[ธรรม x กรีน]
มนุษย์ร่ม(ทุกข์)
He looks kidda dodgy to me.
PART กรีน
‘กรีนอยู่กับธรรมก่อนนะ เดี๋ยวเราไปซื้อยาแป๊บนึง’
ไม่ทันจะได้ทักท้วงว่าเดี๋ยวจะเป็นคนอาสาไปให้เอง กันต์ก็วิ่งหายไปหลังอาคารแล้ว ทิ้งให้ผมอยู่กับพ่อนักกีฬาตัวยักษ์อวดเก่งที่นั่งนิ่วหน้าเพราะว่าขาแพลงจากการเตะฟุตบอล อยากจะสมน้ำหน้าอยู่หรอก บ้าพลังเล่นแรงขนาดนั้น ไม่แปลกเลยที่จะต้องตกอยู่ในสภาพกึ่งพิการแบบนี้ นี่ถ้ากันต์ไม่บอกให้ผมอยู่นะ อย่าหวังเลยว่าผมจะยอมนั่งแหมะอยู่ตรงนี้
ถุงน้ำแข็งที่เริ่มละลายไปบ้างซึ่งเพื่อนอีกคนวางตั้งเอาไว้ ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นได้ว่าอย่างน้อยก็มีเรื่องบางอย่างที่ผมควรจะทำในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง ย้ำว่าเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง ต้องทิ้งอคติและความไม่ชอบขี้หน้าส่วนตัวเอาไว้เบื้องหลัง
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” ผมถามคนตัวสูงที่นั่งเหยียดขาอยู่บนอัฒจรรย์ข้างสนามกีฬากลางด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้เป็นปกติแบบที่คนทั่วไปคุยกัน ทั้งๆที่เราสองคนต่างรู้ดีกว่าปกติไม่อาจพูดจาดีๆกันได้ด้วยซ้ำ
“ไม่”
“งั้นไม่ต้องประคบแล้วนะ” เมื่ออีกฝ่ายตอบมาตรงๆแบบนั้นก็ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องนั่งเอาถุงน้ำแข็งคอยประคบที่ข้อเท้าคนไม่เจ็บเหมือนที่กันต์นั่งทำตั้งหลายนาที
“ไม่เจ็บแต่ปวด”
“กวนประสาทให้มันน้อยๆ หน่อย” ผมหันขวับไปมอง นายนี่ชอบทำให้ผมรู้สึกหัวร้อนอยู่ตลอดเวลา ไม่ชอบเอามากๆกับคำพูดที่ดูกวนโอ้ยทำให้คนฟังเขารู้สึกหงุดหงิด
“ไม่ได้กวน ก็มันปวดแต่ไม่ได้เจ็บ” ร่างสูงว่าพลางทำลอยหน้าลอยตา
“ต่างกันตรงไหน”
“ต่างดิ ปวดใจกับเจ็บใจยังไม่เหมือนกันเลย”
“เอาที่นายสบายใจเลย จะปวดหรือจะเจ็บก็ตามใจ” ผมบอกคนที่นั่งยิ้มอารมณ์ดีเกินเหตุ ก่อนจะกดถุงน้ำแข็งลงตรงตาตุ่มอย่างแรงข้อเท้าอย่างแรง จะได้รู้กันไปว่าตกลงเจ็บหรือไม่เจ็บ
“เจ็บ”
“ไหนบอกว่าไม่เจ็บ” ผมแอบกลั้นขำในระหว่างพูดเพราะเห็นคนที่อวดเก่งว่าไม่เจ็บร้องอุทานเสียงดังลั่น ซึ่งการที่ผมแสดงออกมาแบบนั้นดูเหมือนจะทำให้เจ้าตัวไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ถึงได้ส่งสายตาดุใส่ผม
“..................”
แล้วใครจะสนกันเล่า ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องมาสนใจว่าหมอนี่จะพอใจหรือไม่พอใจ
หลายนาทีแล้วนะเนี่ย ทำไมกันต์ไปซื้อยานานจัง ผมหันมองซ้าย ขวา หน้า หลัง ก็ยังไม่เห็นวี่แววเพื่อนอีกคน นี่จะทิ้งให้ผมอยู่กับเจ้ายักษ์กวนประสาทอีกนานแค่ไหนกัน แค่นาทีเดียวก็อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว
“เขียว”
“เขียว”
“หยุดเรียกเราว่าเขียวเสียที เราชื่อกรีน” ผมลุกขึ้นยืนเท้าสะเอวและมองหน้าไอคนที่นั่งอยู่ด้วยดวงตาที่ฉายแววไม่โอเคกับสรรพนามที่ใช้เรียกแทนชื่อของผมซึ่งไม่เหมือนคนอื่นๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับตอบสนองแค่ยิ้มมุมปากแล้วยักคิ้วให้หนึ่งครั้ง แล้วจะไม่ให้ผมคิดว่าหมอนี่ชอบกวนประสาทได้ยังไงกัน เห็นหน้านิ่งๆ ดูภายนอกไม่มีพิษภัย แต่ถ้าใครได้รู้จักจะต้องร้องยี้กันทุกคน
“ก็กรีนแปลว่าเขียว”
“ไม่ต้องแปล”
“ไม่แปลก็ไม่แปล นี่หยิบน้ำให้หน่อย”
“หยิบเอง” ผมเหลือบมองสิ่งที่อีกคนต้องการ แต่ก็ปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ ลำพังไปไม่แสดงความก้าวร้าวด้วยการเตะขวดน้ำให้ปลิวไปตกที่กลางสนามก็บุญเท่าไหร่แล้ว
“เอื้อมไม่ถึง” ร่างสูงทำท่าทางพยายามจะคว้าขวดน้ำซึ่งแน่นอนว่าเอื้อมให้ตายก็ไม่ถึงเพราะมันตั้งอยู่ห่างเกือบหนึ่งช่วงตัว ตอนแรกผมก็ยืนกรานทำเป็นนิ่งไม่สนใจ แต่พอเห็นนายนั่นขยับตัวเพื่อจะหยิบขวดน้ำให้ได้ซึ่งก็เสี่ยงต่อการจะหน้าคว่ำลงไปนอนกองกับพื้นจนขาได้พลิกอีกข้างก็อดที่จะเข้าไปให้ความช่วยเหลือไม่ได้ ผมพรูลมหายใจยาวด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะก้มหยิบขวดน้ำและส่งให้อีกคนโดยไม่คิดจะมองหน้า
“ขอบใจ”
"อืม"
❤
ห้านาทีต่อมา ห้วงเวลาที่ผมรอคอยก็มาถึง เพราะกันต์เดินกลับมาพร้อมถุงยาในมือ
“ไม่ใช้ครีมนวดเหรอ” ผมถามกันต์ด้วยความสงสัยเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยิบผ้ายืดๆ มาพันที่ข้อเท้าของมนุษย์ร่มทุกข์ โดยไม่ทาครีมนวดคลายกล้ามเนื้อ
“ครีมนวดอาจกระตุ้นให้บวมมากขึ้น ใช้ผ้าพันก็พอ”
“อ่อๆ” ผมพยักหน้ารับรู้
“หัดรู้ซะบ้าง”
“ใครเขาพูดกับนาย”
ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอก เหอะ!
“สองคนนี้นี่นะ ทะเลาะกันได้ทุกที” กันต์เงยหน้าขึ้นมองผมสลับกับอีกคน ก่อนจะก้มลงปฐมพยาบาลด้วยความชำนาญ ส่วนผมกับนายนั่นไม่ต้องพูดถึงส่งสายตาฟาดฟันจนจะประหัตประหารกันอยู่แล้ว
--
“พยุงนายนี่เนี่ยนะ” ผมทำหน้าไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่กันต์พูด ให้ผมหิ้วปีกนายร่มทุกข์?
“ใช่ๆ ธรรมเดินไม่ไหวหรอก” กันต์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบปกติ แถมยังมองมาที่ผมด้วยความสงสัยว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือเปล่า มันผิดปกติมาก นายก็น่าจะรู้นี่ว่าผมกับไอคนตัวใหญ่นี่ไม่ค่อยจะถูกโรคกัน
‘เดินไม่ไหว ก็คลานไปสิ’
ผมแอบคิดในใจและหวังจะให้มันเป็นเช่นนั้นด้วย ทว่าสุดท้ายสิ่งที่ทำออกไปก็ได้แค่พยักหน้าและขยับเข้าไปช่วยกันต์แบบไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
ท่อนแขนยักษ์ด้านซ้ายของนายร่มทุกข์วางบนลาดไหล่ของผม ส่วนอีกด้านวางบนไหล่ของกันต์ ด้วยข้อเท้าขวาเป็นข้างที่ได้รับบาดเจ็บ นายนี่เลยลงน้ำหนักที่ข้างนั้นได้ไม่มาก เลยกลายเป็นว่าน้ำหนักมากกว่าครึ่งของร่างกำยำทิ้งมาทางด้านซ้าย ซึ่งเป็นด้านที่ผมกำลังรับภาระอยู่ในตอนนี้
จะเอนตัวอะไรนักหนา...คนช่วยพยุงจะล้มอยู่แล้วเนี่ย ผมบ่นอุบอิบอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา
ตัวก็หนักอย่างกับช้าง เหอๆ
กว่าผมและกันต์จะหิ้วปีกนายร่มทุกข์มาถึงที่ลานจอดรถด้านหลังสนามกีฬา ก็ทำเอาทุลักทุเลพอสมควรและใช้เวลานานมากด้วย
"รถธรรมคันไหน" กันต์ถามคนเจ็บ ซึ่งนายนั่นก็บุ้ยปากไปยังรถคันหรูที่จอดโดดเด่นท่ามกลางรถคนอื่นๆ ผมมองตามก็พอจะสรุปในใจได้ว่านายนี่บ้านรวย รวยแต่เงิน ส่วนอย่างอื่นน่ะจนและแห้งแล้วมาก โดยเฉพาะเรื่องมารยาทและมนุษยสัมพันธ์ในการเข้าสังคม
"แล้วจะขับไหวเหรอ"
"ไม่น่าจะไหว" เจ้าของรถส่ายหน้า ก้มมองข้อเท้าตัวเองด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี
"เอาไงดี เราขับรถไม่เป็นซะด้วย" กันต์ทำท่าครุ่นคิด และหันมาที่ผมเหมือนจะถามความคิดเห็น
"บ้านอยู่ไกลหรือเปล่า?" ผมเลยหันไปถามนายร่มทุกข์ที่ยืนเกาะอยู่ข้างรถ
"สิบนาทีถึง"
"โอเค"
--
บรื้นนน~
"ไม่คิดว่ากรีนจะขับรถเป็น" กันต์ซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังชะโงกหน้ามาถามผมด้วยแววตาตื่นเต้น ส่วนเจ้าของรถที่กลายเป็นคนนั่งข้างได้แต่นั่งเล่นเกมโทรศัพท์โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แม้แต่สภาพขาเดี้ยงของตัวเองก็คงไม่ลืมไปแล้วมั้งว่าเจ็บจนต้องเป็นภาระคนอื่นเขไปทั่ว
"เพิ่งสอบใบขับขี่ผ่านอาทิตย์ที่แล้วนี่เอง" ผมยิ้มแห้งๆ พลางเกาหัวด้วยความขัดเขินเล็กน้อย เอาจริงๆ ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่หรอกที่ขับอยู่เนี่ย แต่ถ้าพิจารณาจากทั้งสามคน ก็คิดว่าตัวเองน่าจะพร้อมที่สุด เพราะจะให้นายร่มทุกข์ขับในสภาพแบบนี้ก็คงไปไม่ถึงไหน ส่วนกันต์ยิ่งแล้วใหญ่ไม่เคยแตะพวงมาลัยรถเลยมั้ง
"งั้นขับ 40 ก็พอมั้ง" กันต์ที่ดูเหมือนไม่มั่นใจในความปลอดภัยแอบกระซิบข้างหูผม ผมที่ได้ยินก็อดที่จะขำไม่ได้
เมื่อมาถึงคอนโดของนายตัวยักษ์
ผมหิ้วปีกนายมนุษย์ร่มทุกข์เข้ามาในลิฟต์แค่เพียงลำพัง เพราะกันต์มีสายเข้าจากหมอติณแฟนหนุ่มก็เลยขอตัวรออยู่ที่ล็อบบี้
"ชั้นไหน" ผมถามคนตัวสูงด้านข้างที่เปลี่ยนจุดยึดเกาะจากไหล่ผมเป็นผนังลิฟต์แทน
"เก้า"
ผมกดปุ่มตามที่อีกคนว่า ก่อนจะหันไปมองแว๊บนึงเพื่อดูว่าคนเจ็บยังไม่ล้มลงไปกองกับพื้น อีกฝ่ายเลิกคิ้วใส่ผมเหมือนสงสัยว่าผมมองอะไนนักหนา คือไม่ได้อยากมองเท่าไหร่หรอก แต่กันต์ฝากมาไงว่าให้ดูแลให้ดี เกิดล้มขาพลิกซ้ำขึ้นมาอาการจะหนักกว่าเก่า เมื่อลิฟต์เลื่อนขึ้นมาถึงชั้นเก้าผมก็พยุงคนตัวใหญ่มาที่หน้าห้องพัก
909 เลขสวยหนิ
ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไป ผมก็ต้องอึ้งและทึ่งกับสภาพด้านในที่ปรากฏต่อสายตา
"นี่ห้องพักหรือหลุมเก็บขยะ"
ให้ตายเถอะ ทำไมถึงรกได้ขนาดนี้ ใครมันจะกล้าเข้าไปเหยียบกันเล่า เกิดงูเลื้อยเข้ามาฉกหรือหนูวิ่งไต่ขึ้นขาใครจะรับผิดชอบ
"อย่าเยอะ" มนุษย์ร่มทุกข์พูดเสียงระอา ก่อนจะใช้มือที่ยังใช้งานได้ดีผลักเข้าที่หน้าผากของผม
"น้อยไปเถอะ" ผมแยกเขี้ยวใส่คนที่แตะเนื้อต้องตัวคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนจะพยุงร่างสูงมานั่งตรงโซฟาซึ่งมีเสื้อผ้าวางพาดอยู่เป็นจำนวนมาก
นี่มันโซฟา หรือ ราวตากผ้า
"อยู่ได้ยังไงกัน"
"พูดมาก"
"เรื่องของเรา"
"กลับละ" ผมบอกเจ้าของห้องที่ยกขาข้างที่เจ็บพาดวางบนโต๊ะด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนจะหมุนตัวเพื่อออกจากห้อง ทว่า
"ช่วยพยุงเข้าห้องหน่อย"
"คลานไปเองสิ"
"เร็วๆ เขียว"
"กรีน" ผมย้ำชื่อที่ถูกต้อง
"กรีนก็กรีน ช่วยพยุงหน่อย"
ผมถอนหายใจรอบที่ร้อยในวันนี้ตั้งแต่เจอกับนายร่มทุกข์ ก่อนจะเข้าไปหิ้วปีกและพาเข้าไปในห้อง สภาพข้างในไม่ต่างกับข้างนอก รกพอกัน
"ขอบใจ"
"อืม" ผมพยักหน้าก่อนจะก้าวเดินออกจากห้องของนายนี่อย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้
PART ธรรม
ผมมองตามร่างบอบบางของคุณหนูลูกท่านรัฐมนตรีแล้วก็ต้องส่ายหน้าเบาๆ กับท่าท่างปั้นปึ่งและบ่นนู่นบ่นนี่ตลอดเวลา ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
"หนวกหูชะมัด"
END PART
TBC.
+++++++++++++++
\
#อะไรกันสองคนนี้ หืม???
สวัสดีวันหยุดนะคะรีดเดอร์ทุกคน สำหรับตอนนี้เป็นตอนพิเศษของคู่รอง (ธรรม-กรีน)
อย่างที่เคยบอกเอาไว้ว่าจะไม่รวมในตอนของคู่หลัก เพราะไม่อยากให้จำนวนตอนมันพุ่งเกินไป
ด้วยรัก #พฤษภา
ช่องทางการติดต่อไรท์
twitter : @nat_audy@nat_audy
FB Fanpage : พฤษภา Pruesaphaพฤษภา Pruesapha
CUT Scene : Pruesapha.wordpress.comPruesapha's blog
** ไม่ต้องจุดธูปนะคะ**
ขอบคุณภาพจาก
dyuntp & greenkungz ig