ในระหว่างนั่งรถไปร้านป้าช่อ พชรยังคงกังวลใจเรื่องบัวธิดาและพีระ
“ไอ้ผู้ชายคนเมื่อกี้มันเป็นใครแกรู้จักไหม”
เขาหันไปถามสืบศักดิ์ที่กำลังขับรถอยู่
“ลูกน้องกำนันเดช”
“จริงหรอวะ...เมื่อกี้ฉันเห็นปลัดดึงคอเสื้อมันด้วย”
พชรมีความสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก
“อาจจะรู้จัก หรือเป็นเพื่อนกันหรือป่าว ที่แกเห็นเขาอาจจะล้อเล่นกันก็ได้”
“ใช่หรอวะ มันดูแปลกๆ ทำไมปลัดต้องดึงคอเสื้อมันวะ”
พชรขึ้นเสียงแข็ง
“ถ้าอยากรู้ก็ไปถามกันเอาเองสิ นี่ถามจริงหึงใช่ไหมเนี่ยะ”
สืบศักดิ์หันมาถามเขา
“บ้าหรอ...ก็แค่สงสัยไม่ได้เป็นแฟนกันจะไปหึงกันได้ไงวะ”
พชรทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“ก็เป็นสักทีสิวะ”
สืบศักดิ์พูดพร้อมกลั้วเสียงหัวเราะออกมา
“ถ้ามันง่ายขนาดนั้นก็ดีสิไอ้นี่”
คุย กันไปมาเผลอแปบเดียวก็ถึงร้านป้าช่อวัลลีเห็นรถก็จำได้ว่าเป็นของสืบศักดิ์ เธอจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ และหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาส่องหน้าแทนกระจก เพื่อสำรวจดูความพร้อมของใบหน้าตัวเองว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงและเมื่อทั้ง สองมานั่งที่โต๊ะเธอก็รีบนำเมนูไปยื่นให้ทันที
“สวัดดีค่ะผู้กองสืบ ผู้กองพะชด”
“พี่ชื่อ พด-ชะ-ระ จ้า เรียกสั้นๆ ว่าพดก็ได้ เฮ้อ...เมื่อไหร่จะเรียกชื่อกันถูกสักที”
“แหม วัลลีรู้แล้วจ้า แค่ล้อเล่นเฉยๆ”
ทั้งสองคนมาที่ร้านป้าช่อประจำจนวัลลีจำเมนูโปรดได้ขึ้นใจแบบว่าไม่ต้องรอให้ลูกค้าสั่ง
“ของผู้กองสืบรับเหมือนเดิมนะคะ ผัดขี้เมาไก่บ้าน ส่วนของผู้กองพด ใส้ย่างน้ำจิ้มแจ่ว”
“แหมน้องวัลลีรู้ใจพี่แบบนี้อยากให้ไปทำกับข้าวที่บ้านให้จัง”
วัลลีส่งยิ้มให้กับคำพูดของสืบศักดิ์ เขาเป็นผู้ชายที่มีฝีปากกล้าเขาชอบพูดจาแทะโลมสาวๆ ไปทั่ว แถมยังชอบส่งสายตากรุ่มกริ่มจนทำให้สาวๆ ใจละลายกันไปเสียทุกที่ที่เขาได้ย่างกายเข้าไป
“แหม...ก็มาวันเว้นวันซะขนาดนี้ถ้าจำไม่ได้ก็อัลไซเมอร์แล้วค่ะมีอะไรเพิ่มเติมอีกไหมคะ”
“เอาต้มยำหม้อไฟปลาช่อนมาอีกอย่างก็ได้จ้าเอ่อ...แล้วพี่ขอแลกเหรียญร้องเพลงด้วยนะ”
พชรรีบสั่งหญิงสาวทันที
“ได้ค่ะ ผู้กอง”
เมื่อ ทั้งคู่เริ่มได้ที่กันแล้วด้วยน้ำสีเหลืองอำพันในแก้วใสใบสูงต่างก็ร้องเพลง กันให้ลั่นร้านพร้อมกับออกลีลาเล็กน้อยเพื่อให้ได้อรรถรถโดยที่ไม่สนใจ จังหวะและดนตรีเลยสักนิดเดียว
“นี่ไงที่เขาเรียกว่าศิลปินของแท้”
“ร้องเสียงเหมือนควายออกลูกนี่นะศิลปิน”
“มึงไม่เคยได้ยินหรือไงที่เขาว่ากันว่าศิลปินมักจะมีโลกส่วนตัวสูง”
“อ๋อ มันเลยไม่สนโลกของคนอื่นว่างั้น”
“นี่อย่าว่าแต่ไม่สนคนอื่นเลยขนาดจังหวะกับดนตรีมันยังไม่สนกันเลย...เอ้าๆโหนกันเข้าไปพวกมึงจะโหนกันถึงไหน โอ๊ยกูละอายแทนเจ้าของเพลงจริงๆ เล๊ย”
เสียงวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่นั่งดื่มกันอยู่โต๊ะข้างๆ บ่นออกมากันราวกับรำคาญเต็มทน
“จะเที่ยงคืนแล้ววัลลีดูแลเก็บร้านด้วย”
“อ้าว แล้วป้าจะไปไหน”
“จะไปพักแล้วโอ๊ย รู้สึกประสาทหูป้าจะเริ่มมีปัญหา”
ใน ขณะที่ทั้งสองเกลอกำลังขับรถกลับบ้านกันซึ่งสืบศักดิ์เป็นผู้ขับนั้นจู่ๆก็ได้เกิดสิ่งไม่คาดคิดขึ้นเพราะระหว่างทางได้มีรถมอเตอร์ไซค์วัยรุ่นสองคนที่ ซ้อนท้ายกันมา และขับแซงไปอย่างรวดเร็วแต่จู่ๆมอเตอร์ไซค์คันนั้นก็ได้หายไปอย่างปริศนา
“เฮ้ย รถมอเตอร์ไซค์วัยรุ่นมันหายไปไหนแล้ววะ”
สืบศักดิ์เป็นผู้ขับจึงสังเกตเห็นได้ก่อน และจึงหันมาถามพชร
“เออ นั่นสิ หรือจะเลี้ยวซ้ายเข้าไปในซอยแล้ว”
พชรเอ่ยขึ้นแต่เมื่อถึงตรงนั้นก็หาได้มีซอยอย่างที่คิด
“ซอยที่ไหนมีวะ สองข้างทางก็มีแต่ป่า ค่อยๆ ชะลอรถดูก่อนซิ”
พชรพูดไปสายตาของเขาก็สังเกตสองข้างทางไปด้วย
“มันจะดีหรอแถวนี้เปลี่ยวจะตาย”
สืบศักดิ์พูดเสียงสั่น
“กลัวอะไรวะ มึงตำรวจกูหทาร จะมีใครกล้ามาล้วงคอ”
เมื่อพชรพูดพูดเช่นนั้น สืบศักดิ์จึงตัดสินใจชะลอรถตามที่บอก แต่เขาก็มองไม่เห็นรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นอยู่ดี
“ฉันว่าเราเจอของดีเข้าแล้วว่ะไอ้พดชาวบ้านเคยเล่าให้ฟังว่าถนนสายนี้มันเฮี้ยน”
เมื่อ มองลงไปสองข้างทางถนนคอนกรีตเส้นนี้จะมีแต่ผ้าสามสีผูกไว้ตามต้นไม้เต็มไปหมดแถมยังมีศาลเจ้าที่เจ้าทาง ตั้งอยู่เป็นระยะอีกด้วยความมืดที่ว่าน่ากลัวแล้วยังมีบรรยากาศของสิ่งเหล่านี้เข้ามาเพิ่มความน่า กลัวให้อีกแถมทั้งสองคนมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้จึงทำให้จิตตกไปตามๆ กัน
“ไอ้สืบๆ”
พชรสกิดคนขับเมื่อเขามองไปที่กระจกหลังของรถกระบะก็เห็นคนกำลังยืนโบกไม้โบกมืออยู่ตรงนั้น
“กูว่าเราโดนดีให้แล้วว่ะ”
เมื่อสืบศักดิ์หันไปมองกระจกหลังเขาก็เกิดความกลัวเข้าไปอีก
“เหยียบให้มิดเลย”
พชรตะโกนบอกเพื่อนสักพักหนึ่งก็มีรถมอเตอร์ไซค์ขับมาตีขนาบเหมือนกับว่าจะมีคนมาบอกอะไรสักอย่าง
“ช่วยด้วยครับ ๆ”
คนขับค่อยๆ ชะลอรถและเปิดกระจกออก
“ช่วยด้วยครับพี่เพื่อนผมสองคนรถมอเตอร์ไซค์ล้มอยู่ตรงป่าพุธทราโน้นครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพชรกับสืบศักดิ์ก็หันไปมองหน้ากันอย่างงงๆ ก่อนที่จะจอดรถ
“โห คิดว่าใครสองผู้กองเพื่อนเกลอนี่เอง ทำไมถึงได้ใจดำขนาดนี้ครับ คนบาดเจ็บอยู่แท้ๆ แต่ยังหนีกันได้ลงคอ”
เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่เป็นผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ได้พูดขึ้นด้วยท่าทีที่ผิดหวังเล็กน้อย ทั้งสองคนเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็หันไปมองหน้ากันเลิกลัก
“พวกพี่แค่ถอยมาตั้งหลักเฉยๆ ไม่ได้หนี”
สืบ ศักดิ์รีบแก้แก้ตัวเสียงแผ่วและเมื่อมองสักพักสองเกลอก็จำได้ว่าวัยรุ่น กลุ่มนี้คือกลุ่มเดียวกับ ที่นั่งอยู่ในร้านป้าช่อเมื่อสักครู่ จากนั้นทั้งสองคนก็พากันไปช่วยวัยรุ่นที่รถล้มอยู่ข้างทางดึงออกมาจากหนาม พุทรากันอย่างทุลักทุเล แต่ไม่ได้มีใครรับบาดเจ็บอะไรมากเพียงแต่มีแผลขีดข่วนจากหนามพุทราเท่า
นั้นเอง ทั้งหมดจึงแยกย้ายกันกลับบ้านที่แท้รถมอเตอร์ไซค์ที่หายไป ก็เป็นเพราะมันล้มอยู่ข้างทางนี่เอง แต่ทั้งคู่กลับคาดไม่ถึงจึงทำให้คิดไปถึงเรื่องหลอนๆ ได้
เช้า นี้อากาศแจ่มใส พชร แต่งกายด้วยชุดฝึกลายพรางปล่อยแขนเสื้อยาวถึงข้อมือ เดินลงบันไดจากบ้านพักชั้นสองซึ่งบ้านที่เขาอาศัยอยู่นั้นเป็นบ้านของหลาน ชายผู้ใหญ่เงินล้าน พอดีเขาย้ายไปทำงานที่กรุงเทพหลังจากแต่งงานแล้ว ดีกว่าปล่อยไว้ให้รกล้างผู้ใหญ่จึงเกิดความคิดปรับปรุงใหม่ให้ดูดีกว่าเดิม โดยการก่อสร้างห้องครัวเพิ่มมีเคาน์เตอร์ ปูกระเบื้องอย่างดีแถมใต้ถุนบ้านจากเดิมเป็นดินแข็งเขายังปูกระเบื้องเพิ่ม อีกด้วย จึงทำให้เรือนไม้หลังนี้ดูร่มรื่นและน่าอยู่อาศัย
“สวัสดีครับผู้กอง”
จ่ายงยุทธขี่มอเตอร์ไซค์มาหาแต่เช้าตรู่ เขาหิ้วปิ่นโตในมือไปวางไว้ที่โต๊ะหินอ่อนใต้ถุนบ้านจากนั้นก็เข้าไปหยิบจานชาม ในครัว มาจัดเตรียมอาหารเช้า พชรเดินตามเข้าไปฉีกกาแฟซองใส่ถ้วยและเติมน้ำร้อน
“วันนี้มีอะไรกินครับจ่า”
เขาถามในขณะที่กำลังคนกาแฟในถ้วยให้เข้ากัน
“วันนี้ภรรยาผมต้มจืดมะระ กับน้ำพริกปลาทู ครับผู้กอง”
“ฝากขอบคุณภรรยาจ่าด้วยนะ ขยันทำมาให้ทุกวันเลย”
“ไม่เป็นอะไรครับ ผมเกรงว่าอาหารจะไม่ถูกปากผู้กองด้วยซ้ำไป”
“โอ๊ย...เท่านี้ก็ดีถมเถสมัยผมอยู่ที่ชายแดนกินข้าวคลุกก้อนกรวดก็เคยมาแล้ว บอกตามตรงว่าภรรยาจ่าทำอาหารอร่อยมาก ผมชมจากใจจริงเลย”
เมื่อ พูดเสร็จเขาก็ยิ้มด้วยความชื่นชมแค่ฟังจากน้ำเสียงก็บ่งบอกได้ถึงคำพูดที่ กลั่นออกมาจากใจโดยแท้จริงไม่ใช่พูดแค่เพียงยกยอปอปั้นซึ่งจ่ายงยุทธนั้นมีบ้านอยู่ไม่ห่างไกลจากพื้นที่ปฏิบัติภารกิจมากซึ่งเรียกได้ว่าเขาและครอบครัวเป็นคนในพื้นที่จึงสะดวกในการทำภารกิจต่างๆ ที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี
“ผู้กองดูเหมือนคนอดนอน เมื่อคืนไปทำอะไรมาหรอครับ”
ยงยุทธสังเกตหน้าตาของพชรดูอิดโรย เขาจึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“เมื่อคืนไปลาดตระเวนพื้นที่กับไอ้สืบมาน่ะสิ”
“หรอครับ”
พชร พูดโดยไม่สบตากับยงยุทธเขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารตรงหน้าอย่าง เอร็ดอร่อยเหมือนกลัวว่าลูกน้องคนสนิทจะจับพิรุจอะไรได้สักอย่างสักพักสนธยา ก็ขับรถเข้ามาจอดอยู่ตรงหน้าบ้าน
“อ่าว...สนธยามาพอดี”
พชรเอ่ยขึ้น
“ผู้กองจะไปไหนหรอครับ”
ยงยุทธถามเขาด้วยความสงสัย
“ไปรับเรื่องร้องทุกข์ที่ศูนย์ดำรงธรรมเผอิญผมจอดรถไว้ที่บ้านสืบศักดิ์ก็เลยจะวานสนไปส่งที่อำเภอหน่อย”
ซึ่ง สนทยานั้นเป็นพลขับประจำกองร้อยรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่เขาเป็นคนส่ง เสบียง หรือไม่ก็คอยรับส่งกำลังพล หรือทำภารกิจต่างๆ ที่ได้รับมอบหมาย
“วันนี้จ่ามีภารกิจ ตามแผนที่ได้รับมอบหมายมาเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
พชรถามเขาในขณะที่กำลังช่วยกันเก็บปิ่นโตทั้งหมดไปล้างในครัว
“ครับผมวันนี้ผมมีภารกิจตรวจคลังข้าวช่วงบ่ายก็ไปตรวจร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์แถวในชุมชนนี่ แหล่ะครับ”
การ ไปตรวจร้านซ่อมรถนั้นถือเป็นภารกิจที่ชาวบ้านไปร้องเรียนเกี่ยวกับเด็กวัย รุ่นแต่งเครื่องรถมอเตอร์ไซค์เสียงดังสร้างความรำคาญให้แก่ชาวบ้านทั้งนี้ ทางทหารจะต้องเป็นส่วนหนึ่งในการเข้าไปขอความร่วมมือกับทางเจ้าของร้านไม่ ให้มีวัยรุ่นนำรถมอเตอร์ไซค์มาแต่งหรือดัดแปลงเปลี่ยนสภาพซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้ รับความร่วมมือเป็นอย่างดี
“ขอบใจมากสน ไม่ต้องรอนะกลับได้เลย”
“ครับผู้กอง”
สนธยาขับรถมาส่งพชรที่หน้าอำเภอ ก่อนที่เขาจะหาอะไรติดไม้ติดมือไปฝากปลัดอย่างเช่นเคย
ครั้งที่แล้วซื้อถั่วลิสงไป เขาคิดในใจแล้วมองไปรอบๆ บริเวณนั้น เห็นมีผลไม้ เอ๊ะอันนั้นลูกอะไร เขาสงสัยจึงเดินไปถามแม่ค้า
“อันนี้เขาเรียกว่าอะไรครับป้า”
“ไข่เน่าจ้าพ่อทหารรูปหล่อ”
เมื่อ ได้ยินเช่นนั้นเขาก็ชะงักไปชั่วครู่ ไอ้ผลไม้ลูกกลมมลสีดำนี้มันแปลกดี เขาไม่เคยรับประทานจึงถามแม่ค้าไปว่ารสชาติมันเป็นอย่างไรเขาได้รับคำ ตอบกลับมาว่าหวาน หอม อร่อยมาก จึงพาทำให้นึกถึงตอนที่ลูกน้องนำลูกหว้ามาให้รับประทาน รสชาติมันคงคล้ายๆ กันเขาคิดและเข้าใจไปเองจึงตัดสินใจซื้อไข่เน่ามาสองถุง เพื่อถือเข้าไปฝากปลัดในอำเภอ
“ใครซื้อไข่เน่ามา ช่วยเอาไปไกลๆ ฉันทีได้ไหม ได้กลิ่นแล้วเวียนหัวจะเป็นลม”
บัวธิดาหันไปคุยกับพนักงานที่นั่งอยู่ทางโต๊ะด้านหน้าด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดเธอกุมขมับแน่น เพราะไม่ชอบกลิ่นของผลไม้ชนิดนี้เลยแม้แต่น้อยในขณะที่กำลังนั่งอ่านแฟ้มร้องทุกข์อย่างตั้งใจ
“ผมซื้อมาเองครับปลัด ขอโทษทีลืมไปว่าปลัดไม่ชอบกลิ่นมัน”
เมื่อพูดจบพนักงานที่ชื่อนภดลก็จับถุงไข่เน่าโยนลงถังขยะในทันที
“ทีหลังซื้อมาแล้วเอาไปกินไกลๆ พี่เลยนะนภดล”
“ได้ครับ”
ปลัดอำเภอสาวบอกกล่าวกับพนักงานนั้นไปอย่างเอ็นดูนภดลเป็นเด็กในหมู่บ้านที่พึ่งเรียนจบมาและสอบเข้าทำงานเป็นพนักงานราชการได้ เขาเด็กกว่าบัวธิดาถึงเจ็ดปี หญิงสาวชอบเรียกแทนตัวเองว่าพี่มากกว่าคำว่าปลัดเพราะไม่อยากจะสร้างความห่างเหินให้กับผู้คน
“สวัสดีครับปลัดบัว”
“สวัสดีค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยคำทักทายโดยไม่ได้เงยหน้ามองเพราะแค่ได้ยินเสียงก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร
“วันนี้มีเรื่องร้องทุกข์อะไรจากชาวบ้านบ้างครับ”
หญิงสาวละสายตาจากแฟ้มแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้พชร ก่อนที่จะหันหัวแฟ้มกลับไปให้คนนั่งอยู่ตรงข้ามดู
“แก๊งทวงหนี้นอกระบบ...ออกอาละวาดอีกแล้วหรอ”
ชายหนุ่มบ่นพรึมพรำในขณะที่ยังไม่ละสายตาออกจากแฟ้ม
“เราต้องเร่งกวาดล้างกันทันทีนะคะ เพื่อความปลอดภัยของคนในพื้นที่”
“ดีครับ...เอ่อพอดีผมซื้อผลไม้มาฝาก”
เขาตัดบทเรื่องงานและยื่นถุงบางอย่างให้กับปลัดสาว
“หยี ไข่เน่าอีกแล้ว”
พชรตกใจเล็กน้อยที่เห็นว่าบัวธิดามีสีหน้าที่รังเกียจเจ้าไข่เน่านี้เต็มทน
“ครับใช่ครับ ไข่เน่า เขาบอกว่าผลไม้ชนิดนี้มีประโยชน์มากเลยนะ คิดว่าปลัดน่าจะชอบ”
ในขณะที่ผู้กองหนุ่มกำลังยื่นถุงนั้นมาให้ หญิงสาวก็รีบใช้มือป้องจมูกในทันที ชายหนุ่มยกคิ้วขึ้นสูง ด้วยความสงสัยและเริ่มเป็นกังวล
“ขอบคุณมากนะคะ แต่ฉันไม่ชอบ”
บัวธิดาจำใจยื่นมือเข้าไปรับถุงผลไม้นั้นจากมือของเขามาและร้องเรียกพนักงานหนุ่มทันที
“นภดล”
“ครับ”
“ผู้กองซื้อไข่เน่ามาฝาก”
นภดลรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินมาที่โต๊ะของปลัดในทันที
“อีกแล้วหรอครับเมื่อตะกี้ปลัดก็พึ่งให้ผมเอาไปโยนทิ้งผมว่ามันอร่อยดีออก ทำไมปลัดถึงบ่นว่ามันเหม็นก็ไม่รู้”
คำพูดของนภดลทำให้พชรอึ้งไปชั่วครู่
“อ้าว...ขอโทษนะผมไม่รู้จริงๆ ว่าคุณไม่ชอบ”
ชายหนุ่มพูดเสียงแผ่ว
“ไม่เป็นไรค่ะ”
หญิงสาวพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มเพื่อปลอบใจชายหนุ่มจากนั้นก็หันไปพูดจิกให้นภดลรีบเอาถุงไข่เน่านี้ไปไกลๆ
“นภดล รีบมาหยิบออกไปแล้วไม่ต้องพูดมาก”
“ครับ”
“นี่คุณรังเกียจไข่ผมขนาดนี้เลยหรอ”
คำพูดของพชรทำให้บัวธิดาถึงกับตาค้างเขาลืมตัวมัวแต่คิดว่าตัวเองทำผิดพลาด จึงพูดจาออกไปอย่างคนไม่มีสติ
“เอ่อ ผมหมายถึงไข่เน่าที่ซื้อมาน่ะครับ”
“ช่างมันเถอะค่ะ”
บัวธิดาส่งยิ้มหวานรอยยิ้มของเธอทำให้พชรสบายใจขึ้นมาก
“เราไปสืบเรื่องแก๊งเงินกู้นอกระบบกันดีกว่า”
จากนั้นทั้งคู่ก็รีบเดินออกจากอำเภอพชร ไม่ได้นำรถมา เขาจึงอาสาขับรถให้กับบัวธิดา
“รถปลัดจอดอยู่ไหนครับเดี๋ยวผมขับให้เอง”
ในขณะพูดเขาก็แบมือเพื่อขอกุญแจรถเธอ
“แล้วรถผู้กองล่ะคะ”
“ผมไม่ได้เอามาครับ ให้พลขับมาส่ง”
หญิงสาวจึงยื่นกุญแจรถให้กับเขา
------------------------------------------------------------------
กราบขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยนะคะ
หากชื่นชอบก็อย่าลืม ทิ้งคอมเม้น ให้
เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ.....