“ปกติเห็นไปแต่อำเภอจนหัวกระได้ไม่แห้ง แล้วทำไมวันนี้ถึงย่างกายเข้ามาในเขตตำรวจได้ล่ะ”
ร้อยตำรวจเอกสืบศักดิ์ หัวหน้าชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจ สน.ลาดยาวซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับพชรตั้งแต่ตอนเรียนโรงเรียนเตรียมรุ่นเดียวกันซึ่ง ทั้งสองก็แทบไม่เชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะได้ย้ายมาอยู่ที่เดียวกันแถมยัง ได้ทำงานร่วมกันอีกด้วย เขาบอกว่าโชคชะและตาพรหมลิขิตที่ขีดเขียนไม่มีใครสามารถหลบหนีได้จริงๆ
“แหม่ ไม่ได้เจอกันนานปากดีเหมือนเดิมเลยนะไอ้นี่นายเล่นฉันไว้ตั้งแต่อยู่ที่ลานมันยังไม่ได้เอาคืนเลยนะ”
พชรทำท่าทีขึงขัง จนสืบศักดิ์ต้องยอมจำนนเพราะไม่ยากต่อความยาวสาวความยืด
“เอาเหอะๆ สงบศึกก่อนดีกว่า ไปหาร้านกาแฟนั่งคุยกันให้เพลิดเพลินบันเทิงทัพไป เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
เมื่อพูดจบตำรวจหนุ่มก็โผเข้ากอดคอพชรพาเดินไปที่รถยนต์ของเขา
“เอาล่ะก่อนที่จะถึงร้านกาแฟนายมีเบาะแสอะไรก็ว่ามา”
สืบศักดิ์พูดในขณะที่เขากำลังสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อเคลื่อนตัวออกจากโรงพักไป
“ฉันกับปลัดบัวเห็นรถผู้ต้องสงสัยขับเข้าไปทางเขตป่าสงวนปลัดบอกว่ารถคันนั้นเป็นของกำนันเดช เธอบอกว่าเห็นหลายครั้งแล้วด้วย”
พชรค่อนข้างมีความมั่นใจ ซึ่งเบาะแสของเขาตรงกับทางตำรวจสืบมาเช่นกัน สืบศักดิ์จึงขยายความต่อ
“เป็นไปได้นะว่ากำนันอภิเดชจะมีส่วนพัวพันกับยาเสพติดหรือการค้าของเถื่อนอะไรสักอย่าง เพราะสายของฉันก็รายงานเหมือนกันว่านายคนนี้ มีต้นตอของรายได้ที่ไม่โปร่งใสเท่าที่ควร”
เมื่อ สืบศักดิ์พูดจบพชรก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดรูปภาพที่ถูกบันทึกไว้จากกล้อง หน้ารถให้ดูในขณะที่เขากำลังขับรถอยู่ พชรก็พยายามยื่นโทรศัพท์ไปด้านหน้าเพื่อให้เขาเห็นให้ได้
“ปัดโถ่ไอ้นี่ ฉันกำลังขับรถอยู่ ส่งเข้าไลน์ฉันไม่ง่ายกว่าหรือไงถึงร้านกาแฟแล้วค่อยเปิดดู”
คนกำลังตั้งหน้าตั้งตาขับรถตะหวาดให้ด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยแต่จริงๆแล้วพชรก็แกล้งยียวนเขาไปอย่างนั้น
“แล้ว ทางตำรวจล่ะมีข้อมูลอะไรที่สามารถขยายผลเรื่องนี้ได้บ้างไหมได้ข่าวว่าก่อน หน้าที่ฉันจะมาปฏิบัติงานที่นี่ ทำผลงานคดียาเสพติดไว้ได้ยอดเยี่ยมไม่ใช่หรอ”
พชรมองหน้าเขาแล้วพูดขึ้นมา
“คนเก่าทำไว้ดี ฉันมาทีหลัง”
สืบศักดิ์เว้นช่วงหันมามองหน้าพชรก่อนที่จะพูดต่อ
“ก็มาก่อนแกได้ไม่เท่าไหร่หรอก มาสานงานต่อ แต่ที่แน่ๆ ยังไม่เคยมีรายไหนยอมปริปากถึงต้นตอได้เลยสักคน”
“เฮ้อ ขยายผลไม่ได้แบบนี้ทำงานลำบาก”
พชรถอนหายใจ ภายในใจรู้สึกกังวลเพราะยังไม่แน่ใจในตัวเองว่าจะจัดการคดีนี้ให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างไร
“ลำบากแน่หล่ะ นายรู้ไหมว่ากำนันเดชมีอิทธิพลต่อคนที่นี่มากมายแค่ไหนไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้าถึงตัวผู้ชายคนนี้ได้”
“มันจะซักขนาดไหนเชียววะ”
พชรแย้งขึ้นมา เพราะเขายังรู้เรื่องกำนันอภิเดชได้ไม่ดีพอเท่ากับสืบศักดิ์
“ฉันจะบอกให้นะว่าตั้งแต่ศาลาริมทาง”
สืบศักดิ์ชี้นิ้วไปที่ศาลาข้างทางให้พชรดูและเขาก็อธิบายต่อ
“โบสถ์เอย ศาลาการเปรียญเอย โรงเรียน อนามัย แล้วอะไรอีกล่ะ พวกนี้ล้วนแล้วแต่มีชื่อกำนันเดชเป็นผู้ก่อสร้างทั้งหมดทั้งมวล เออ รู้สึกว่าจะมีการสร้างบ้านให้ผู้ยากไร้ และแบ่งที่ดินทำกินให้กินให้กับชาวไร่ชาวนาฟรีๆ อีกนะ”
“โอ้โหนี่มันเป็นไอดอลประจำหมู่บ้านชัดๆ เป็นแค่กำนันจะร่ำรวยไปถึงไหน”
ความสงสัยของพชรยังไม่จบสิ้นสืบศักดิ์จึงอธิบายต่อ
“ในตัวจังหวัดกำนันเดชมีธุรกิจหลายอย่าง ที่เป็นหลักๆ เลยก็คือ บริษัทรับสร้างบ้าน และมีหุ้นส่วนในการสร้างคอนโดมิเนียมขายอีก ขยายไปยังกรุงเทพเลยนะ”
“แบบนี้ก็รวยจริงนี่หว่า คงจะไม่ใช่เอเย่นค้ายาหรอกมั้ง”
เหตุผลและข้อมูลที่ได้รับจากเพื่อนตำรวจทำให้พชรเบี่ยงเบนความเชื่อ
“แต่มีสายรายงานมาว่าเกี่ยวข้องแถมตอนนี้ชื่อของกำนันยังติดอยู่ในบัญชีรายชื่อของผู้มีอิทธิพลอยู่ด้วย เพียงแต่อย่างที่บอกว่าการสร้างบารมีไว้ดีนั้นมันคือเกาะป้องกันให้เราเข้าถึงตัวยาก”
สืบศักด์อธิบายต่อ ดูเหมือนว่าจะรู้จักกำนันอภิเดชเป็นอย่างดีเลยทีเดียว
“เกาะแห่งพลังมวลชนอย่างนั้นหรอ”
พชรพรึมพรำกับตัวเองเบาๆภายในใจเขาครุ่นคิดไปถึงใบหน้าของบัวธิดาตอนขณะขับรถตามกำนันอภิเดชไป ตอนนั้นสีหน้าของเธอดูเหมือนจะโกรธแค้นชายผู้มีอิทธิพลคนนี้เอาเสียมากๆ จนไม่สามารถซ่อนเร้นความสึกนั้นได้ ระหว่างเธอมันต้องมีอะไรกับชายคนนี้แน่ๆ นี่คือความสงสัยที่ติดอยู่ภายในใจของเขาจากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ และหันมาคุยกับสืบศักดิ์ต่อ
“ฉันจะให้ลูกน้องปลอมตัวเข้าไปเป็นชาวบ้านหาของป่าเพื่อให้ได้หลักฐานที่ชัดเจนหากมันเป็นจริงตามที่สายรายงานมา อย่างไรเสียมันก็ต้องยอมจำนนด้วยหลักฐาน ไม่มีทางดิ้นหลุดแน่ๆ”
“ถาม จริงๆ สรุปว่าหน้าที่ของแกคืออะไรกันแน่วะ เท่าที่ฉันรู้มาคือร้อยเอกพชรเป็นหัวหน้าชุดมวลชนสัมพันธ์เพื่อมาสร้างความ ปรองดองกับชาวบ้านไม่ใช่หรอ”
“อันนั้นเป็นภารกิจหลัก ส่วนภารกิจแอบแฝงคือฉันถูกสั่งให้มาสืบเรื่องยาเสพติดในพื้นที่ด้วย”
พชรแย้งกลับ
“ถ้าอย่างนั้นทางนายก็หาเรื่องสืบเสาะในป่านั้นไปก็แล้วกันส่วนทางฉันจะสืบเสาะไปทางลูกสาวของมันเองเผื่อจะได้เบาะแสอะไรบ้าง”
“กำนันมีลูกสาวด้วยหรอ”
พชรถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ เธอเป็นหมออยู่ที่อนามัยนี่แหล่ะ ที่สำคัญคือสวยมากด้วย”
แววตาคมกริบฉายความเจ้าชู้ออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“งานถนัดแกเลยสิ”
พชรเหน็บแนมให้เล็กน้อยก่อนที่จะบ่นเรื่องร้านกาแฟต่อ
“นี่แกจะพาฉันไปกินกาแฟที่ดาวอังคารหรือไง ทำไมยังไม่ถึงสักที”
“พอดีว่าฉันชอบบรรยากาศร้านที่อยู่แถวอำเภอเผื่อว่านายอยากจะชวนใครแถวๆ นั้นมานั่งจิบกาแฟด้วยกัน”
“แกหมายถึงปลัดบัวอย่างนั้นสิ”
พชรรู้ทัน
“รู้ไหมว่าเรื่องปลัดบัวกับแกเขาลือกันทั้งอำเภอ ถามจริงเหอะว่าจะคั่วกันไปอีกนานแค่ไหนเมื่อไหร่จะรีบเผด็จศึกสักทีวะ”
พชรถอนหายใจออกมาเสียงดังหลังจากที่สืบศักดิ์ถาม
“ดูเหมือนว่าเธอปิดกั้นตัวเองยังไงก็ไม่รู้ว่ะ”
เมื่อพชรพูดจบเขาก็ขับรถมาจอดหน้าร้านกาแฟพอดี
“เนื้อคู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอก ถ้าแกมีใจให้เธอจริงๆ ฉันเชื่อว่าเธอจะเป็นพรหมลิขิต”
สืบศักดิ์พูดทิ้งท้ายเพื่อสานต่อความหวังของพชร ก่อนที่ทั้งคู่จะลงไปดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟร้านโปรด
ในขณะเดียวกันปลัดบัวธิดา ก็ปฏิบัติหน้าที่อยู่อีกทางด้านหนึ่ง หญิงสาวมาเก็บข้อมูลที่แปลงเกษตรสาธิตเพื่อจะขยายผลงานให้เกิดเป็นรูปธรรมให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งปกติทั้งคู่จะต้องทำงานด้วยกัน อยู่ตลอดเวลา แต่วันนี้ปลัดมาเดี่ยว จึงอดไม่ได้ที่ชาวบ้านจะแซวว่าเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป
“วันนี้ผู้กองขวัญใจชาวบ้านไปไหนซะล่ะปลัด”
ตาไว เป็นคนดูแลแปลงเกษตรสาธิต จึงเอ่ยถามปลัดขึ้นมา
“แยกกันบ้างก็ดีค่ะ ทำงานตัวติดกันตลอดจนบัวไม่รู้ว่าจะแก้ข่าวอย่างไรแล้ว”
“แหม...ไม่เห็นจะต้องแก้คงแก้ข่าวอะไรเลย ป้าชอบหนูทั้งสองคนอยากให้ลงเอยกัน”
เมื่อได้ยินภรรยาของตาไวพูดเเช่นนั้นบัวธิก็สแยะยิ้มเล็กน้อย
“นี่ๆ แกสองคนก็พูดจาเรื่อยเปื่อย พอสักทีปลัดบัวหน้าแดงหมดแล้ว”
ผู้ใหญ่เงินล้านต้องพูดจาตัดบท ไม่อย่างนั้นคงยังไม่ได้เข้าเรื่องงานสักที
“เรื่องของการขับเคลื่อนเกษตรทฤษฎีใหม่ ผู้ใหญ่คิดว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนดีคะ”
หญิงสาวพูดพร้อมนั่งลงที่เก้าอี้เธอเตรียมสมุดจดบันทึกเพื่อจะได้เก็บข้อมูลในครั้งนี้ที่ได้มาคุยกับผู้ใหญ่บ้าน อยู่ภายในอาคารการเรียนรู้ซึ่งเป็นหลังคามุงแฝก ที่รายล้อมไปด้วยทุ่งข้าวเขียวขจี ลมพัดเอื่อยๆ ทำให้ได้กลิ่นฟางข้าวและดินโคลนจางๆ สีเขียวของต้นข้าวทำให้หญิงสาวรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย ยามที่ได้มอง
“ผมคิดว่าหมู่บ้านของเราน่าจะเข้าร่วมประกวดคัดสรรกิจกรรมพัฒนาชุมชนดีเด่น ทางด้านหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง เดินตามรอยเท้าพ่อสานต่อแนวพระราชดำริ ดีไหมครับ”
“ดีค่ะ แต่เราต้องหาแรงจูงใจเพื่อให้ชาวบ้านเกิดความร่วมมืออย่างจริงจัง”
“เรื่องนี้ผมคิดไม่ออกจริงๆ ครับ ผมเคยแต่จูงวัวจูงควาย ไม่เคยไปจูงใจใครสักที”
ความอารมณ์ขันของผู้ใหญ่บ้านทำให้บัวธิดาปล่อยเสียงหัวเราะออกมา ก่อนที่เธอจะมีข้อเสนอดีๆ กลับไปให้ผู้ใหญ่
“อย่างนั้นถ้าหากครอบครัวไหนจริงจังที่จะทำ บัวจะประสานให้ทางอำเภอเข้ามาช่วยเหลือ และถ้าได้ผลตามเกณฑ์มาตรฐานทางอำเภอก็ออกใบประกาศเกียรติคุณให้ ดีไหมค่ะ”
“ดีครับผมเห็นด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นบัวจะนำเรื่องนี้ไปนำเสนอต่อนายอำเภอคิดว่าน่าจะไม่ติดปัญหาอะไร”
หญิงสาวจดบันทึก รายละเอียดที่สำคัญเอาไว้ เพื่อดำเนินการสานต่อเรื่องนี้อย่างจริงจัง เมื่อคุยธุระกับผู้ใหญ่เงินล้านเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็ตั้งใจว่าจะขับรถไปวนดูรอบๆ ทางเข้าป่าเขาหลวงอีกครั้งหนึ่ง เธอมั่นใจว่ากำนันอภิเดชจะต้องทำงานผิดกฎหมายอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้เช่นนั้นมือจึงเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายออกมาเพื่อ ตั้งใจจะโทรหาพชรให้ไปสืบด้วยกันแต่เมื่อมือกำลังจะกดโทรออกเธอก็คิดได้ว่าชายหนุ่มขอให้เธอดูเรื่องนี้อยู่ห่างๆเพราะเป็นห่วงความปลอดภัย
ฉะนั้นหากโทรไปเขาต้องไม่ยอมให้เธอเข้าไปแน่นอนหญิงสาวจึงตัดสินใจขับรถเก๋งสีขาวคู่ใจไปสืบเรื่องนี้เพียงลำพังและเมื่ออีกไม่ไกลก่อนที่จะถึงทางเข้าป่า หญิงสาวก็มองเห็นว่ามีรถกระบะสี่ประตูคันสีดำกำลังขับจี้ตามหลังมาด้วยความ เร็ว แต่เธอตั้งสติได้ไม่กระโตกกระตากเร่งความเร็วหนี้ให้เกิดความสงสัยแต่เธอเลือกที่จะชะรอความเร็วเพื่อให้รถกระบะนั้นแซงไป ทว่าไม่เป็นเช่นนั้นรถกระบะไม่ได้แซงเธอไปเฉยๆ แต่กลับปาดหน้าของเธอและจอดอย่างกะทันหัน หากเหยียบเบรกช้ากว่านี้หน้ารถของเธอคงได้ยุบไปแล้วเมื่อรถทั้งสองคันจอดสนิท ก็ได้มีผู้ชายร่างกายกำยำสองคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตหลากสีและกางเกงยืนกำลังเดินลงจากรถและมุ่งหน้าตรงเข้ามาหาบัวธิดารีบเปิดคอนโซนหน้ารถเพื่อดูให้แน่ใจอีกครั้งว่าปืนพกที่เตรียมไว้ พร้อมใช้งานดี คนคุ้นเคยเดินมาถึงประตู เขาเคาะกระจกของหญิงสาวเบาๆบัวธิดาถอนหายใจก่อนที่จะกดปุ่มกระจกให้เลื่อนลง
“มาทำอะไรแถวนี้หรือบัว”
ชายหนุ่มในวัยเดียวกันกับเธอก้มศีรษะลงมาคุยด้วย
“มาจับโจร”
หญิงสาวพูดเจือรอยยิ้มจางๆ เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเธอพูดเล่น
“มาจับโจรคนเดียวเนี่ยะนะ”
ชายคนนั้นก็พูดพร้อมเสียงหัวเราะ
“ล้อเล่น...ฉันก็แค่มาขับรถดู ว่าแถวนี้มีอะไรผิดปกติที่หรือป่าว”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ก่อนที่จะเงียบสักพักแล้วพูดต่อ
“สบายดีไหม ตั้งแต่สอบปลัดได้เราก็ดูห่างเหินกันไปเลยนะ”
“อืม...สบายดีฉันว่าที่เราห่างเหินกันไม่ใช่เป็นเพราะฉันได้เป็นปลัดหรอกแต่เป็นเพราะว่าตั้งแต่ที่นายมาทำงานให้กำนันเดชมากกว่า”
เมื่อได้ยินบัวธิดาอดีตเพื่อนสนิทที่เคยเรียนอยู่ห้องเดียวกันตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมพูดแบบนั้น ก็ทำให้พีระอึ้งไปชั่วครู่ บัวธิดาแหงนมองหน้าของเขาและยิ้มจางที่มุมปากก่อนจะพูดต่อ
“ว่าแต่นายมาทำอะไรแถวนี้”
“กำนันเดชให้มาช่วยตรวจตาดูบริเวณนี้เพราะเมื่อวานมีชาวบ้านไปร้องเรียนถึงที่บ้าน ว่าแถวนี้มีพวกวัยรุ่นมันชอบมาซ่องสุมทำเรื่องไม่ดีกัน ท่านกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อคนในพื้นที่ เราก็เลยต้องมาดูแล”
“แหม กำนันเดชนี่ช่างเป็นคนดีจริงๆ”
“ถ้ารู้สึกว่าไม่จริงใจไม่ต้องชมก็ได้ เรารู้ดีว่าบัวไม่ชอบกำนันเดช ยังติดใจตั้งแต่เรื่องที่แม่ตาย แล้วพ่อเธอก็หนีออกจากบ้านใช่ไหม”
พีระก้มหน้าลงมาคุยกับบัวธิดาอีกครั้ง
“นายไม่ต้องพูดให้ฉันรู้สึกแย่ก็ได้นะ”
บัวธิดาพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวเธอกัดฟันกรอดเท่านั้นยังไม่พอ ยังกระชากปกเสื้อของพีระ เข้ามาใกล้อีกด้วย ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใดเขากลับจ้องไปที่ดวงตาของเธอด้วยสีหน้าที่นิ่ง ในแววตานั้นยังบ่งบอกถึงความในใจ ว่าเพื่อนเก่าคนนี้ถึงอย่างไรก็ไม่มีวันลืมมิตรภาพที่เคยมีให้กันมาตั้งแต่ในช่วงวัยเด็กได้
“มีอะไรกันหรอ”
เสียงของพชร ทำให้บัวธิดาตกใจเธอรีบปล่อยคอเสื้อของพีระทันที
“สวัสดีครับผู้กอง”
พีระกล่าวคำสวัสดีให้พชร และเขายังหันไปหาสืบศักดิ์ที่กำลังเดินลงจากรถมา จากนั้นก็หันไปมองบัวธิดาอีกรอบ ก่อนที่จะเอ่ยคำล่ำลา
“เราไปก่อนนะบัว”
หญิงสาวพยักหน้าตอบรับแต่ไม่ได้มองหน้าของเขา
“รู้จักกันหรอ”
พชรก้มหน้าลงมาถาม
“ฉันอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด ถ้าจะรู้จักคนทั้งหมู่บ้านก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
“ถามแค่นี้ต้องทำท่าอารมณ์เสียด้วยหรอ”
เขา พูดพร้อมส่งสายตาวับวาวให้กับเธอ ความเขินทำให้คนอยู่ในรถกำพวงมาลัยแน่นอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับความอึดอัดร่างกายอย่างบอกไม่ถูกเพราะพชรชะโงกหน้ามาทางหน้าต่างรถ ยนต์ใบหน้านั้นอยู่ใกล้ชิดเธอมากจนทำให้หญิงสาวหลงเสน่ห์ในใบหน้าของชาย หนุ่มถึงแม้อาจจะดำคล้ำไปบ้างแต่ก็ยังคงใสปราศจากสิว แต่หนวดที่ขึ้นเป็นเงาเขียวและคิ้วหนาเข้มนั้นแหล่ะ คือเจ้าตัวปัญหาที่ทำให้บัวธิดา ทำอะไรไม่ถูกราวกับว่าหัวใจมันจะออกมากระโดดโลดเต้นอยู่ภายนอก ร่างกายเธอรู้สึกหวิวๆ หายใจไม่สะดวก เธอรู้สึกว่าหัวใจตัวเองกำลังเกิดวิกฤตอย่างรุนแรงในการที่จะหักห้ามใจไม่ ให้คิดถึงใบหน้าอันคมเข้มของเขา เธอจึงตัดสินใจเปิดประตูรถใส่เขาเพื่อจะออกมาปลดปล่อยความอึดอัดให้คลายออก ไป
“อ้าว ผู้กองสืบมาด้วยหรอคะ”
“ครับ...แถวนี้ดูเงียบๆ นะ”
สืบศักดิ์เดินสำรวจพื้นที่บริเวณรอบๆ เพื่อสังเกตความผิดปกติ
“แล้วคุณสองคนมาทำอะไรกันแถวนี้คะ”
บัวธิดาหันมาถามพชร ชายหนุ่มที่เอาแต่ยืนนิ่งอยู่ใกล้ๆ เธอ จนทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง ในขณะที่สืบศักดิ์ก็เอาแต่เดินไปทางอื่น ทำราวกับว่าจะเปิดทางให้เพื่อนรักอยู่กับเธอสองต่อสอง
“ก็ตามคุณมานั่นแหล่ะ”
“รู้ได้ไงว่าฉันมาแถวนี้”
“เห็นหลังแวบๆ พอดีผมกับไอ้สืบกำลังจะไปหาข้าวกินกันที่ร้านป้าช่อ เห็นรถคุณเลี้ยวเข้ามาในนี้ ผมก็เลยตามมา”
“บอกแล้วไงว่าอย่ามาคนเดียวผมเป็นห่วง”
เขาส่งสายตาวับวาวให้หญิงสาวอีกครั้ง บัวธิดายังไม่ทันตอบอะไรสืบศักดิ์ก็เดินเข้ามา
“พดนายจะไปกับปลัดบัวก็ได้นะ เดี๋ยวฉันไปรอที่ร้านป้าช่อ”
“ปลัดอยากจะไปทานข้าวเย็นด้วยกันไหมครับ”
พอได้โอกาสพชรก็ชวนบัวธิดาทันที
“ไม่ล่ะ ฉันต้องกลับไปเคลียร์งาน”
พชร ยิ้มตอบรับก่อนที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไป แต่ภายในใจเขายังรู้สึกสงสัยว่าทำไมบัวธิดาถึงดูเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ ภายในใจซึ่งเป็นความคิดของพชรที่เขานั้นสัมผัสได้จากแววตาของเธอ ยิ่งนับวันเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองจะให้ความสำคัญกับบัวธิดามากขึ้นทุกที