2 เมษายน พ.ศ. 2513
สวัสดีค่ะ พี่วี
พ่อหายดีแล้วค่ะ ส่วนน้องโออีกไม่กี่วันก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้ค้ำยันแล้วค่ะ
ตอนแก้วอ่านถึงตอนที่พวกพี่ ๆ เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งที่แม่น้ำ แก้วลุ้นจนตัวโก่ง…เกือบจะลืมหายใจเลยล่ะค่ะ โชคดีจริง ๆ ที่ทุกคนปลอดภัย
ช่วงนี้ที่สวนยุ่งมากเลยค่ะ พ่อเลยต้องจ้างคนงานมาช่วยงานเพิ่มหลายคน หลังโรงเรียนเลิกเด็ก ๆ ลูกคนงานไม่มีใครดูแล แก้วเลยต้องควบหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กไปอีกหนึ่งตำแหน่งค่ะ
ในที่สุดนกแก้วดื้อร้ันตัวนั้นก็ยอมพูดซะที พี่วีลองทายสิคะว่าคำแรกที่มันพูดออกมาคือคำว่าอะไร?
ทายไม่ถูกเลยใช่ไหมคะ?
“วี” ค่ะ
มันพูดคำว่าวีซ้ำไปซ้ำมาเกือบทั้งวัน จนเด็ก ๆ สงสัย อยากรู้กันใหญ่ว่าวีคือใคร
แก้วเลยเล่าให้พวกเขาฟังถึงเรื่องทหารที่กำลังเสี่ยงชีวิตท่ามกลางสมรภูมิรบที่เวียดนามใต้ค่ะ
ฝีมือการเล่าเรื่องของแก้วคงจะเป็นที่หนึ่ง เพราะเด็ก ๆ คะยั้นคะยอขอให้แก้วเล่าเรื่องการใช้ชีวิตในป่าของทหารกันใหญ่ จนตอนนี้หมดเรื่องจะเล่าแล้วล่ะค่ะ
พวกเด็กผู้ชายประทับใจในความกล้าหาญและเสียสละของทหาร บอกกันเป็นเสียงเดียว ว่าโตขึ้นจะเป็นรั้วของชาติกันทุกคน
ถือว่าแก้วได้ทำหน้าที่เผยแพร่ความดีความชอบของทหารให้แก่เด็กและเยาวชน (ไม่รู้ว่าจะมีทหารใจดีคนไหน…จะมอบรางวัลให้บ้าง)
นอกจากพี่วีจะเป็นคนดังในกลุ่มเด็ก ๆ แล้ว พวกผู้ใหญ่เองก็อยากรู้ว่าพี่เป็นใคร
เอาเป็นว่าตอนนี้พี่วีเป็นหนุ่มดังประจำหมู่บ้านอันดับหนึ่งไปเรียบร้อยแล้วค่ะ เพราะนกแก้วหัวดื้อตัวนั้นแท้ ๆ เชียว
น้องโอกับลูกลิงน้อยเข้ากันได้ดีเหลือเกิน (ถึงจะพูดกันคนละภาษาก็ตาม) ตอนนี้น้องโอไม่จำเป็นต้องปีนต้นมะม่วงเองแล้วค่ะ แค่ชี้ให้ลูกลิงดูว่าอยากได้มะม่วงลูกไหนมันก็จะรีบปีนขึ้นไปเด็ดให้เจ้านายตัวน้อยทันทีเลยค่ะ เรียกเสียงหัวเราะจากพวกคนงานบ่อย ๆ
แม้แต่พ่อเองก็เผลอหลุดเสียงหัวเราะออกมาก็หลายครั้ง
แก้วรู้สึกขอบคุณที่เกิดมาเป็นคนไทย ไม่ต้องหวาดผวากับเสียงปืน ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสงครามอันโหดร้าย…ที่ไม่รู้ว่าความสงบสุขจะมาเยือนเมื่อไหร่
ใกล้จะสงกรานต์แล้ว แม่กับแก้วต้องไปช่วยหลวงตาเตรียมงานที่วัดทุกวันเลยค่ะ
แต่พี่วีไม่ต้องเป็นห่วงว่าแก้วจะยุ่งเสียจนไม่มีเวลาเขียนจดหมาย เพราะหลวงตาได้คนงานสาว ๆ มาช่วยเกือบสิบคนเชียวค่ะ พวกเธอก็ไม่ใช่ใครอื่นเป็นเพื่อน ๆ ของแก้วที่เขียนจดหมายถึงพี่ ๆ ทหารที่รบอยู่แถวหน้านั่นเองค่ะ
สาเหตุที่พวกเธอปลีกเวลามาช่วยงานที่วัดได้ เพราะอยากมาสุมหัวนินทา อุ้ย! แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แต่ละคนอยากรู้เหลือเกินว่าเนื้อความในจดหมายที่พี่ ๆ ทหารเขียนมาว่าอย่างไร
พอถึงคราวของแก้ว แก้วก็แค่ยิ้ม ๆ บอกคำเดียวสั้น ๆ ว่า ‘เป็นความลับ’ ซ้ำยังทำตีหน้าดุ ๆ ใส่พวกเธอด้วย
วิธีนี้ได้ผลชะงัดค่ะ เพราะไม่มีใครกล้าซักไซ้ต่อแม้แต่คนเดียว
ขอให้คุณพระคุ้มครองพี่วี
แก้ว
ป.ล. แก้วไม่เคยชมจันทร์กับคนรู้ใจ ตอบไม่ได้ค่ะว่าจะพิเศษกว่ากันไหม
หัวใจดวงแกร่งเต้นรัวแรงอย่างบ้าคลั่งเพียงเพราะประโยคเดียวของเธอ…
‘แก้วไม่เคยชมจันทร์กับคนรู้ใจ ตอบไม่ได้ค่ะว่าจะพิเศษกว่ากันไหม’
เธอยังไม่มีคนรู้ใจ!
แม้จะไม่พยายามคิดอะไรลึกซึ้งกับเธอ แต่ลึก ๆ ในใจแอบหวังว่ากรองแก้วยังไม่มีคนรัก
เวลานี้เขาได้ปฏิบัติหน้าที่ครบเกือบหกเดือนแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะได้รับอนุญาตให้กลับเมืองไทยเพื่อพักผ่อนเป็นเวลา 10 วัน ทีแรกผู้หมวดตั้งใจจะแวะไปเยี่ยมเยียนเธอด้วย อยากเห็นเหลือเกินว่าหน้าตาของกรองแก้วเป็นอย่างไร จะเหมือนกับที่เขาจินตนาการเอาไว้ไหม
แต่พี่สาวเขียนจดหมายมาบอกว่าจะจัดงานแต่งงานช่วงที่เขากลับเมืองไทยพอดี คงไม่มีเวลาจะไปเยี่ยมเยียนกรองแก้ว คงต้องรอให้เขาเสร็จสิ้นจากภารกิจอีกเกือบหนึ่งปีถึงจะได้มีโอกาสได้พบกัน
3 พฤษภาคม พ.ศ. 2513
สวัสดีครับ แก้ว
หวังว่าแก้วจะสนุกกับการดูแลเด็ก ๆ นะครับ และขอบใจมากที่มีน้ำใจเผื่อแผ่มาถึงพวกทหารอย่างพี่ ๆ
กลับเมืองไทยแล้วพี่จะเอารางวัลไปให้แก้วถึงที่บ้านเลย
ต้องขอบใจนกแก้วตัวนั้นด้วยที่ทำให้พี่กลายเป็นคนดังประจำหมู่บ้าน แล้วพี่จะเอาของฝากไปเผื่อมันด้วย
แก้วมีน้องโอกับลูกลิงน้อยเป็นเพื่อนคงไม่เหงา ส่วนพี่ ๆ เวลาออกไปลาดตระเวนนอกค่าย มองไปทางไหนก็เห็นแต่ป่าเขาลำเนาไพร พวกเราส่วนใหญ่ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้แล้ว…ชินแล้วล่ะ
ทางค่ายแบร์แคทช่วงนี้ค่อนข้างตรึงเครียด เพราะทหารถูกส่งตัวกลับไปหลายนายแล้ว สาเหตุเพราะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม…ในสงครามที่ต้องตื่นตัวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ได้
กองพลเสือดำเป็นทหารอาสาสมัครเข้าร่วมรบประสบการณ์ในการใช้ชีวิตท่ามกลางสงครามจึงยังน้อย เพราะความเครียดสภาพจิตใจจึงย่ำแย่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ไหว
พี่เชื่อว่าคนที่ถูกส่งตัวกลับบ้านไม่มีใครอยากให้ผลออกมาเป็นเช่นนี้ แต่พวกเขาได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว
ถ้าแก้วยังจำได้หมวดของพี่มีทหารทั้งหมด 36 นาย ผู้บังคับหมวดอีกหนึ่งนาย พวกเรามีพื้นเพแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านครอบครัวหรืออาชีพก่อนที่จะสมัครเป็นทหาร แต่หลังจากที่ได้ร่วมเป็นร่วมตาย อดข้าวด้วยกัน สู้รบกับศัตรูหลังชนฝาด้วยกัน เป็นเวลาเกือบหกเดือนเต็ม จึงมีความใกล้ชิดและผูกพันกันเหมือนคนในครอบครัว
เสร็จจากภาระกิจนี้แล้วไม่รู้ว่าพวกเราจะได้มีโอกาสได้พบกันอีกไหม แต่ที่แน่ ๆ พี่คงคิดถึงพวกเขามาก
แก้วคงไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่เฮลิคอปเตอร์เอาถุงเมล์…จดหมายจากแนวหลังมาส่ง ทุกคนตื่นเต้นดีใจกันแค่ไหน
หลาย ๆ คนได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์แต่ไกลก็รีบวิ่งมารอก่อนแล้ว เกิดเหตุการณ์แย่งถุงเมล์จนฝุ่นตลบทุกครั้งไป
คิด ๆ แล้วก็ขำที่ทหารโตตัว ๆ แย่งยุดฉุดกระชากถุงเมล์เหมือนเด็ก ๆ แต่แบบนี้ก็ทำให้ชีวิตของพวกเราที่นี่มีรสชาติไปอีกแบบ
พี่ยังไม่ถึงกับวิ่งไปแย่งถุงเมล์ แต่ก็รอคอยด้วยความหวังว่าจะได้รับจดหมายที่ส่งมาจากแนวหลังเหมือนกัน
ทุกคนที่นี่ต่างเข้าใจกันอย่างลึกซึ้งถึงคำว่า… ‘การรอคอยที่หวานชื่น’
และจดหมายทุกฉบับที่พวกเราได้รับนอกจากจะทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง (บางคนถึงกับลืมกินข้าวกินปลา) ยังเป็นส่ิงที่มีคุณค่าต่อจิตใจ…ใช้เงินทองซื้อหาไม่ได้
อาการบ้าจดหมาย…อ่านจดหมายฉบับเดียวหลายสิบรอบยังคงมีให้เห็นกันอยู่บ่อย ๆ
กำลังใจที่ทุกคนส่งมาให้เวลาที่พวกเราปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่างแดนมีความหมายมากมาย…มากเกินกว่าที่พี่จะบรรยายได้ถูก
หลาย ๆ คนที่คิดถึงบ้านส่วนใหญ่จะเขียนวันที่ไว้บนหมวกเหล็ก เรียกได้ว่าเริ่มเขียนกันตั้งแต่มาถึงที่ค่ายแบร์แคทใหม่ ๆ จะได้รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับบ้านเสียที
ถึงแม้ระยะทางจากที่นี่กับเมืองไทยจะห่างกันไม่มาก (ใช้เวลาบินประมาณชั่วโมงครึ่ง) แต่อย่างไรก็เรียกได้ว่ามาอาศัยแผ่นดินคนอื่น จะอยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่ากับแผ่นดินเกิด
ทหารไทยได้รับการยอมรับในเรื่องของความกล้าหาญและฝีมือการสู้รบจากประเทศพันธมิตร แต่ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงการสูญเสียไปได้
บางครั้งเมื่อพวกเรากลับมาพักผ่อนที่ค่ายแบร์แคท เห็นโรงศพของเพื่อนทหารคลุมธงชาติไทยลำเลียงขึ้นเครื่องบินก็รู้สึกเศร้าเสียใจ
แม้ว่าจะไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนก็ตาม อดคิดไม่ได้ว่าญาติพี่น้องที่อยู่เมืองไทยจะเสียใจแค่ไหนที่เห็นเพียงร่างไร้วิญญาณ และศพต่อไปอาจจะเป็นตัวเราเองก็ได้
พี่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง แล้วยังมีด้ายสายสิญจน์ที่แก้วขอมาจากหลวงตาคุ้มครองด้วย พี่เชื่อว่าจะเอาชีวิตรอดกลับมาอย่างแน่นอน
ขอบใจแก้วมากที่ยังไม่ทิ้งกันไปไหน (รับรองว่าพี่มีรางวัลให้เราแน่นอน)
ขอให้คุณพระคุ้มครองแก้วเช่นกัน
วี
ป.ล. ถ้าแก้วไม่รังเกียจ…พี่จะเป็นเพื่อนชมจันทร์กับแก้วเอง