ตอนที่ 106 : ชาเขียวไม่ใส่น้ำตาล
“ไป๋ เดี๋ยวเราขึ้นไปกินข้าวกันก่อนแล้วค่อยลงมาซื้อของแล้วกันนะ”
อิฐหันมาพูดกับเขาเมื่อจอดรถเป็นที่เรียบร้อยในลานจอดรถของห้างหรูกลางเมืองใหญ่ แฟนของเขานัดไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าจะออกมาซื้อของใช้เข้าบ้าน และกินอาหารเย็นด้วยกัน
“อ้าว มึงหิวเหรอ”
ไป๋ถามแบบงงๆ เพราะปรกติพวกเขาจะซื้อของให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยไปกินข้าวกัน เมื่อท้องอิ่มจะได้ขับรถกับบ้านได้เลย
“อิฐจองห้องอาหารไว้ กลัวว่าซื้อของก่อนจะไม่ทัน” อิทธิกรพูดพลางหันมาดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาในรถยนต์
“เอาสิ อย่างงั้นก็ได้”
เขาพูดอย่างไม่คิดอะไรมาก ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าและก้าวออกไปจากรถยนต์ที่พวกเขาลงเงินซื้อมาด้วยกัน อิฐยืนยันว่าจะไม่ให้พวกเขามีรถกันคนละคันเด็ดขาด มันรับอาสาไปส่งเขาที่มหาวิทยาลัยทุกเช้า และรับกลับมาในทุกเย็น
พวกเขาทั้งสองคนล็อครถและเดินออกมาจากกลานจอดรถเพื่อเข้าสู่ตัวห้างสรรพสินค้า แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวเข้าไปใส่ส่วนของศูนย์การค้า อิฐก็หันมาสะกิดแขนเขาและชี้ไปที่ลิฟท์อีกตัวที่อยู่แยกส่วนออกไป ไป๋หันมามองแบบงงๆ แต่ก็เดินตามไปด้วยดี แฟนของเขาพาเขาขึ้นลิฟท์มายังส่วนของโรงแรมที่อยู่ในตึกเดียวกับห้างดังนั่น ไป๋เงยหน้ามองตัวเลขบนหน้าจอลิฟท์ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าที่เรียบสงบ
“ทางนี้”
อิฐสะกิดแขนเขาเบาๆ ก่อนจะชี้ไปยังห้องอาหารแนวฟิวชันที่ตั้งอยู่บนส่วนของโรงแรมด้านหนึ่งบนชั้น 34 ไป๋เดินตามอิฐที่มีสีหน้ายิ้มแย้มนั่นไปแบบไม่ได้ถามอะไรมาก ปรกติพวกเขาจะกินข้าวกันในศูนย์การค้ามากกว่าขึ้นมากินตามห้องอาหารโรงแรมแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งคำถามอะไรไปเป็นพิเศษ
“จองไว้หรือเปล่าคะ”
เสียงของพนักงานต้อนรับหญิงเอ่ยถามเขาเป็นอย่างแรก ในขณะที่พวกเขาทั้งสองคนมาถึงห้องอาหาร ไป๋หันไปมองหน้าอิฐนิดหน่อย ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อเจรจา
“จองไว้ครับ ชื่ออิทธิกร” แฟนของเขาพูด
“อ๋อ คุณอิทธิกร เชิญด้านนี้ได้เลยค่ะ”
พนักงานต้อนรับคนนั้นยิ้มแบบนึกขึ้นได้ ก่อนจะผายมือและเดินนำพวกเขาเข้าไปในส่วนลึกของห้องอาหาร ภัตตาคารที่อิฐพามาเป็นสไตล์นั่งชิลสบายๆ ตกแต่งด้วยบรรยากาศร่วมสมัย ดูมีความเป็นวัยรุ่นและไม่น่าเบื่อ พนักงานคนนั้นเดินนำมาจนถึงห้องส่วนตัวในร้านอาหารห้องหนึ่ง ก่อนจะชี้เป็นสัญญาณมือกับอิฐว่านี่คือห้องที่ชายหนุ่มจองไว้ ก่อนที่จะขอตัวเดินกลับไปประจำที่หน้าห้องอาหารอีกครั้ง
“เชิญครับ คุณปัณฑูร”
ครั้งนี้ไม่ใช่พนักงานต้อนรับอีกแล้ว แต่เป็นเสียงของอิทธิกร แฟนของเขาเองที่ตอนนี้หันมาอมยิ้ม และผายมือน้อยๆ ไปที่ห้องอาหารที่มันแอบมาจองไว้ ไป๋หันไปมองหน้าอิฐด้วยความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก มือของเขาค่อยๆ เอื้อมไปจับลูกบิดประตูตรงหน้าแล้วดันไปข้างหน้าเพื่อก้าวเข้าสู่ห้องที่อยู่ตรงหน้า
“เซอร์ไพรส์!”
เสียงของอิทธิกรดังขึ้นเบาๆ จากด้านหลังของตัวเขา และนั่นก็เหมือนการกดสวิตซ์ให้น้ำตาของเขาค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างช้าๆ ไป๋มองภาพห้องตรงหน้าอย่างไม่อาจจะสรรหาคำใดๆ ออกมาบรรยายได้เลย ห้องที่อิฐจองไว้ไม่ใช่ห้องอาหารแบบเรียบง่ายธรรมดา แต่มันบรรจงตกแต่งไว้อย่างพิถีพิถัน ด้านหนึ่งของห้องเป็นกระดานไวท์บอร์ด อีกฝั่งหนึ่งมีตู้เก็บของตั้งไว้สองสามตู้ ถัดออกมาหน่อยเป็นโต๊ะนักเรียนที่วางเรียงไว้อย่างระเกะระกะ ตรงมุมห้องเป็นเบาะรองสำหรับยืดกล้ามเนื้อที่ปูกางไว้บ้างพับม้วนไว้บ้าง ตรงกลางห้องเป็นเหมือนโต๊ะที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย ลักษณะคล้ายจะเป็นโต๊ะผู้บรรยายหน้าชั้นเรียน แต่ในเวลานี้มันถูกจัดสรรไว้อย่างเรียบร้อยเคียงคู่กับเก้าอี้สองตัว ดูเหมือนว่าจะจัดไว้เป็นโต๊ะอาหารของวันนี้
กวาดตาดูเพียงวินาทีเดียวก็รู้เลย ไอ้อิฐบรรจงจัดห้องนี้ให้เป็น “ห้อง 950” ห้องแห่งความหลังของพวกเขาสองคนนั่นเอง
“อิฐ” เสียงของเขาเรียกหาอีกคนทั้งที่น้ำตายังไหลไม่หยุด
“ไป๋อย่าร้องไห้สิครับ อิฐขอเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแทนได้ไหม” อีกฝ่ายพูดขึ้นขณะที่เอื้อมมือมาเช็ดหยาดน้ำตาออกจากใบหน้าของเขา
“ขอบคุณจริงๆ นะอิฐ ขอบคุณมากจริงๆ” เขาพึมพำอย่างรื้นอยู่ในอก
“ไม่หรอก อิฐสิต้องเป็นฝ่ายขอบคุณไป๋มากกว่านะ” อิฐพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง ในขณะที่มือก็ยังบรรจงเช็ดน้ำตาให้เขาอย่างนุ่มนวล
“สุขสันต์วันครบรอบ 10 ปีนะ นี่คือ 10 ปีที่ดีที่สุดในชีวิตกูเลย”
ไป๋พูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลทะลักออกมาอีกรอบ พร้อมกับพุ่งตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคนตรงหน้า เขาซุกตัวเองไว้กับแผ่นอกกว้างของคนตรงหน้าอย่างโหยหา
“สุขสันต์วันครบรอบนะไป๋ อิฐรู้ว่าการพาไป๋ออกมากินข้าววันนี้ก็คงเซอร์ไพรซ์ไป๋ไม่ได้หรอก เพราะไป๋ก็คงรู้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าวันนี้วันอะไร แต่ห้องนี้อิฐตั้งใจแต่งเป็นพิเศษเลยนะ สวยไหมครับไป๋ อิฐตั้งใจทำอย่างดีให้สมกับวันครบรอบ 10 ปีของเราเลย” อิทธิกรพูดพร้อมใช้มือลูบหลังของเขาไปมาอย่างทะนุถนอม
“สวยสิ นี่มันเป็นห้องแห่งความหลังของเรานี่นะ” เขาตอบไปทั้งที่ยังเอาใบหน้าแนบไว้กับหน้าอกคนตรงหน้า
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลาจะผ่านมาเร็วขนาดนี้ อิฐยังรู้สึกเหมือนเพิ่งขอไป๋เป็นแฟนอยู่เมื่อวานนี้เอง เผลอแป๊บเดียวเอง ครบรอบ 10 ปีแล้ว” อิฐพูดพร้อมดึงตัวเขาออกมาจากอ้อมกอดและสบตาอย่างตั้งใจ
“อืม เป็น 10 ปีที่ผ่านไปเร็วอย่างน่าใจหาย เวลามันเดินเร็วจังเลยนะ” ไป๋พูดพึมพำ
“ไป๋ดูสิ อิฐตั้งใจวางแผนแต่งห้องนี้เองเลยนะ โต๊ะแบบนี้ที่เราเคยติวหนังสือ ไวท์บอร์ดแบบที่ไป๋เคยเขียนสอนฟิสิกส์อิฐ เบาะรองนอนนี้ก็เป็นแบบที่เราเคยค้างคืนด้วยกัน”
อิฐพูดแบบอารมณ์ดี พร้อมกับชี้ชวนให้เขาดูไปรอบๆ อย่างตั้งใจ ไป๋กวาดตามองไปโดยรอบก็ห้ามน้ำตาให้รื้นขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้
“จำได้สิ ขนาดหลับตาให้นึกขึ้นมายังจำได้ทุกอย่าง ช่วงเวลาตอนนั้นมันมีค่ากับกูมากเลยนะ” ไป๋พูดออกมาทั้งน้ำตา
“กินข้าวกันเถอะไป๋ เย็นมากแล้ว เดี๋ยวไป๋จะหิว ร้านนี้อาหารอร่อยมากนะ อิฐมาเซอร์เวย์แล้ว” อีกฝ่ายพูดพร้อมกับจูงมือเขาไปที่โต๊ะอาหารที่ตั้งไว้ที่กลางห้อง
“อื้อ”
เขาตอบและเดินตามอีกฝ่ายไป พวกเขาทั้งคู่ใช้เวลาอันแสนล้ำค่านั้นด้วยกันอย่างมีความสุข พนักงานเสิร์ฟทยอยนำอาหารเข้ามาให้พวกเขาทีละอย่าง และนั่นก็ทำให้ไป๋ต้องน้ำตาไหลอีกครั้ง
อิฐบรรจงกับอาหารมื้อครบรอบ 10 ปีนี้ของพวกเขาเป็นอย่างมาก
อาหารทุกจานที่บริกรเดินเข้ามาวางบนโต๊ะนั้นมีความหมายกับพวกเขาเป็นพิเศษทุกอย่าง พิเศษมากขนาดที่ไป๋ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ชายที่กำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าของตนจะละเอียดอ่อนได้ขนาดนี้
อาหารจานแรกของมื้อเป็นข้าวต้มปลาหมึก อาหารโปรดของเขาและเป็นของอย่างแรกด้วยที่อิฐซื้อให้เขาในฐานะไอ้ 950 จอมปริศนา อาหารจานต่อมาเป็นหมูทอดทงคัตซึที่พวกเขาได้ไปกินด้วยกันที่ร้านบอร์ดเกมตอนที่มันชวนไปเล่นเกมคาทาน อาหารจานที่สามเป็นปลาดิบที่เป็นตัวแทนของอาหารมื้อแรกที่พวกเขาออกไปเดตกันอย่างเป็นทางการ อาหารจานที่สี่เป็นลูกชิ้นปลาภูเก็ตแบบที่อิฐเคยพาเขาไปกินตอนพบครอบครัวของอิฐเป็นครั้งแรก อาหารจานที่ห้าเป็นทักคาลบี้แบบที่พวกเขากินฉลองด้วยกันตอนเรียนจบ อาหารจานที่หกเป็นยำไข่ดาว อาหารชนิดแรกที่พวกเขาทำกินด้วยกันหลังจากย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันที่คอนโดมิเนียมหลังปัจจุบัน และปิดท้ายด้วยน้ำชาเขียวไม่น้ำตาลแบบขมปี๋ที่เขากินประจำตอนติวหนังสือให้มันตอนมัธยมปลาย
ทุกครั้งที่จานอาหารถูกหยิบมาวางเบื้องหน้า น้ำตาของไป๋ก็ไหลออกมาอย่างยากจะหักห้ามเสมอ อิฐดีกับเขามากจริงๆ ทุกรายละเอียดทุกความรู้สึกทุกจังหวะชีวิตที่มันใส่ใจ บ่งบอกเป็นอย่างดีว่า 10 ปีที่ผ่านมานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ตัวเขาเองไม่อาจจะหาสิ่งอื่นใดมาเปรียบเทียบได้เลย
อิฐเป็นมากกว่าคนรัก
อิฐเป็นมากกว่าความรัก
แต่อิฐเป็นเหมือนปรากฎการณ์ที่แสนอบอุ่นที่ทำให้ชีวิตที่แสนหนาวเย็นของเขาได้สัมผัสกับความสุขแบบที่พิเศษมากเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการถึง
“ไป๋”
เสียงอีกฝ่ายเรียกอย่างนุ่มนวล หลังจากที่บริกรได้เก็บจานอาหารที่ทานเรียบร้อยจานสุดท้ายออกจากห้องอาหารที่บรรจุไปด้วยความทรงจำมากมายแห่งนี้ไปแล้ว
“...” เขาเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้นอยู่ในอก
“อิฐมีเรื่องจะบอก” อีกฝ่ายพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง
“...” ปัณฑูรได้แต่เม้มปากแบบไม่รู้จะพูดอะไรออกไป
“ตะ...”
“เฮ้ย”
เคร้ง!
ยังไม่ทันที่อิฐจะพูดได้จบคำดี ไป๋ก็ต้องอุทานออกมาเพราะเผลอเอามือไปปัดแก้วชาเขียวที่กินเหลืออยู่นิดหน่อยล้มลงจนน้ำชาที่เหลืออยู่นิดหน่อยหกเปื้อนโต๊ะ อิฐทำท่าจะลุกขึ้นมาช่วยแต่เขาก็ยกมือห้ามไว้ พร้อมกับใช้ผ้ากันเปื้อนใกล้ตัวลงมือเช็ดน้ำที่หกจากแก้วเหล่านั้นอย่างไม่เงยหน้าไปมองอีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว
“อิฐ” ไป๋เอ่ยเรียกอีกฝ่ายทั้งที่ยังไม่สบตากับคนตรงหน้า
“ครับ?” คนรักของเขาตอบกลับมาด้วยเสียงสูงขึ้นในตอนท้ายประโยค
“เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราแข่งขันประกวดเดือนมหาวิทยาลัยกัน มึงคงยังจำได้” เขาพูดพร้อมเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายนิ่ง
“จำได้สิครับ แฟนอิฐวันนั้นหล่อจนอิฐหลงเลย” อิฐตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง
“วันนั้นมึงบอกว่าถ้ากูชนะมึง มึงจะคืนกาวน์สีฝุ่นให้กู แต่เมื่อกูชนะ มึงเปลี่ยนใจไปขอใช้สิทธิ์สั่งอะไรก็ได้กูหนึ่งอย่างตามที่กูเคยให้ไว้ และให้สิทธิ์ที่กูจะสั่งอะไรมึงก็ได้มาหนึ่งอย่างแทน โดยมีสัญลักษณ์เป็นเกียร์สีขาวอันนี้”
ไป๋พูดพร้อมถอดตุ้มหูที่เขาประดับไว้เป็นเวลา 10 ปีออกมาอย่างรักใคร เขาค่อยๆ ใช้กระดาษทิชชู่ที่วางอยู่ไม่ไกลเช็ดทำความสะอาดเกียร์สีขาวในมือนั้นอย่างทะนุถนอม
“ทำไมเหรอไป๋” อิฐถามอย่างงงๆ อย่างไม่เข้าใจอาการที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้
“...”
ไป๋ยังไม่ตอบ แต่เอื้อมมือขวาไปกุมมือซ้ายของอิฐก่อนจะดึงมือหนานั่นออกมาอย่างแผ่วเบา ไป๋ค่อยๆ ใช้มือของตนคลายมือของอิฐที่อยู่เบื้องหน้าให้แบออก ก่อนจะบรรจงวางเกียร์สีขาวที่เขารักที่สุดลงไปในมือนั้น และจึงใช้มือค่อยพับนิ้วแต่ละนิ้วของอิฐให้กุมวัตถุแทนใจของอีกฝ่ายที่เคยฝากเอาไว้ที่เขา
“ไป๋หมายถึงอะไร” อิทธิกรขมวดคิ้วและมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ
“วันนี้กูจะมาขอใช้สิทธิ์ของเกียร์สีขาวอันนี้ สิทธิ์ที่มึงเคยให้กูไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว สิทธิ์ที่กูจะขออะไรมึงก็ได้หนึ่งอย่าง” ไป๋พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือออกมาอย่างไม่อาจจะปิดบังได้
“ไป๋จะขออะไร” อิฐถามด้วยน้ำเสียงเบาแทบจะกลายเป็นกระซิบ
“อิฐ... กูขอให้เราเลิกกัน”
ปัณฑูรเอ่ยประโยคที่แสนจะเจ็บปวดออกมานั้นด้วยหยาดน้ำตา
นายพินต้า
ฝากเฟส ทวีตนายพินต้า ninepinta และฝากติดตามในแอพนี้ด้วยน้าาา
ขออนุญาตแวะมาลงไว้ก่อน เพราะปลายสัปดาห์นี้จะบินไปต่างประเทศ กลับมาอีกทีอาทิตย์หน้าเลย ไม่ได้ตั้งใจให้มันค้างนะ 55 มันมาลงตอนพอดี จะลงต่อให้ก็ไม่มีแต่งเก็บไว้เลย ขอไปรีเฟรชก่อนนะ สัปดาห์หน้าเจอกันเด้อ ; )