใจของคนตรงหน้าไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยมั่นใจว่าไอ้อิฐจะยังคงต้องการมันหรือไม่ก็ตาม
“อิฐ... กู”
“...”
“กูโคตรรักมึงเลย”
ปัณฑูณโผเข้ากอดผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่สนใจแม้กระทั่งว่ารอบกายตนเองจะรายล้อมไปด้วยสายตาที่จ้องมองมาอยู่หลายสิบคู่ก็ตาม
เขาสูญเสียคนตรงหน้านี้ไปไม่ได้จริงๆ
นายพินต้า
ฝากเฟส ทวีต กดติดตามในแอปนี้ และนิยายเรื่องใหม่ "ใครคือ... อองชองเต" ด้วยนะ
มานับถอยหลัง 5 ตอนสุดท้ายกันเถอะ ขอคอมเมนต์ได้ไหม ขอคอมเมนต์ให้ชื่นใจสักที ปลายสัปดาห์นี้ไปต่างจังหวัดนะ อาจจะหนีหายไปเน้อ >_<