ตอนที่ 101 : หอคอยงาช้าง
“เฮ้ย พูดแบบนี้ไงวะ”
เสียงของอิฐดังขึ้นจนคนที่นั่งถัดจากโต๊ะเจ้าภาพออกไปหันหน้าไปมาอย่างสนใจ ไป๋เอามือแตะแขนแฟนของตนไว้เป็นเชิงบอกว่าให้ใจเย็นกับคำพูดไร้มารยาทของคนตรงหน้า
“ใจเย็นอิฐ เดี๋ยวกูจัดการเอง”
ไป๋พูดด้วยรอยยิ้มสงบ ก่อนจะดึงตัวอิฐเลื่อนออกมาตามที่นั่งของม้านั่งยาว และตนเองก็ลุกขึ้นไปนั่งแทรกตรงกลางระหว่างอิฐกับแม่เลี้ยง พร้อมหันหน้าไปเผชิญสายตาที่เหยียดหยามนั่นด้วยความเรียบนิ่งแต่ท้าทาย
“ไหนคุณลองบอกหน่อยซิว่าคุณมีสิทธิ์อะไรในเงินก้อนนี้”
ไป๋เริ่มต้นบทสนทนาครั้งใหม่ขึ้นเป็นครั้งแรก สีหน้าของเขาเรียบสนิทไร้ท่าทางของความโมโห ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะผรุสวาทด่าทอแบบไม่ให้เกียรติเขาเลยแม้แต่น้อย ไป๋หยิบซองเงินฟ่อนใหญ่ที่เก็บไว้ในกระเป๋าของตนขึ้นมาดูพิจารณา พลางเสหน้าไปหาอีกฝ่ายแบบตั้งคำถาม
“ชั้นต้องถามแกมากกว่าว่าแกหนะมีสิทธิ์อะไร อย่ามาเล่นลิ้นกับชั้นนะ”
อีกฝ่ายถลึงตามาอย่างก้าวร้าว ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะสาดคำพูดมาแบบไร้ความเป็นมิตรมาแบบสิ้นเชิง แต่บุคลิกภายนอกก็ยังดูปรกติในระดับเสียงที่คนนอกคงได้ยินได้ยาก หากคนอื่นมองเข้ามา ก็คงจะคิดว่าเป็นการพูดคุยธรรมดาๆ เพียงเท่านั้น
“แฟนของผมเป็น ลูก ของเค้า ลูกในที่นี้หมายเป็นลูกทั้งในเชิงพฤตินัยและนิตินัย ลูกที่มีศักดิ์และสิทธิ์ในการได้รับทรัพย์สมบัติของเขาอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ คุณต่างหากหละคุณกฤติกา คุณเป็นใคร?”
ปัณฑูรถามกลับไปด้วยสายตาที่ราวกับมองลงมาจากหอคอยงาช้าง สายตาที่เขาแทบไม่เคยจะใช้กับใครเลยนอกจากเก็บไว้ในสถานการณ์แบบนี้ สายตาที่ว่านนิยามว่าน่าหมั่นไส้ที่สุด แววตาที่เหมือนจะบอกเป็นสัญลักษณ์ของความห่างชนชั้นระหว่างอีกฝ่ายและเจ้าของสายตา
“แก! นี่แกหาเรื่องชั้นเหรอ พวกเด็กไม่มีสัมมาคารวะ” อีกฝ่ายพ่นประโยคกลับมาทันทีด้วยแววตาโมโหร้าย
“ใจเย็นหน่อยสิครับคุณกฤติกา ผมก็แค่ถามว่าคุณเป็นใคร ทำไมเหรอครับ การถามถึงสถานภาพของคุณกับเค้านี่ทำให้คุณอารมณ์ร้อนได้ถึงเพียงนี้เลยเหรอ” ไป๋เสหน้าไปทางโลงศพที่ตั้งสวดอภิธรรมอยู่ พร้อมยิ้มมุมปากกึ่งเยาะ อย่างรู้ว่าตัวเองนั้นถือไพ่เหนือกว่า
“ชั้นเป็นเมียเค้า แกได้ยินไหม ชั้นเป็นเมียเค้า ชั้นนอนกับเค้าทุกคืน เงินของเค้าชั้นต้องได้ สมบัติของเค้าชั้นต้องได้ พวกแกเป็นใคร พวกลูกอกตัญญูที่ไม่เคยมาดูดำดูดีพ่อตัวเอง พอเค้าตายก็หวังจะมาชุบมือเปิบ”
ผู้หญิงคนนั้นจงใจหันไปด่าอิฐที่นั่งออกไปอย่างจงเกลียดจงชัง อิฐทำท่าจะโมโหและเข้ามาร่วมวงสนทนานี่ด้วยอย่างบันดาลโทสะ แต่ไป๋ก็ได้แต่แตะต้นขาไว้เป็นการบอกให้ใจเย็นๆ
“ผมสรุปให้แล้วกันว่าคุณเป็นคู่สมรสนอกกฎหมาย ผมพูดถูกใช่ไหม คุณกฤติกา” ไป๋หันไปถามพร้อมรอยยิ้มเย็นยะเยือก
“ทะเบียนสมรสมันสำคัญยังไง ในเมื่อชั้นนอนกับเค้าทุกคืน สมบัติทุกอย่างของเค้าชั้นต้องได้” คนที่ได้ชื่อว่าเป็นครูคนนั้นพูดพร้อมเชิดหน้าขึ้นอย่างเย้อหยิ่ง
“บางทีคุณอาจจะเข้าใจสถานะตัวเองผิด ผู้หญิงบางคนก็ต้อง นอน กับผู้ชายทุกคืน แต่ก็ไม่ได้ชื่อว่าเมีย ส่วนเงินตราที่ได้ก็แค่เพียงพอจะใช้จ่ายในแต่ละวัน” ไป๋พูดพร้อมทำหน้าเห็นใจ ที่ไม่ว่าใครดูก็คงจะรู้ว่าเสแสร้ง
“อีตุ๊ด! นี่แกกำลังด่าว่าชั้นเป็น...”
เสียงของผู้หญิงตรงหน้าเริ่มดังขึ้นอย่างโมโหร้ายและดูจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ โดยเฉพาะตอนท้ายประโยคที่แม้แต่ตัวเจ้าของประโยคนั้นก็ไม่กล้าแม้จะเอ่ยได้จนจบ
“หยุดนิยามเพศสภาพของผมสักที คุณไม่มีสิทธิ์! และผมก็ไม่สนใจด้วยว่าคุณจะนิยามว่าผมและแฟนของผมเป็นอะไร ผมว่าคุณเอาเวลาที่พอจะเหลืออยู่ไปนิยามสถานะของตัวเองดีกว่า ว่าตัวคุณหนะ คุณหนะมีฐานะเป็นอะไร” ไป๋พูดออกมาพร้อมสายตาที่ก้าวร้าวแต่เยือกเย็น
“แกไม่มีสิทธิ์มาพูดกับชั้นแบบนี้ แกเป็นใคร ชั้นไม่ยอมให้แกมาแย่งทุกอย่างไปจากชั้นแบบนี้แน่!” เสียงของอีกฝ่ายกร้าวขึ้นอย่างปิดบังอารมณ์ไว้ไม่มิด
“คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคุณกฤติกา ผมต่างหากที่ต้องถามคุณว่าคุณหนะเป็นใคร คุณจะแย่งสมบัติอะไรไปจากพวกผม” ไป๋พูดพร้อมกลั้วหัวเราะร่วนอย่างจงใจกวนประสาท
“ไม่ต้องมาย้อนชั้น!” อีกฝ่ายเริ่มแผดเสียงดังขึ้น อย่างไม่สนใจแม้แต่เสียงพระที่กำลังสวดมนต์ในงานศพของสามีตัวเองอยู่
“ลูกชายของเค้าที่คุณพูดจาว่าร้ายเค้าอยู่ตลอดตรงนี้คือคนที่มีสิทธิ์ขาดในสมบัติทุกอย่างทุกชิ้นทุกบาททุกสตางค์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เค้าเป็นทายาทอันดับหนึ่ง เป็นผู้สืบสันดาน เป็นผู้ที่จะได้รับทุกอย่างในเชิงนิตินัย คุณหละ คุณกฤติกา คุณจะใช้ข้อโต้แย้งไหนมาเถียงผมในประเด็นนี้” ไป๋พูดพร้อมยิ้มเหยียด
“ชั้นเป็นเมียเค้ามา 10 ปี ยังไงชั้นก็ต้องได้ ชั้นไม่มีวันปล่อยสิ่งที่ชั้นควรจะได้ไปให้พวกวิปริตผิดเพศอย่างพวกแกเด็ดขาด” ผู้หญิงคนนั้นพูดอย่างเผ็ดร้อน พร้อมชี้นิ้วกราดมาที่พวกเขาทั้งสองคน
“เมีย? ฟังดูดีนี่คุณกฤติกา คุณนอนข้างเค้าทุกคืนมาเป็นเวลา 10 ปี แต่คุณไม่สงสัยบ้างเหรอว่าทำไมคนที่นอนอยู่นั่นเค้าไม่คิดแม้แต่จะให้เกียรติคุณด้วยสิ่งที่เรียกว่าทะเบียนสมรส” ไป๋พูดพร้อมเลิกคิ้วแกล้งเป็นเชิงสงสัย
“ไม่ต้องสะเออะมาสอนชั้น!”
เสียงตอบกลับมานั้นยิ่งฟังยิ่งรู้ว่าเต็มไปด้วยโทสะที่ควบคุมได้ยาก ต่างกับตอนแรกที่ฝ่ายโน้นตั้งใจจะยั่วให้พวกเขาโกรธแล้วโมโหเสียเอง
“ผมจะบอกให้นะคุณกฤติกา ผู้ชายที่เค้านอนข้างคุณมาตลอด 10 ปีหนะ เค้า รู้ไงว่าเนื้อแท้ของคุณเป็นคนยังไง เค้าอาจจะเดาไว้แม้กระทั่งถ้าคุณได้สมบัติไปแล้ว คุณจะถีบหัวส่งเค้าในตอนแก่ เค้าจึงกำทรัพย์สมบัติไว้เป็นเครื่องต่อรอง เพราะรู้ว่าตราบใดที่คุณยังวางใจในมรดกหลังจากเค้าตายไม่ได้ คุณก็จำเป็นต้องอยู่กับเค้าต่อไป”
ไป๋แกล้งทำเป็นพูดเชิงสอนกึ่งเฉลยให้คนตรงหน้ารู้ และนั่นยิ่งเป็นการโหมเพลิงแห่งความโกรธแค้นของคนตรงหน้ายิ่งขึ้นไปอีก
“ชั้นรักเค้าและเค้าก็รักชั้น เค้ากำลังจะจดทะเบียนกับชั้นอยู่แล้วแต่เค้าก็ป่วยเสียก่อน ชั้นไม่อยากเร่งรัดเค้า แต่ความจริงคือชั้นต้องมีสิทธิ์ในสมบัติเขาทั้งหมด” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่มีความมั่นใจเท่าตอนแรก
“จริงเหรอคุณกฤติกา คุณพูดจริงเหรอคุณกฤติกา ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจมาหลายปี แต่ประวัติของเค้าได้รับยาไม่เคยต่อเนื่องหรือสม่ำเสมอเลย รายงานผู้ป่วยเขียนว่าผู้ป่วยผิดนัดแพทย์เป็นประจำเพราะภรรยาไม่ว่างพามาหาหมอ เค้าต้องขาดยาเป็นเวลานานจนโรคทรุดไวกว่าที่ควร แถมน้ำตาลในเลือด ไขมันในเลือด ความดันโลหิตก็สูงจนควบคุมไม่ได้เลยสักครั้งที่ตรวจ ทั้งที่ผู้ป่วยก็บอกว่ากินอาหารที่ภรรยาทำทานให้ทุกมื้อ คุณไม่ได้ ตั้งใจ จะทำอะไรใช่ไหมคุณกฤติกา คุณไม่ได้ตั้งใจทำอะไรกับคนที่นอนอยู่ตรงนั้นจริงๆ ใช่ไหม”
ไป๋หรี่ตาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนือกว่าพลางชี้นิ้วไปยังโลงศพที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางงานฌาปนกิจตอนช่วงท้ายประโยค อิฐที่กำลังฟังไป๋พูดอยู่ถึงกับหันมามองหน้าเขาและเบิกตาโพล่งอย่างตกใจ แต่ชายหนุ่มก็เลือกที่จะปิดปากเงียบและขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด
“แกกล้าดียังไงมาหาว่าชั้นจงใจฆ่าสามีตัวเอง!”
แทบไม่เหลือเค้าลางความดูดีสมวัยที่เห็นได้ในเบื้องแรก ผู้หญิงตรงหน้าเขาในเวลานี้แทบจะกรีดเสียงออกมาด้วยความไร้มารยาทและไร้รสนิยมโดยสิ้นดี
“คุณไม่ต้องเฉลยหรอก เพราะพวกผมไม่ได้อยากรู้คำตอบ”
ไป๋พูดแบบยิ้มเยาะเหมือนคนที่เจอไพ่ตายของอีกฝ่ายแล้ว ในขณะที่หญิงคนนั้นก็ทำได้แค่กัดฟันกรอดอย่างโมโห แต่ก็ไม่กล้าผรุสวาทอะไรออกไปอีก
“ผมจะบอกอะไรให้อีกอย่างนะคุณกฤติกา” ไป๋พูดพร้อมรอยยิ้มเย็นยะเยือก
“...” อีกฝ่ายไม่พูดอะไร แต่ก็ถลึงตามองมาอย่างอารมณ์ร้อน
“ผู้ชายที่นอนอยู่คนนั้นเค้ารู้ตัวมานานแล้วว่าเค้าตัดสินใจผิดที่เลือกคุณ เขาตัดสินใจผิดที่ไม่ได้เลือกภรรยาคนแรกและลูกชายของเค้า ทุกคืนที่เค้านอนอยู่เคียงข้างคุณ เค้ารู้สึกผิดมาตลอดที่ทอดทิ้งให้ลูกชายของตัวเองไปตกระกำลำบากโดยที่ตนเองไม่เคยคิดแม้แต่จะช่วยเหลือ แต่ด้วยทิฐิ เค้าจึงไม่กล้าแม้แต่จะกลับไปคุยกับลูกชายตัวเองอีกครั้ง”
ไป๋พูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ประโยคนั้นดูเหมือนจะมีผลมาก ทั้งภรรยาใหม่ที่เขาเพิ่งประกาศสงครามด้วย และลูกชายที่นั่งอยู่ข้างเขาอีกฝั่ง อิฐเม้มปากแน่นอย่างไม่พูดอะไร แต่ก็ทอดสายตามองไปยังโลงศพนั่นอย่างสงบ
“แต่สุดท้ายเค้าก็เลือกชั้น และเลือกจะทิ้งลูกชายวิปริตอย่างแก”
ผู้หญิงคนนั้นหันมาพ่นวาจาร้ายใส่หน้าของอิฐ แต่ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะโต้แย้ง แต่สายตายังคงทอดมองไปเบื้องหน้าราวจะขบคิดไปตามคำพูดของคนข้างกาย
“ผิดแล้วคุณกฤติกา ชายคนนั้นไม่เคยเลือกคุณ แต่เค้าเลือกลูกชายที่เค้าทอดทิ้งมาตลอดชีวิต เค้าจงใจไม่จดทะเบียนสมรสกับคุณ เพราะจงใจจะให้เงินคุณเท่าที่เค้าอยากจะให้ยามที่เค้ามีชีวิตเท่านั้น แต่เมื่อเค้าตาย เค้าจะยกมรดกทั้งหมดในชีวิตให้กับลูกชายคนเดียวของเค้า” ไป๋พูด
“...” อิฐหันมามองหน้าเขาพร้อมกับทำสีหน้าที่อธิบายได้ยาก
“ความสัมพันธ์บนเตียงที่ไร้ทะเบียนสมรสตลอด 10 ของคุณนั่นแหละ ที่เป็นคำขอโทษที่ดีที่สุดที่เค้าได้มอบไว้ให้ลูกชายของเค้าในวันที่เค้าได้จากโลกนี้ไปแล้ว”
ไป๋พูดจนจบประโยค ปฏิกิริยาของผู้ฟังทั้งสองต่างกันโดยสิ้นเชิง ภรรยาไร้สถานะของผู้ตายกัดฟูดจนสันกรามนูนชัดอย่างโมโหถึงขีดสุด ต่างกับลูกชายนอกคอกของผู้ตายที่ตอนนี้น้ำตาซึมออกมาน้อยๆ ขณะเหม่อมองไปที่โลงศพที่บรรจุร่างที่ไร้วิญญาณนั้น
“พวกแกเล่นกับชั้นแบบนี้เหรอ!” เสียงของผู้หญิงตรงหน้าร้องขึ้นพร้อมดวงตาที่ถลึงอย่างคุกคาม
“เสียใจด้วยนะคุณกฤติกา แต่ดูเหมือนบ้านของเค้าที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่กำลังถูกบริษัทดังตระเวนกว้านซื้อไปทำห้างสรรพสินค้าจนราคาขึ้นมาเป็น 10 เท่านั้น จะไม่ได้ตกเป็นของคุณ แต่จะเป็นของลูกชายของเค้าที่นั่งอยู่ตรงนี้” ไป๋พูดด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง
“พวกแกมันโสโครกที่สุด”
“ได้ข่าวว่ามูลค่าบ้านตอนนี้น่าจะดีดไปกว่า 30 ล้านแล้ว น่าเสียดายนะคุณกฤติกา เงินก้อนบำเหน็จที่ได้มาตอนเกษียณของเค้าก็ใช้ไปกับการดูแลรักษาโรคหัวใจตอนที่เค้ายังอยู่ไปจนเกือบหมด แถมสมบัติชิ้นโตมูลค่ามหาศาลก็กำลังจะตกเป็นของทายาทที่แท้จริงอีกด้วย” ไป๋ยิ้มราวจะเห็นใจ
“แก!”
“โถ่ ช่างเป็นการลงทุนกว่า 10 ปีที่ให้ผลลัพธ์ที่ไร้ค่าจริงๆ” ไป๋ยิ้มมุมปากอย่างสะใจ
“ได้! แกจะเล่นกับชั้นอย่างนี้ใช่ไหม”
อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็ปรับสีหน้าไปเป็นมุ่งร้ายขึ้น ราวกับจะคิดแผนการณ์อะไรใหม่ได้ออก ริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีสดนั้นเหยียดขึ้นอย่างสะใจ
“ทำไมเหรอคุณกฤติกา” ไป๋เลิกคิ้วแกล้งทำท่าทีเป็นสงสัย
“หึหึหึ ได้ข่าวมาว่าแกรวยนี่ นายแพทย์ปัณฑูร วงศ์วรเวช” ผู้หญิงคนนั้นพูดพร้อมอ่านชื่อและสกุลที่ปักอยู่บนหน้าอกเสื้อกาวน์ของไป๋อย่างเน้นเสียงและจงใจ
“ใช่ครับ ผมรวย คุณเข้าใจไม่ผิด” ไป๋ยิ้มตอบอย่างกวนประสาทกลับ
“ดี! ชั้นจะแฉเรื่องแกกับไอ้แมงดาลูกชายของผู้ชายเฮงซวยนั่นให้หมด ดูซิว่าถ้าพ่อแม่แกรู้ว่าลูกชายตัวเองเป็นพวกวิปริตผิดเพศแบบนี้ พวกเค้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ในเมื่อชีวิตชั้นพังพินาศ คนอื่นก็ต้องพังพินาศด้วยเหมือนกัน!” กฤติกาพูดด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
“เฮ้ย! พูดแบบนี้ได้ไงวะ!”
คราวนี้เป็นอิฐที่ร้องขึ้นอย่างโมโหพร้อมทำท่าจะพุ่งเข้าหาคนตรงหน้าอย่างหาเรื่อง แต่ไป๋ก็ได้แต่คอยกันไว้ไม่ให้กลายเป็นเหตุทะเลาะวิวาท แต่อีกฝ่าย หญิงเกือบชราคนนั้นก็ยังแผดเสียงยั่วยุข่มขู่อย่างจงใจจุดบันดาลโทสะของอิทธิกรต่อไป
“จำคำพูดของชั้นไว้นะ ชีวิตของพวกแกจะถูกชั้นทำลายจนป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี!”
นายพินต้า
ฝากเฟสและทวีตหน่อยเร็ว นายพินต้า ninepinta น้า มาเถอะ เผื่ออัพเดตนิยายเรื่องใหม่น้า
ไปนั่งนับนิ้วมา พบว่าต้องลงให้ถี่ขึ้น ไม่งั้นจะจบเรื่องไม่ทันสิ้นปี 555555 เลยต้องเร่งมาลงหน่อย เพราะจะเปิดเรื่องใหม่ตอนปีใหม่เป็นสิริมงคล 555555 เดี๋ยวเรื่องใหม่คงจะเปิดเรื่องไว้ก่อนล่วงหน้านะ ไว้เปิดแล้วจะมาแจ้งข่าวชวนให้ลองเข้าไปอ่านบทนำกับเรื่องย่อดู ถ้าชอบก็ฝากเก็บเข้าชั้นหนังสือไว้น้า ปีหน้าฟ้าใหม่ มาเริ่มต้นนิยายเรื่่องใหม่กับนายพินต้ากัน ตอนนี้รอภาพปกอยู่ อิอิ
ปล. ตอนนี้ก็ห้ามลืมเมนต์นะ มาบ่อยกว่าปรกตินะเนี่ย ไม่เมนต์ได้หยอออออ