เช้าวันต่อมา มินทิราสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองหน้ากระจกเป็นครั้งสุดท้าย การเริ่มงานวันแรกกับเคเคกรุ๊ป หญิงสาวเลือกใส่ชุดจั๊มสูทขายาวคอปกเชิ้ตสีดำเพื่อความคล่องตัว และรวบผมเป็นหางม้าเสริมให้บุคลิกยิ่งดูทะมัดทะแมงมากขึ้น ก่อนจะคว้ากระเป๋าถือใบกะทัดรัดเตรียมออกไปทำงาน
“มิ้นไปทำงานก่อนนะคะแม่...” หญิงสาวเอ่ยขึ้นพลางยกมือไหว้ผู้เป็นมารดาอย่างเช่นที่เคยทำเป็นประจำ หากในวันนี้สิ่งที่เปลี่ยนไป คือ บิดาของเธอ...ไม่ได้ไปทำงานแล้ว หญิงสาวจึงเดินมาหาพลางหอมแก้มบุรุษชราที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฟอดใหญ่
“มิ้นไปทำงานก่อนนะคะพ่อ มิ้นสัญญาค่ะว่าพ่อจะพักร้อนแค่เดี๋ยวเดียว อีกไม่นานพ่อจะต้องได้กลับไปทำงานที่เคเคกรุ๊ปเหมือนเดิมค่ะ”
นางเอื้อมพรแอบเช็ดน้ำตาเงียบๆเมื่อเห็นลูกสาวกอดผู้เป็นบิดาไว้แน่น เรื่องที่เกิดขึ้นแม้ว่าเธอจะรู้เรื่องเป็นคนสุดท้าย หากด้วยความเข้มแข็งของสามีและลูก ทำให้เธอค่อยคลายกังวลใจ และพยายามที่จะทำทุกอย่างให้เป็นปรกติไม่ให้คนในครอบครัวเป็นห่วงเธอไปด้วยอีกคน
“พ่อกับแม่เชื่อว่ามิ้นทำได้ โชคดีนะลูก”
“ขอบคุณค่ะ มิ้นรักพ่อกับแม่ที่สุดในโลกเลยค่ะ” มินทิราหอมแก้มบิดามารดาอีกคนละฟอดก่อนจะเดินออกไปเผชิญหน้ากับสิ่งใหม่ๆที่กำลังจะเริ่มต้นในชีวิต ...อะไรที่เธอยังไม่ได้ทำที่เดอะเบสต์ เธอจะทำให้ได้ที่เคเคกรุ๊ปนี่แหละคอยดู!
.............................................
ร่างเล็กของมินทิราก้าวตามหญิงสาวร่างเพรียวระหงที่เดินนำไปยังบานประตูไม้สีโอ๊ค ที่ติดป้ายหน้าห้องว่า ผู้จัดการฝ่ายการตลาด เอาไว้ หากเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้ว มินทิราเห็นเพียงแค่โต๊ะทำงานสองตัวที่ตั้งเรียงกันเป็นรูปตัวแอลเท่านั้น หากไม่มีเงาของผู้จัดการฝ่ายการตลาดเลย
“คุณวาสิตาคะ ...ท่านประธานจะให้ดิฉันทำงานตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดเหรอคะ”
มินทิราอดถามขึ้นไม่ได้เมื่อดวงหน้าเรียวหวานของผู้ที่เดินนำเธอมาเดินอ้อมไปยังหลังโต๊ะทำงานตัวเขื่อง ก่อนเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มบางอย่างในลิ้นชักพลางหาอะไรมาจดยุกยิก
“ก็ไม่เชิงค่ะ ... ตำแหน่งนี้จริงๆยังว่างอยู่ ท่านประธานน่าจะให้คุณกานต์ลูกชายของท่านมาทำมากกว่าค่ะ ส่วนหน้าที่ของคุณมินทิรา ถ้าจะให้เรียกอย่างเป็นทางการหน่อย ก็น่าจะตำแหน่งเลขา อะไรประมาณนั้นค่ะ”
เจ้าของเสียงหวานเดินถือแฟ้มและสมุดจดโน้ตมาส่งให้มินทิราที่ยังคงอึ้งๆกับตำแหน่งใหม่ของตัวเองอยู่ หากรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้อย่างเป็นมิตรและจริงใจนั้น ทำให้มินทิราได้แต่ยิ้มตอบดวงหน้าหวานชวนมองนั้น วาสิตามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอเกรงใจ โดยเฉพาะดวงตาดำขลับที่ทอประกายอ่อนโยนและริมฝีปากเรียวอิ่มที่พอยิ้มแล้วทำให้เธอนึกถึงรูปปั้นพระแม่มารีในโบสถ์ที่ทั้งเปี่ยมไปด้วยรังสีแห่งความอารีและอบอุ่น ที่ทำให้มินทิราไม่อยากจะเอ่ยเรื่องอะไรที่จะไปทำให้เธอกังวลใจเลย
“นี่เป็นแฟ้มรายละเอียดเกี่ยวกับกรอบการทำงานและเป้าหมายของทีมการตลาดที่ท่านประธานวางแพลนเอาไว้ รวมถึงข้อมูลส่วนตัวบางอย่างของคุณกานต์ที่คุณมินทิราควรจะทราบคร่าวๆ ที่หน้าแรกของสมุดเป็นเบอร์โทรส่วนตัวของดิฉันเองค่ะ ถ้าคุณมินทิรามีเรื่องอยากปรึกษาหรือมีเรื่องอะไรที่ตาพอจะช่วยได้ก็โทรมาได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณมากค่ะคุณวาสิตา คุณวาสิตาเรียกมิ้นเฉยๆก็ได้ค่ะ”
“งั้นคุณมิ้น ก็เรียกพี่ว่าตุ๊กตา หรือพี่ตาก็ได้ค่ะ”
“คุณตุ๊กตาอายุมากกว่ามิ้นเหรอคะ”
“ปีนี้ 27 แล้วค่ะ คุณมิ้นรู้แล้วก็เหยียบไว้ เดี๋ยวคนอื่นจะรู้ว่าพี่ใกล้เลขสามเข้าไปทุกทีแล้ว” วาสิตาเอ่ยพลางแกล้งทำหน้าขึงขัง จนมินทิรายิ้มให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ
“เดี๋ยวพี่ต้องไปทำงานต่อแล้ว ระหว่างที่รอคุณกานต์เข้าบริษัท คุณมิ้นก็ศึกษาข้อมูลสินค้าของบริษัทไปพลางๆก่อนก็ได้ค่ะ ปรกติคุณกานต์จะเข้ามาสายๆหน่อย”
“ขอบคุณค่ะคุณตุ๊กตา”
มินทิรายิ้มตอบอีกฝ่าย ก่อนจะเดินไปนั่งโต๊ะริมฝั่งซ้ายพลางก้มลงอ่านเอกสารที่วาสิตาเตรียมมาให้อย่างตั้งใจไปเรื่อยๆ แต่จนเกือบเที่ยงมินทิรายังไม่เห็นแม้แต่เงาของกานต์เลย
“เอาไงดีเนี่ย...ไหนคุณตุ๊กตาบอกว่าสายๆ นี่มันจะเที่ยงอยู่แล้ว”
มินทิราบ่นพึมพำในขณะที่ตัดสินใจเดินออกไปตามหาวาสิตา หากหญิงสาวคนที่เป็นความหวังของเธอกำลังเดินออกไปข้างนอกกับลูกค้าของบริษัทกลุ่มหนึ่ง ทำให้มินทิราได้แต่ถอนใจอย่างเซ็งๆ แต่แล้วหางตาเธอเหลือบไปเห็นบุรุษร่างสูงที่กำลังจะเดินออกจากห้องประชุมมาพอดี หญิงสาวจึงทำใจกล้าเดินไปถามประธานเกื้อที่เพิ่งประชุมเสร็จและกำลังจะกลับเข้าห้องทำงานส่วนตัวของตัวเองไป
“ท่านประธานคะ ดิฉันมีเรื่องอยากเรียนปรึกษาสักครู่ค่ะ”
คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมดุเพียงแค่เลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจในสีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่าย หากก็ไม่ได้ตำหนิอะไรนอกจากเอ่ยกับเธอเพียงสั้นๆ
“ไปคุยในห้องทำงาน ตามฉันมา”
ร่างสูงผึ่งผายของประธานเกื้อเดินนำหญิงสาวเข้ามาในห้องทำงาน ก่อนจะเดินไปยังชุดโซฟาเล็กๆที่แบ่งส่วนไว้รับแขกข้างๆหน้าต่างที่เป็นบานกระจกกว้างเผยให้เห็นทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยตึกสูงใจกลางกรุงเทพมหานคร ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงพลางสั่งเลขาคนใหม่ของลูกชายเขา
“ฉันอยากได้กาแฟดำ เธอไปชงมาให้ฉันก่อนได้ไหมมินทิรา”
มินทิราได้แต่กลืนน้ำลายอย่างหวั่นใจกับน้ำเสียงดุๆและคำสั่งห้วนๆนั้น พลางเดินไปทำตามโดยดี ห้องทำงานของท่านประธานนี้นับว่าไฮโซหรูหราครบครัน เพราะนอกจากจะมีมุมรับแขกแล้วยังมีมุมกาแฟเครื่องดื่มพร้อมตู้เย็นเล็กๆไว้คอยบริการราวกับโรงแรมชั้นหนึ่ง
หญิงสาวยื่นกาแฟดำให้ร่างสูงใหญ่ตรงหน้า พลางตัดสินใจเอ่ยเรื่องที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้แต่แรก
“คือ ดิฉันไม่ได้อยากจะมีปัญหาตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานหรอกนะคะ แต่ว่าเป้าหมายของดิฉันตามข้อตกลงที่เราคุยกันไว้คือการทำกำไรให้ได้เกินเป้าไป 50% แต่ท่านประธานให้ดิฉันมาทำงานเป็นเลขาคุณกานต์ ดิฉันคิดว่าหน้าที่กับเป้าหมายมันจะดูไม่ค่อยสอดคล้องกันสักเท่าไหร่นะคะ”
“แต่เธอก็ได้ทำงานอยู่ในฝ่ายการตลาดแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไร แต่ทุกคนในฝ่ายการตลาด มีหน้าที่เดียวกันก็คือ ทำยอดผลกำไรและผลประกอบการให้เป็นไปตามเป้าหมาย ไม่มีใครทำงานสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว โดยเฉพาะฝ่ายการตลาดที่ต้องทำงานเป็นทีม เธอเองเคยทำงานการตลาดมานานน่าจะเข้าใจที่ฉันพูดดีนะ”
มินทิราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางพยายามตั้งสติ และเตือนตัวเอง คราวหน้าเวลาจะคุยอะไรกับประธานเกื้ออีก เธอคงจะต้องตั้งใจฟังให้ละเอียดและตามให้ทันความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายมากกว่านี้!
“โอเคค่ะ! ทำงานเป็นทีม ดิฉันเข้าใจแล้ว แต่ว่าตอนนี้เราคงจะตั้งทีมการตลาดใหม่ไม่ได้ ถ้าคุณกานต์ยังไม่เข้าบริษัท แล้วดิฉันจะทำงานยังไงถ้าหัวหน้าทีมไม่มาแบบนี้คะ”
มินทิรารายงานปนอาการฟ้องกลายๆ หากเกื้อไม่พูดอะไรให้เสียเวลา ชายหนุ่มเพียงแต่หยิบกุญแจพร้อมโทรศัพท์ยี่ห้อหรูรุ่นใหม่ล่าสุดส่งให้หญิงสาว
“นี่เป็นกุญแจคอนโด พร้อมกับโทรศัพท์สายตรงถึงกานต์ ฉันให้เธอ....”
“คะ? คอนโดคุณกานต์ หมายความว่ายังไงคะท่านประธาน”
มินทิราเอ่ยถามพลางจ้องใบหน้าคมเข้มของอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจว่าความคิดของตัวเองกับที่ท่านประธานคิดนั้นตรงกันไหม หากเกื้อกลับเอ่ยอย่างง่ายๆแต่ยากต่อการกระทำ
“ถ้าเธออยากให้งานเธอสำเร็จ เธอต้องพยายามทุกวิถีทางในการเอาตัวลูกชายฉันมาทำงานให้ได้ ฉันคงช่วยเธอได้แค่นี้”
หนุ่มใหญ่ตอบเสียงราบเรียบ พลางยกกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวแล้วลุกขึ้นไปทำงานต่อ โดยไม่มีคำแนะนำอื่นใดว่า ...ไอ้คำว่า ‘พยายามทุกวิถีทาง’ เนี่ย มันต้องทำอะไรยังไงบ้าง
มินทิราได้แต่นั่งอ้าปากค้างมองกุญแจคอนโดฯและโทรศัพท์ราคาแพงตรงหน้า ก่อนจะหยิบขึ้นมาอย่างไม่มีทางเลือก งานนี้ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือก็ไม่ได้ลูกเสือสินะ!
“ยัยมิ้นเอ๋ยยัยมิ้น แกโดนประธานเกื้อหลอกเอาจนได้ นี่มันไม่ใช่งานเลขาแล้ว! เห็นฉันเป็นครูโรงเรียนดัดสันดานหรือยังไง ถึงได้โยนคนที่เป็นภาระครอบครัวมาให้เนี่ย”
มินทิราบ่นกระปอดกระแปดระหว่างที่ขับรถไปตามแผนที่โครงการคอนโดมิเนียมหรูใจกลางทองหล่อที่อยู่ในแฟ้มข้อมูลส่วนตัวที่ได้มาจาก “พี่ตุ๊กตา” หรือ วาสิตา เลขาของท่านประธานเกื้อ และเมื่อถึงที่หมายตามแผนที่ที่ได้มา รถญี่ปุ่นคันเล็กๆของเธอดูคล้ายกับเป็นสิ่งเดียวที่ไม่เข้าพวกกับสถานที่ตรงหน้า
มินทิราถึงกับเคว้งคว้างพลางเกิดความไม่มั่นใจในตัวเองขึ้นมากะทันหัน แค่โถงล็อบบี้ชั้นล่างก็ทำเอาหญิงสาวแทบจะหน้ามืดตาลายไปกับแบรนด์หรูชั้นนำตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งยันแจกันดอกไม้ที่ใช้ประดับตามโต๊ะต้อนรับและเค้าท์เตอร์บาร์ มินทิรารีบเดินเข้าไปในลิฟต์พลางกดโทรศัพท์เครื่องใหม่ล่าสุดของเธอย้ำๆ แต่ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะรับโทรศัพท์ จนหญิงสาวขึ้นมาถึงห้องเพนท์สูทสุดหรูที่มีเพียงไม่ถึงห้าห้องในโครงการแห่งนี้
“อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้....วัดดวงหน่อยละ”
มินทิรากดออดหน้าประตูก่อนอย่างมีมารยาท พลางมองสำรวจห้องเพนท์เฮ้าส์ที่หรูที่สุดในคอนโดแห่งนี้ หญิงสาวรออยู่นานไม่มีใครมาเปิดประตู จึงตัดสินใจใช้ไอเท็มที่สองที่ท่านประธานมอบให้เธอไว้ หญิงสาวไขกุญแจที่มีเพียงดอกเดียวเข้าไปพลางเดินสำรวจตามหาเจ้าของห้อง หากมินทิราเพิ่งเดินเข้ามาได้ไม่กี่ก้าว ภาพและเสียงที่หญิงสาวได้เห็นสดๆจะๆทำให้มินทิรากรี๊ดออกมาเสียงโหยหวน...ทำไมห้องของคุณกานต์ถึงมีกองถ่ายหนังสดมาถ่ายทำอยู่ที่นี่!
“กรี๊ดดดดดด...”