เช้านี้ที่ฟาร์มค่อนข้างวุ่นวายเพราะปรเมศสั่งเหล่าแกะสายพันธุ์ใหม่มาลงกว่าร้อยตัว ทำให้คนงานต้องวิ่งกันขวักไขว่ ถึงแม่จะเป็นฤดูร้อนที่บนเขาก็ยังคงมีอากาศเย็นและเมฆหมอกปกคลุมอยู่ประปราย
“เร่งกันทำงานให้หนักหน่อย เร็ว”
ปรเมศตะโกนไล่พวกคนงานที่นั่งอยู่ในซุ้มที่พัก ก่อนจะหยิบหมวกสไตล์คาวบอยขึ้นมาสวมใส่ แล้วเดินออกไปกลางแดดอ่อนๆในยามเช้า
“นายครับ นาย”
สุเมตวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นนาย หายใจเหนื่อยหอบเพราะมาไกล
“มีอะไร” ปรเมศหันไปถาม
“พี่จก้อยให้ผมมาถามนายว่า จะให้จัดห้องรับรองแขกรอเลยไหมครับ”
“ไม่ต้อง เพราะคนที่มาไม่ใช่แขก แต่จะมาเป็นคนรับใช้ ให้อยู่ห้องชั้นล่างก่อน แล้วฉันจะตามไปทีหลัง”
ปรเมศพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก แค่เขายอมรับข้อเสนอใหม่ของบดินทร์มันก็มากพอแล้ว
“ครับนาย”
สุเมตรีบรับคำสั่ง ก่อนจะวิ่งกลับไปยังบ้านไม้สักหลังใหญ่ซึ่งอยู่ท้ายไร่
อัยย์ญาดาเดินทางมาถึงสนามบินเชียงใหม่อย่างตรงเวลา เธอคิดว่าปรเมศจะมารอรับแต่กลับไม่ใช่เลย ที่จริงแล้วเธอก็ทราบดีแก่ใจว่าเขาไม่ได้เต็มใจให้เธอเป็นตัวแทนของพี่สาว
“คุณชื่อแตงโมใช่ไหม”
หญิงร่างท้วมเดินเข้ามาหา แล้วโชว์รูปถ่ายในมือให้เธอดู
“ชะ...ใช่ค่ะ”
“ตามฉันมา”
อำไพพูดห้วนๆตามแระสาวสาวห้าว แล้วจึงเดินรำไปก่อน
“เอ่อ...คุณ...คุณคะ”
พิมพ์ประภาลากกระเป๋าเดินตามไปอย่างทุลักทุเล ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าสายตาของผู้หญิงคนนี้ดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก
“ขึ้นไป เราต้องเดินทางกันอีกไกลกว่าจะถึงฟาร์ม”
อำไพเปิดฝาท้ายรถกระบะคันสูงให้เด็กสาวขึ้นไปบนนั้น
“จะให้ฉันอยู่ข้างหลังเหรอ?”
หลังรถกระบะมีทั้งเศษหญ้าเศษดิน ข้างหน้าก็ยังว่าง ทำไมถึงได้กลั่นแกล้งกันแบบนี้ล่ะ
“คุณกานต์สั่งมาแบบนี้ คุณรีบขึ้นไปเถอะ จะได้ไปกันสักที”
อำไพดึงกระเป๋าเดินทางออกจากมือเล็ก แล้วโยนขึ้นไปบนกระบะ
พิมพ์ประภาเม้มปากแน่น เธอรู้สึกไม่ดีเลย คล้ายกับว่าหนทางข้างหน้ายังมืดมน การที่เธอตัดสินใจมาที่นี่ส่วนหนึ่งก็เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและความหนักใจของบิดา และเธอก็ต้องผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้ มันแค่ปีเดียวเท่านั้นแตงโม เธอต้องทำได้อยู่แล้ว
“จะไปไหมคุณ รถออกแล้วนะ”
อำไพลดกระจกลงแล้วถามย้ำอีกที ก่อนจะหมุนกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์
“ไปค่ะ”
พิมพ์ประภาก้าวขาขึ้นอย่างทุลักทุเล ยังดีที่สันนี้เธอเลือกใส่กางเกงยีนส์ขายาวและรองเท้าผ้าใบ เลยทำให้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น
คนขับเปิดประตูลงมาจากรถเพื่อเดินไปปิดฝาท้ายให้เรียบร้อย ก่อนจะกลับเข้านั่งประจำที่แล้วเร่งขับออกไปตามถนนที่มุ่งขึ้นสู่อำเภอสะเมิง ซึ่งเป็นที่ตั้งของไร่ภูฟ้า
ทางเลี้ยวคดเคี้ยวขึ้นลงตามหุบเขา พิมพ์ประภาจำต้องหาที่เกาะยึดให้แน่น แถมยังต้องเจอกับเม็ดฝนซัดซาลงมาจนเสื้อผ้าเปียกปอน ทั้งลม แดด และฝนในเวลาเดียวกัน แถมยังมีฝุ่นควันจากทางถนนลูกรัง นานเกือบสามชั่วโมงที่เธอต้องทนนั่งหลังขดหลังแข็ง จนในที่สุดเธอเห็นป้ายทางเข้าไร้ภูฟ้า แต่ถึงแม้จะเป็นทางเข้าไร่แต่ก็ไกลกว่าสิบกิโลเมตร
“ถึงแล้ว”
อำไพจอดรถเอาไว้ในไร่ และบอกให้พิมพ์ประภาเดินเข้าไปอีกกว่าจะถึงบ้านพัก
“ฉันเปียกไปหมดแล้ว ขอเข้าห้องน้ำแถวนี้ก่อนได้ไหม”
สภาพของเธอในตอนนี้ดูไม่ต่างอะไรกับลูกหมาตกน้ำ ผมเผ้าพันกันยุ่งเหยิงไปหมด
“ไม่มีห้องน้ำหรอกคุณ เดินต่อไปอีกสองกิโลคุณก็จะถึงบ้านพัก”
อำไพพูดจบก็เดินออกมา เพราะทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้ว
“ถนนก็มี ทำไมไม่เอารถเข้าไปล่ะ”
เธอพอจะรู้ตัวว่ากำลังโดนกลั่นแกล้ง ซึ่งก็คงไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากปรเมศ สาวน้อยกัดฟันอดทนลากกระเป๋าไปบนทางลูกรังคลุกฝุ่น
ร่างใหญ่กำลังยืนป้อนหญ้าให้ลูกแกะอยู่ แล้วเขาก็เห็นอำไพเดินมาแต่ไกลจึงยกยิ้มที่มุมปากขึ้น
“เธอมาถึงแล้วค่ะนาย”
อำไพรายงาน
“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”
ปรเมศยังคงหยิบหญ้าป้อนให้ลูกแกะตัวเดิม น้ำเสียงของเขามั่นคงและราบเรียบไร้ความรู้สึกใดๆ
“บอกให้เดินไปที่บ้านพักแล้วค่ะ”
“หมดหน้าที่ของเธอแล้ว มีอะไรก็ไปทำเถอะ”
หลังจากที่อำไพไปแล้ว เขาก็วางหญ้าลง แล้วเดินไปล้างมือ นับตั้งแต่วันนั้นที่สาวน้อยมายืนพูดฉอดๆต่อรองกับเขาผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วสินะ เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าลูกคุณหนูแบบนั้นจะทำอะไรเป็นบ้าง
“สวัสดีค่ะ มีใครอยู่ไหมคะ” ร่าบางร้องเรียกอยู่หน้าบ้านไม้หลังใหญ่สองชั้น ที่นี่เงียบสงบราวกับว่าไม่มีคนอยู่ แต่เธอก็ไม่ถือวิสาสะที่จะเดินเข้าไปเอง เดี๋ยวจะโดนปรเมศว่าเสียมารยาทเอาได้
“มีใครอยู่ไหมคะ”
หลังจากที่เธอส่งเสียงเป็นครั้งที่สอง ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมา ดูจากการแต่งตัวแล้ว เธอก็คาดคิดว่าเป็นแม่บ้าน
“สวัสดีดีค่ะ”
พิมพ์ประภาฉีกยิ้มกว้างเมื่ออีกฝ่ายมีรอยยิ้มส่งมาให้เธอก่อน
“ดิฉันชื่อก้อย ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่นี่ค่ะ”
หล่อนรีบพนมมือรับไหว้แทบไม่ทัน เด็กสาวหน้าตาสระสวย ผิวพรรณขาวผุดผ่องเป็นยองใย นี่หรือที่เจ้านายบอกว่าจะมาเป็นคนใช้
“ไม่ต้องเรียกเป็นทางการขนาดนั้นหรอกค่ะ เรียกแตงโมก็พอค่ะพี่ก้อย”
พิมพ์ประภารีบปฏิเสธ แต่ยังไม่ทันคุยอะไรกันมาก ก็มีเสียงดังขัดคอขึ้นมาก่อน
“มาถึงแล้วก็รีบเอากระเป๋าไปเก็บสิ จะได้ทำงานต่อ ให้มันคุ้มค่ากับเงินที่ฉันเสียไปหน่อย”
สองมือล้วงกระเป๋าแล้วก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของคนตัวเล็ก เขาสังเกตได้ว่าพิมพ์ประภานั้นยืนนิ่งมาก จึงไม่รอให้เธอปริปาก หันไปออกคำสั่งกับก้อยแทน
“ก้อยพาไปที”
“ค่ะ คุณกานต์”
แม่บ้านสาวพยาบาลจะช่วยพิมพ์ประภายกกระเป๋า แต่แล้วเธอก็โดนปรเมศห้าม
“ปล่อยให้เจ้าของกระเป๋าถือเองสิ”
สาวน้อยอดไม่ได้ หันขวับไปมองใบหน้าของคนใจร้าย ถึงแม้ปรเมศจะยังดูหล่อมากในสายตาเธอ แต่ปากของเขามันก็ร้ายกาจ คมเสียยิ่งกว่ากรรไกร
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ก้อย แตงโมยกเองไหวค่ะ”
ร่างบางดึงกระเป๋าตัวเองกลับมาถือไว้ ก่อนจะก้าวขาเดินตามก้อยเข้ามาในบ้าน นี่แค่วันแรกปรเมศก็เปิดศึกกับเธอแล้ว
“พอเอากระเป๋าไปเก็บแล้ว อย่าลืมมาเช็ดน้ำที่หยดตามพื้นด้วยนะ”
ในเมื่อเธอออยากมาอยู่กับที่นี่แทนพี่สาวนักหนา แน่นอนว่าเขาจะเรียกใช้งานเธอชนิดที่ว่าไม่มีวันได้อยู่สบาย ให้สมกับเงินที่เสียไป
“ค่ะ” มีทางเดียวที่เธอทำได้คือน้อมรับคำสั่งจากเขาเท่านั้น
คุณกานต์ร้ายเหมือนกันนะเนี่ย ว่าแต่...ไม่สนใจแตงโมจริงป่าวน๊า
ขอกำลังใจ กดถูกใจนิยาย ให้หญิงแพรวกันด้วยน๊า
เข้ามาพูดคุยกับหญิงแพรวได้ที่ Facebook (เพจ)
พิมพ์ตรงช่องค้นหา >> อรภาวาสิริ หญิงแพรว