เมื่อมาถึงบริเวณโดยรอบของเธอได้ถมที่ดินและเกลี่ยหน้าดินเสร็จเกือบร้อยเปอร์เซนต์แล้ว เหลือเพียงที่ของเธอที่ยังไม่ถูกทำอะไรเลย
“นั่นค่ะ ตรงที่ยังไม่ได้ถูกเกลี่ยหน้าดิน” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังจุดหมาย
“กี่ไร่เหรอครับตรงนั้น” อัครวุฒิถาม
“สามไร่ได้มั้งคะ อังไม่ค่อยแน่ใจค่ะ เรื่องนี้พวกคุณต้องคุยกับตาเองน่ะค่ะ อังไม่ทราบจริงๆ”
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่วันนี้ตาเอี่ยมไม่อยู่เหรอครับ”
“ไม่อยู่ค่ะ ติดธุระที่อำเภอ เลยให้อังมาแทน” เธอหันมามองเล็กน้อยก่อนจะถาม “จะเข้าไปดูหน่อยไหมคะ”
“ได้ครับ” เวทิศไม่ได้พูดอะไรตลอดเวลาที่เดินดูที่ดิน เขาเองไม่ขัดข้องใจแล้วเมื่อเห็นอาณาบริเวณรอบๆโฮมสเตย์ ที่นี่บรรยากาศดีและบริสุทธิ์ ซึ่งตรงกับที่เขาต้องการจริงๆ ชายหนุ่มคิดสลับไปมาระหว่างเรื่องอังศุมาลินและเรื่องที่ดิน
“ไอ้เวย์ ไม่พูดไรหน่อยหรอวะ” เพื่อนหนุ่มถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาเงียบมานานแล้ว
“กูโอเค” เขาตอบเสียงเรียบ “ว่าแต่จะนัดทำสัญญาวันไหน พอดีผมอยากสร้างที่นี่ให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” หันไปถามหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียว
“เรื่องนี้คุณคงต้องคุยกับตาเอง ตอนนี้ท่านน่าจะกลับมาแล้วนะคะ คุณจะเข้าไปคุยเลยไหมคะ”
“งั้นกลับกันเถอะครับ แดดเริ่มร้อนแล้ว” เวทิศเสนอบอกเมื่อเห็นว่าแดดเริ่มแรงขึ้น เพราะคิดว่าชื่นชมที่ดินและไซต์งานก่อสร้างจนพอใจแล้ว
หญิงสาวพยักหน้ารับและเดินกลับไปที่พาหนะที่พาตนเองมา แต่กลับถูกรั้งแขนเรียวไว้เสียก่อน
“อุ๊ย!” หล่อนสะดุ้งราวกับโดนน้ำร้อนลวก และรีบดึงแขนกลับ
“ขอโทษครับ พอดีผมจะบอกว่าคุณขึ้นรถผมกลับเถอะ แดดร้อนขนาดนี้” คนรั้งแขนรีบเอ่ยขอโทษเมื่อเห็นท่าทางของเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ มันไม่ได้ไกลอะไรขนาดนั้น ขอตัวค่ะ” เดินหนีออกมาอีกครั้ง โดยไม่ฟังเสียงทุ้มที่เรียกอยู่ด้านหลัง รีบคว้าจักรยานที่จอดอยู่และปั่นกลับไปไม่หันมามองทั้งสองที่ยืนทำหน้างงๆ
“ท่าทางเขาดูกลัวผู้ชายปะวะ” อัครวุฒิพูดขึ้น
“ทำไมต้องกลัววะ กูไม่ได้หน้าเหมือนโจรสักหน่อย” เวทิศบ่น “คนที่เหมือนโจรคือมึงนั่นแหละไอ้ต๊ะ”
“อ้าวไอ้นี่ เดี๋ยวพ่อก็ทิ้งไว้นี่ซะเลย” ว่าแล้วทั้งคู่ก็เดินกลับที่รถยนต์คันหรูเพื่อกลับมาบ้านของตาเอี่ยม
ภูเบศมาหาอังศุมาลินที่บ้านแต่ไม่พบ ตะโกนเรียกอยู่นานก็ไม่มีใครตอบ เขาจึงตัดสินใจนั่งรออยู่ที่แคร่หน้าบ้านเพราะคิดว่าหญิงสาวคงออกไปร้านขายของชำใกล้ๆ นั่งรอได้ไม่ถึงสิบนาที จักรยานญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งก็แล่นเข้ามาโดยคนที่ปั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
“อังไปไหนมา ภาคตะโกนเรียกตั้งนานก็ไม่มีใครตอบ” เขารีบปรี่เข้าไปให้เพื่อนสาวทันทีเมื่อเธอลงจากจักรยาน
“อ้าว เราไม่รู้ว่าภาคจะมาหา พอดีออกไปทำธุระให้ตาน่ะ” เธอบอก
“ไปทำอะไรมาเหรอ”
“พาคนที่จะมาซื้อที่ดินไปดูที่น่ะ” หล่อนเดินไปนั่งบนแคร่ที่เขาเพิ่งลุกเมื่อครู่ โดยมีเพื่อนนั่งตามติดๆ
“เหรอ แล้วเขาว่าไงบ้าง” ได้ยินดังนั้นก็นั่งไม่ติดเพราะเขารู้แล้วว่าผู้ชายคนที่มาหมาขนมตาลหล่อนกับคนที่มาซื้อที่ของหล่อนคือคนเดียวกัน
“ก็คงซื้อแหละ มาหาเรามีอะไรด่วนหรือเปล่า”
“ไม่ด่วนแล้วมาหาไม่ได้เหรอ” เขากระเง้ากระงอดราวกับเด็ก แต่การสนทนาของทั้งคู่ก็ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงล้อรถยนต์บดเบียดกับถนนหน้าบ้าน พร้อมกับรถหรูค่อยๆขับเข้ามาและจอดสนิท
เวทิศเห็นภูเบศและอังศุมาลินจากด้านในรถ เพราะทั้งคู่นั่งใกล้กันเกินทำให้เขาเกิดอาการรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ไหนจะไอ้ท่าทางซุกซบไหล่หล่อนตอนที่เขาเลี้ยวรถเข้ามาอีก!
“มารความสุขเสียจริงนะ” เขาพอเดาได้ว่าไอ้ลูกสส.นั่นมันคิดกับหญิงสาวอย่างไร เพราะดูจากคำพูดที่มันพูดใส่เขาแล้วคงจะหวงหล่อนพอตัว
“นั่นมันไอ้ภาคนี่หว่า มาหาหญิงถึงที่เลยเว้ย” ไอ้เพื่อนเขามันก็ปากดีพูดขึ้นมาซะได้
คนขี้หงุดหงิดรีบเปิดประตูลงไปทันที เขาอยากเข้าไปนั่งแทรกกลางให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ไหนเจ้าหล่อนดูหวงตัวกับเขานักหนา ถึงยอมให้มันซบให้มันพิงเสียได้
“มึง!” ภูเบศลุกขึ้นชี้หน้าชายหนุ่มที่กำลังสืบเท้าเข้ามาใกล้เขาและอังศุมาลินอย่างเดือดดาล เขายังจำคำพูดที่มันพูดกับเธอได้
“ภาค พูดกับคุณเขาดีๆหน่อยสิ เขาเป็นคนที่จะมาซื้อที่ของตาเรานะ” หญิงสาวรีบปรามเพื่อนหนุ่ม
“มันเนี่ยนะ!?!” เขาหันมาถามหล่อนเสียงเข้มทั้งๆที่พอจะรู้อยู่แล้ว
“อย่าเพิ่งโวยวายนะ เราขอร้อง” หล่อนหันมากระซิบกับเขา
“ตายังไม่กลับมาเลยค่ะ เดี๋ยวรอด้านในก่อนดีกว่าค่ะ” หญิงสาวนำแขกหนุ่มทั้งสองเข้าไปด้านใน เวทิศเองไม่หยี่ระกับอาการเดือดดาลของคนที่ชี้หน้าเขาเมื่อกี้เท่าไหร่
“คนนั้นแฟนคุณเหรอครับ” เขาถามขึ้นขณะที่หญิงสาวกำลังยกน้ำมาเสิร์ฟให้เขาและเพื่อนหนุ่ม
“ไม่ใช่ค่ะ เราเป็นเพื่อนกัน” เธอตอบน้ำเสียงเรียบนิ่ง เดาไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไรกับคำถามเขา
“ว่าแต่คุณยังไม่เคยบอกชื่อผมเลย”
“อังค่ะ อังศุมาลิน”
“แล้วจำชื่อผมได้ไหม”
“ขอโทษค่ะ เมื่อวานนี้อังไม่ได้สนใจฟัง” คำตอบของเธอทำเขาเหวอไปชั่วขณะ เขาไม่เคยเสียเซลฟ์ขนาดนี้มาก่อน
“ใจร้ายจังนะครับ” เขาทำท่าทางน้อยอกน้อยใจหล่อนจนหล่อนรู้สึกผิด
“อังขอโทษจริงๆค่ะ ชื่อ... เอ่อ ชื่อ เวน หรือเปล่าคะ” หล่อนเอียงคอถามเสียงแผ่วเล็กน้อย เพราะไม่ได้แน่ใจในชื่อของเขาจริงๆ
คำตอบที่ได้ฟังทำเอาอัครวุฒิที่กำลังดื่มน้ำเปล่าอยู่พ่นมันออกเพราะทนความตลกหน้าตายของหญิงสาวไม่ไหว และหัวเราะก๊ากออกมาอย่างสะใจที่เพื่อนเขามันโดนลบเหลี่ยมโดยไม่ได้ตั้งใจ
“โอ๊ย คุณอังเล่นตลกรึเปล่าเนี่ย โคตรฮา” ยังคงไม่หยุดหัวเราะ “ไอ้เวรเอ๊ย ฮ่าๆๆ”
“โอ๊ะ อังขอโทษค่ะ อย่าโกรธอังนะคะ อังไม่รู้จริงๆ” หญิงสาวรีบขอโทษขอโพยเพราะรู้เลยว่าตนต้องพูดอะไรผิดพลาดไปแน่ๆ
ถึงจะรู้สึกผิดหวังและขุ่นเคืองใจในชื่อใหม่เล็กน้อย แต่ความโกรธนั้นก็มลายหายไปทันตาเมื่อหล่อนทำหน้าตารู้สึกผิดได้อย่างน่าจับขย้ำ ไหนจะน้ำเสียงที่ชวนฟังนั่นอีก
“ผมผิดหวังเล็กน้อยนะครับ”
“อังขอโทษนะคะ งั้นรอแป๊บนะคะเดี๋ยวอังไปเอาขนมมาให้เป็นการไถ่โทษ” หญิงสาวผุดลุกจากเก้าอี้หายไปหลังบ้านและกลับมาพร้อมกับจานหนึ่งใบซึ่งในนั้นพูนเต็มไปด้วยขนมตาล อัครวุฒิอยากจะบอกเหลือเกินว่าที่บ้านเขายังเหลืออีกบานแต่โดนเพื่อนหยิกหน้าขาอย่างรู้ทันไว้เสียก่อน
“อังเพิ่งทำเสร็จเมื่อเช้าเลยค่ะ เอาไปทำบุญเมื่อเช้า อันนี้อังทำเผื่อไว้ค่ะ ไม่ใช่ของเหลือเดนนะคะ” เธอรีบบอกก่อน
“เอาของมาล่อเป็นเด็กเลยนะครับ” เขาพูดขึ้นอย่างขันๆ
“อังขอโทษค่ะ ว่าแต่คุณชื่ออะไรนะคะ ครั้งหน้าอังจะจำให้ได้”
“เวย์ครับ เวย์นะครับ ไม่ใช่เวร”
“ค่ะ คุณเวย์ คุณเวย์ คุณเวย์” หล่อนพึมพำกับตัวเองคนเดียว
“อัง อัง ออกมาได้หรือยัง” ทั้งสามชะงักจากเสียงเรียกของภูเบศที่อยู่หน้าบ้าน อังศุมาลินรีบขอตัวแยกออกไปก่อน
“หวงคุณอังน่าดูเลยว่ะ กูบอกเลยงานนี้กินยากแน่ไอ้เวร” อัครวุฒิพูดขึ้นเมื่อลับร่างอังศุมาลินแล้ว
“เออ คอยดูเถอะกูจะรวบหัวรวบหางกินกลางตัวไม่ให้เหลือเลย”
หญิงสาวออกมาหน้าบ้านเพื่อมาหาเพื่อนชายที่ตะโกนเรียก
“เรามาแล้ว ภาคไม่เห็นต้องตะโกนขนาดนั้น”
“อังเข้าไปนานมาก ภาคเป็นห่วง” เขาตอบ
“ว่าแต่มีอะไรกันแน่เหรอ” เธอถาม “
“ภาคอยากชวนอังไปเที่ยวงานวัด ใกล้ๆนี่เอง นะๆๆ ไปเถอะนะๆ” เขาอ้อนเจ้าหล่อนราวกับเด็กๆ นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขามาถึงบ้านเธอ
“อังต้องขายของ” เธอบอก “ไปไม่ได้หรอก”
“หลังขายของเสร็จก็ได้ ความจริงไม่ต้องไปขายหรอก แค่วันเดียวเอง น้าาา” ยังอ้อนเธอไม่ยอมให้ปฏิเสธ
“ก็ได้ แค่วันเดียวนะ” เธอยอมใจอ่อนตอบตกลง
“เย่ อังสัญญาแล้วนะ งั้นเดี๋ยวภาคมารับตอนหนึ่งทุ่มนะ แต่งตัวสวยๆรอภาคด้วย” น้ำเสียงภูเบศดูดีใจสุดขีด นานๆทีอังศุมาลินจะไปไหนกับเขาสักที
“ไอ้ภาค เอ็งมาชวนหลานข้าไปไหนอีก” เสียงตาเอี่ยมตะโกนถามจากทางด้านหลังของชายหนุ่มี่กำลังลั้ลลา
“โห่ ตาผมก็มาชวนอังไปเปิดหูเปิดตาน่ะสิ” เขาหันไปตอบและยกมือไหว้ปลกๆ “ขออนุญาตนะค้าบบ” หน้าตาของภูเบศบึ้งตึงขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าตาเอี่ยมไม่ได้มาคนเดียว แต่พ่วงปลัดธนกรมาด้วย นี่มันวันบ้าอะไรวะเนี่ย!
“คุณอังจะไปเที่ยวไหนเหรอครับ” ธนกรที่พยุงตาเอี่ยมเดินมาถึงทั้งสองหนุ่มสาวก็ถามขึ้น
“งานวัดค่ะ ภาคมาชวนไป” เธอตอบตามปกติ “ไปด้วยกันสิคะ เยอะๆสนุกดี”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมอยากไปกับคุณอังสองคน” สองหนุ่มฟาดฟันกันด้วยสายตาพอสมควร ก่อนที่ธนกรจะสาดคำพูดใส่ภูเบศ
“อะแฮ่มๆ นี่ฉันยังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้นะ” ตาเอี่ยมห้ามศึกของสองหนุ่มไว้ได้ทัน “อังพาตาเข้าบ้านหน่อยสิ”
“ตาจ๋า พวกคุณๆเขารออยู่ด้านในแล้วจ้ะ” เธอบอกะร้อมกับเขาไปพยุงตาจากธนกร
“เออๆดีเลย จะได้คุยให้เรียบร้อย ปลัดเองก็มาด้วยพอดี”
“ภาคกลับไปก่อนนะ เดี๋ยวหัวค่ำค่อยมารับเรา” เธอหันกลับไปบอกภูเบศ เมื่อได้ยินแบบนั้นเขายิ่งยิ้มออก พยักหน้ารับด้วยความดีใจและกลับออกไปโดยไม่มีปัญหาใดๆ