ที่แปลงสาธิตเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืน ซึ่งงานนี้มีผู้ใหญ่บ้านเงินล้านเป็นแม่งานวันนี้เขาได้เชิญเกษตรอำเภอมาให้ความรู้กับชาวบ้านในเรื่องของการทำเกษตรทฤษฏีใหม่เพื่อเป็นแนวทางเริ่มต้นในการจัดการทรัพยากรระดับไร่นาคือที่ดินและน้ำ เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยพื้นที่เกษตรสาธิตนี้เป็นของผู้ใหญ่บ้านที่แบ่งปันที่ดินของตัวเองไว้สิบไร่ เพื่อเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ตรงทางเข้าพื้นที่ จะมีเพลิงกระท่อมมุ่งหลังคาแฝกเพื่อเอาไว้เป็นกองอำนวยการ ภายในมีการจัดบอร์ดนิทรรศการเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ เก้าอี้พลาสติกมีพนักพิงถูกจัดไว้อยากเป็นระเบียบ และมีกระดานไวท์บอร์ดเพื่อการบรรยาย ผู้กองพชรและเจ้าหน้าที่ชุดประสานงานมวลชนสัมพันธ์รวมถึงปลัดบัวธิดานั่งฟังกันอย่างตั้งอกตั้งใจ ในขณะที่ชาวบ้านต่างก็มานั่งฟังเพื่อหาความรู้กันอย่างพอควร
“เกษตรทฤษฎีใหม่จะมีอยู่ทั้งหมดสามขั้นตอนโดยแปลงเกษตรสาธิตนี้จะเป็นการเริ่มต้นจากขึ้นตอนแรกนะครับเดี๋ยวเราจะพาทุกคนเดินดูแต่ละส่วนของพื้นที่กันว่ามีอะไรกันบ้างครับ”
ผู้กองพชร หัวหน้าชุดประสานงานมวลชลฯ ซึ่งเป็นผู้ดูแลงานนี้ได้ประกาศให้ทุกคนทราบก่อนที่จะพากันเดินลัดเลาะไปตามคันนาเพื่อไปดูพื้นที่แต่ละส่วนของแปลงเกษตรโดยมีเกษตรอำเภอและผู้ใหญ่บ้านเป็นวิทยากรคอยอธิบายข้อมูลต่างๆ ให้ชาวบ้านฟัง
“ในขั้นเริ่มต้นของเกษตรทฤษฎีใหม่ คือการมีพื้นที่น้อย อยู่ในเขตเกษตรน้ำฝนเป็นหลักเน้นการเป็นเศรษฐกิจพึ่งตนเองให้มากขึ้น โดยจะแบ่งพื้นที่ ออกเป็น 4 ส่วน
- พื้นที่ส่วนที่หนึ่งประมาณ 30% ให้ขุดสระเก็บกักน้ำในฤดูฝนและ ใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์น้ำและพืชน้ำต่าง ๆ เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด เป็นต้น
- พื้นที่ส่วนที่สองประมาณ 30% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝน เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันในครัวเรือนให้เพียงพอตลอดปี เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
-พื้นที่ส่วนที่สามประมาณ 30% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ต่างๆ เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน และหากเหลือจากการบริโภคก็นำไปจำหน่าย
-พื้นที่ส่วนที่สี่ประมาณ 10% ใช้เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ และโรงเรือนอื่น ๆ เช่น เป็นลานตากพืชผล เป็นกองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ หรือ พืชผักสวนครัว เป็นต้น”
เมื่อมีการอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจและมองเห็นภาพทุกอย่างได้อย่างชัดเจนจนถึงขั้นนำไปปฏิบัติตามขั้นที่หนึ่งในที่ดินของตัวเองไปได้ระยะพอสมควรแล้ว เกษตรกรก็จะสามารถพัฒนาตนเองจากขั้น "พออยู่พอกิน" ไปสู่ขั้น "พอมีอันจะกิน" เพื่อให้มีผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จึงควรที่จะต้องดำเนินการตามขั้นที่สองและขั้นที่สามต่อไปตามลำดับ
“มันจะทำได้จริงหรือ ที่บ้านผมมีที่อยู่นิดเดียว”
“ใช่ แล้วที่เรามาเห็นกันวันนี้ก็เพราะผู้ใหญ่มีพื้นที่เป็นสิบไร่ ถึงทำได้”
“พวกเรามันแค่ตาสีตาสา จะทำได้อย่างไรกัน”
เสียงความขัดแย้งของชาวบ้าน ทำให้เกษตรอำเภอนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนที่จะได้ยินเสียงพชรโต้แย้งกลับ
“ทำได้สิครับ ถ้าทุกคนดูต้นแบบเสร็จแล้วเรากลับไปกันที่ห้องเรียนเดี๋ยวผมจะเปิดวีดีทัศน์บางอย่างให้ดู”
เมื่อกลับมายังสถานที่นั่งเรียน พชรจึงเปิดยูทูปบุคคลต้นแบบที่เขามีเนื้อที่เพียงไร่เศษแต่เขาก็สามารถบริหารจัดการพื้นที่เหล่านั้นให้สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตัวเองได้เป็นอย่างดี ให้ทุกคนดู ซึ่งเกษตรทฤษฎีใหม่นี้ ต่อให้เรามีที่ดินเพียงน้อยนิดมันก็สามารถทำได้จริงๆ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการพื้นที่ของเราให้เหมาะสม
“โชคดีนะครับที่เราเอาทีวีติดรถมาด้วย”
จ่ายงยุทธกระซิบบอกพชร
“เห็นหรือยังครับ ไม่ว่าพื้นที่จะน้อยหรือมาก เราก็สามารถทำกันได้ทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับว่าพวกเราเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ หรือไม่ เท่านั้นเอง”
พชรทิ้งท้ายเพื่อให้ทุกคนได้ฉุดคิด
“นัดทำไมถึงพึ่งมา จนเขาจะเลิกกันหมดแล้ว”
“ผมรีบสุดๆ แล้วครับ พอดีพึ่งทำงานในไร่เสร็จ”
บัวธิดาที่กำลังนั่งฟังการสนทนาอยู่แถวหลังสุดเอ่ยถามณัฐกิตติ์เมื่อเห็นว่าเขาเดินมานั่งใกล้ๆ พอดี
“นัด”
บัวธิดาเรียกและเขยิบเก้าอี้มานั่งชิดกับเขาจากนั้นจึงได้ยื่นเอกสารซึ่งเป็นคู่มือเกี่ยวกับการทำเกษตรทฤษฏีใหม่
“มาช้าแบบนี้จะไปรู้เรื่องอะไรกับเขา ลองเอาคู่มือนี้ไปศึกษาดูนะ พี่คิดว่าคงไม่อยากสำหรับนัด”
“ขอบคุณครับปลัดบัว”
“เรียกพี่เถอะเหมือนแบบที่เมเรียกไง”
“ครับพี่บัว”
ณัฐกิตติ์เป็นคนค่อนข้างที่เจียมตัวและเงียบขรึม เขารู้ตัวดีว่าครอบครัวของตัวเองยากจน ไม่มีอะไรเหมาะสมเทียบเท่ากับคนอื่น เขาจึงมักเกรงกลัวที่จะตีสนิทกับใคร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มารดาของเมยานีไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่นัก ซึ่งบัวธิดาเองเข้าใจในตัวเขาดี เนื่องจากได้รับฟังปัญหาต่างๆ ในครอบครัวของเขาจากเมยานีอยู่เป็นประจำ บัวธิดาจึงไม่รังเกียจและพร้อมที่จะปรับตัวเข้าหาเขาได้เสมอ
“ตั้งใจศึกษาดีๆล่ะ พี่เชื่อมั่นว่าเราต้องทำได้”
“ผมขอตัวไปเดินดูตัวอย่างจากของจริง ได้ไหมครับ”
“ได้สิ”
เช่นนั้นแล้วเขาจึงลุกจากเก้าอี้และเดินไปศึกษาจากการปฏิบัติจริงอย่างตั้งอกตั้งใจ จากนั้นพชรจึงเดินมาหาเธอที่เก้าอี้
“เสร็จจากที่นี่แล้วปลัดจะกลับบ้านเลยไหมครับ”
บัวธิดายกแขนเพื่อดูนาฬิกาที่ข้อมือ
“เกือบจะเที่ยงแล้ว กลับเลยก็ได้ค่ะ”
ทั้งสองยังไม่ได้ได้สตาร์ทรถออกจากที่ตั้ง ก็ถูกชาวบ้านนินทาตามหลังกันให้แซด แต่ก็รู้ทั้งรู้ว่าชาวบ้านพวกนี้ขาเมาส์กันขนาดไหน ทั้งสองคนนั้นย่อมรู้ดี แต่ก็เลือกที่จะปล่อยวางเพราะการที่มีวุฒิภาวะดีทั้งคู่ทั้งสองสองเลือกที่จะพยายามทำงานและปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดโดยไม่สนใจปากหอยปากปูที่ไหน ไม่ว่าใครจะเอ่ยถึงพวกเขาอย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็ไม่เคยแคร์ เพราะคิดอยู่เรื่องเดียวคือการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับชาวบ้านให้ดีที่สุดเพียงเท่านั้นพอ
“ผู้กองกับหลานสาวตาพฤกษ์ตัวติดกันตลอดเลยว่าไหม”
“นั่นสิ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกันอีก”
“โอ๊ย ต่อให้อมพระอมโบถส์มาพูดฉันก็ไม่เชื่อหรอกว่าไม่ได้คิดอะไรกัน”
“เผลอๆ โผล่มาอีกทีอาจจะท้องโย้”
“ยัยพึงแกพูดเกินไป ทั้งคู่นั่นเป็นผู้ใหญ่แล้ว หน้าที่การงานก็ดี ระวังปากแกไว้หน่อย ชอบพูดอะไรไม่รู้จักคิด”
ป้าลั่มเบรคยายพึงขาเมาส์ประจำหมู่บ้านซะล้อตายแกเป็นคนปากไม่ค่อยมีหูรูดชอบพูดเพื่อสร้างความเสียหายให้คนอื่น หรือไม่ก็ชอบทำให้เขาแตกคอกันบ้างก็มี จนบางคนไม่อยากคบหาสมาคมด้วยแต่ก็ส่วนน้อยเพราะส่วนใหญ่คนในหมู่บ้านจะให้ความสำคัญกับแกเนื่องจาก แกนั้นเป็นคนค่อนข้างมีถานะ ทรัพย์สมบัติที่ดินมรดกก็หนาตา มิหนำซ้ำแกยังเป็นเท้าแชร์ประจำหมู่บ้านอีก ใครเดือดร้อนมาแกก็มีเงินให้กู้ เพราะสาเหตุนี้จึงยังคงมีคนคบค้าสมาคมด้วย เพียงแต่ต้องอดทนในมลภาวะปากของแกเท่านั้นเอง
“ผู้ใหญ่อย่าพึ่งไป แหมแค่นี้ทำไมต้องหลบหน้ากันด้วย”
“แกมีอะไรยายพึง ข้าไม่ได้จะหลบหน้า เพียงแต่ต้องรีบไปทำธุระที่อำเภอ”
“แหม..เห็นหน้าฉันทีไรเป็นต้องรีบทุกทีแหล่ะ ค่าแชร์ฉันหล่ะครบกำหนดจ่ายแล้วนะ”
ยายพึงแบมือกระดิกนิ้วใส่
“ลืมไปฉันตากข้าวไว้ที่ลาน นี่ก็ครึ้มๆ เหมือนฝนจะตกเดี๋ยวรีบไปเก็บก่อนนะ”
“ไม่ต้องเลยป้าลั่ม ของแกด้วย จ่ายมาซะดีๆ”
ป้าลั่มคู่ขาชวนเม้าส์ที่เตือนแกไปเมื่อสักครู่ก็มิวายถูกทวงค่าแชร์อย่างไม่ใยดี ขนาดสนิทกันขนาดนี้ แต่หากเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ แล้วละก็ ยายพึงคนนี้ไม่เคยที่จะปราณีใครสักคน
“เดี๋ยวฉันจะเอาไปจ่ายให้แกที่ร้าน ขอเข้าไปทำธุระที่อำเภอก่อน”
ผู้ใหญ่เงินล้าน ทำทีท่ากระซิบกระซาบ และเป็นอันรู้กันกับยายพึงว่าเขานั้นไม่อยากให้ใครรู้ถึงเรื่องการเล่นแชร์โดยเฉพาะภรรยาของแก
“เออ...ฉันก็เหมือนกันเดี๋ยวเอาไปจ่ายให้ที่ร้าน”
ป้าล่ำพูดเสร็จก็รีบเดินจ้ำอ้าวกลับบ้านในทันทียายพึงนั้นเปิดร้านขายของชำ อยู่ในหมู่บ้านจึงไม่แปลกที่แกจะปากจัด และรู้ข่าวสารเรื่องราวในหมู่บ้านดีกว่าใคร เพราะที่ร้านขายของของแกนั้น เป็นจุดศูนย์กลางของการปล่อยข่าวเลยก็ว่าได้ และชาวบ้านก็มักจะพูดกันเสมอว่า ยายพึงรู้โลกรู้
“นี่เราจะกลับบ้านกันเลยหรือป่าวครับ”
“ค่ะ หรือว่าผู้กองมีธุระไปที่อื่นต่อ”
พชรชำเรืองคุยกับบัวธิดาในขณะที่เขาพาเธอขับรถไปตามทางอย่างช้าๆ จุดหมายคือบ้านของหญิงสาว ทว่าลูกล้อที่เคลื่อนตัวไปนั้นมันช้าผิดปกติ ขนาดรถอีแต๋นยังแซงหนีไปได้ตั้งไกล
“ธุระไม่มีหรอกครับแต่นี่มันก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว เราแวะหาข้าวกลางวันกินกันก่อนดีไหม”
พชรรอคอยคำตอบอย่างจดจ่อ ทำไมบัวธิดาถึงนิ่งเงียบไปไม่ตอบอะไรเขาสักคำ เพราะเธอกำลังสองจิตสองใจ เรื่องข่าวลือก็ไม่อยากจะไปคิดมาก แต่เธอเป็นผู้หญิงคงจะต้องระวังตัวไว้หน่อย เพราะรู้ดีว่าสายตาของชาวบ้านมองทั้งคู่เป็นอย่างไร
“คนเราถ้าบริสุทธิ์ใจกันซะอย่าง จะไปแคร์ทำไมกับลมปากของชาวบ้าน ใครเขาจะคิดอย่างไรก็ช่าง ถ้าเราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะลูก มัวแต่แคร์คนอื่นแล้วจะหาความสุขของตัวเองได้ที่ไหนกัน”
ที่หญิงสาวนิ่งเงียบไปก็เพราะกำลังนึกถึงคำสอนของจำเนียรผู้เป็นอาสะใภ้ จึงทำให้เธอสบายใจขึ้นมาได้อีกครั้งหลังจากที่อึดอัดมานานเมื่อตอนอยู่ที่แปลงเกษตรสาธิต
“แวะทานก๋วยเตี๋ยวร้านป้าย้อยหน้าวัดก็ได้ค่ะ ไหนๆ ก็เป็นทางผ่านกลับบ้านพอดี”
“ได้ครับ”
พชรตอบทั้งรอยยิ้มที่รู้สึกอิ่มเอมใจ ก่อนที่จะเพิ่มความเร็วของรถกระบะให้เป็นความเร็วที่ปกติจนบัวธิดาต้องหันมามองเขา พร้อมความคิดที่ว่าพชรคงอยากจะชวนเธอทานข้าวด้วย แต่อ่ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่กล้าเอ่ยปาก
“ผู้กองกับปลัดบัวลมอะไรหอบมาจ๊ะ เข้ามาข้างในก่อน”
ป้าย้อยทักทายอย่างเป็นกันเอง ก่อนที่จะเชิญให้ทั้งสองคนเข้าไปนั่งที่โต๊ะ ร้านป้าย้อยเป็นเพลิงมุงแฝกเล็กๆ ในร้านมีเพียงโต๊ะยาวๆ กับม้านั่งที่ทำติดกันไว้ เพียงแค่โต๊ะเดียวเท่านั้น เมื่อพชรกับบัวธิดาไปนั่งที่โต๊ะ ป้าย้อยก็เดินมารับออเดอร์ทันที
“กินอะไรกันดีคะ”
ป้าย้อยถามทั้งสองคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พชรจึงถามบัวธิดาที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“ปลัดทานอะไรดีครับ”
“ของบัวขอหมี่เหลืองต้มยำใส่ทุกอย่างนะคะ”
“งั้นของผมขอเหมือนปลัดแต่ไม่ใส่ตับนะครับป้า”
“ผู้กองไม่ชอบกินตับหรอ”
ป้าย้อยถามพชรอย่างหน้าตาเฉยแต่โดยแท้แล้วแกแฝงความคิดทะลึ่งเอาไว้
“ไม่ชอบครับ”
เขาพูดพร้อมรอยยิ้มที่บ่งบอกได้ถึงความเขิน สักพักป้าย้อยก็ยกก๋วยเตี๋ยวมาให้ทั้งสองคน
“ได้แล้วจ้า อ๋อของปลัดป้าไม่ได้ใส่หัวใจมาให้นะลูก เพราะว่าหัวใจของป้าให้ผู้กองเขาไปหมดแล้ว”
ป้าย้อยพูดด้วยสีหน้าและทางที่กระมิดกระเมี้ยน จนทำให้ทั้งสองคนอดหัวเราะไม่ได้ และเมื่อรับประทานอาหารเสร็จระหว่างทางกลับบ้าน บัวธิดาได้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรบางอย่าง
“ผู้กองเบรคก่อน”
“เบรคครับเบรค ปลัดมีอะไรครับมอเตอร์ไซค์เกือบชนท้าย”
พชรถามด้วยความตกใจ บัวธิดามองไปที่กระจกมองหลับของรถ
“ช่วยถอยหลังแล้วเลี้ยวตามรถกระบะคันนั้นไปที”
บัวธิดาพูดเชิงออกคำสั่ง
“มีอะไรหรอครับ”
“ฉันสงสัยอะไรบางอย่าง”
พชรแสดงความไม่เข้าใจออกทางสีหน้าแต่ก็ไม่ขัดใจหญิงสาว
“ช่วยขับตามรถข้างหน้าไปห่างๆ หน่อยนะคะ”
“ไหนครับรถผมเห็นแต่ฝุ่นฟุ้ง”
พชรแกล้งพูดถ้อยคำยียวน
“ผู้กอง”
ปลัดบัวธิดาเรียกเขาด้วยโทนเสียงต่ำพร้อมกับชำเรืองสายตาให้เพื่อเป็นสัญญาณว่าขณะนี้เธอกำลังจริงจังอยู่
“ครับตามก็ตาม ว่าแต่รถใคร”
“ฉันสงสัยมาหลายครั้งแล้วว่าทำไมกำนันเดชชอบขับรถเข้ามาในป่า แถวนี้บ่อยๆ ”
“กำนันอภิเดชนั่นหรอ”
พชรถามด้วยความสงสัย
“ใช่ค่ะ”
“แล้วคุณสงสัยอะไรเขา”
พชรถามเธออีกรอบในขณะที่กำลังตั้งใจจดจ่อตามรถกระบะสี่ประตูสีดำไม่ติดป้ายทะเบียนหลังไปอย่างห่างๆ
“ทางทหารกำลังหาเบาะแสเกี่ยวกับเอเย่นค้ายารายใหญ่อยู่ใช่ไหมค่ะ”
“ใช่ครับ”
“แล้วไม่สงสัยหรอว่าในป่านั้นอาจจะเป็นที่พักยาหรือแหล่งมั่วสุมอะไรสักอย่าง”
น้ำเสียงของหญิงสาวมีทีท่าว่าจริงจัง จนทำให้พชร กลัวว่าเธอจะทำอะไรผลีผลามลงไปตามนิสัยความใจร้อนของเธอ
“เห็นชาวบ้านบอกว่าข้างในเป็นที่มีเจ้าของ”
“แต่ถ้าเลยที่ตรงมีเจ้าของไปมันเป็นป่าลึกแถมยังสามารถทะลุเขตไปยังจังหวัดอื่นได้อีกมันเป็นพื้นที่ลำเลียงสิ่งผิดกฎหมายได้ดีมากเลยนะคุณ”
เมื่อหญิงสาวพูดจบพชรก็จอดรถเข้าข้างทางในทันที เขามองเห็นไกลๆ ว่ารถกระบะต้องสงสัยคันนั้นเลี้ยวไปยังป่าเขาหลวง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกกัน
“จอดทำไมคะ”
“เราตามกันแค่นี้พอ ที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเอง”
“ฉันอุส่าเป็นคนหาเบาะแส ลอยแพรกันเลยหรือไง”
น้ำเสียงหงุดหงิดพุ่งปรี๊ดขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าที่แสดงถึงความไม่พอใจ
“อย่าคิดแบบนั้นสิครับผมแค่เป็นห่วงกลัวว่าปลัดจะมีอันตราย เอาเป็นว่าปลัดมีหน้าที่แค่หาเบาะแสอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ผมก็พอนะ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง”
“พูดอะไรเพ้อเจ้อ”
บัวธิดารีบหันสายตาหลบพชรทันที เมื่อเผลอเป็นไม่ได้เพราะชายหนุ่มชอบส่งสายตาวับวาวให้กับเธอ และเขาก็รู้ดีว่าสายตาแบบนี้สามารถสยบหญิงสาวจ้าวพยศอย่างบัวธิดาได้เป็นอย่างดี เท่านั้นยังไม่พอเขายังฉวยโอกาสกุมไปที่มือของเธอที่วางกุมกันไว้บนตักอีก
“ผมไม่อยากให้ปลัดเอาชีวิตตัวเองเข้ามาเสี่ยงเข้าใจไหม ผมเป็นห่วง”
หญิงสาวเกือบจะคล้อยตามคารมของเขาไป ลมปากของชายหนุ่มที่กลอกอยู่ข้างๆ หู มันทำให้หัวใจของเธอหวิววาบ ราวกับจะละลายไปทั้งตัว แต่มันคงเป็นได้เพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้นเมื่อเธอรู้ตัว จึงรีบดึงมือตัวเองออกจากมือหนาอันอบอุ่นของเขาโดยทันที
“อย่ามาฉวยโอกาสกับฉัน”
บัวธิดา รู้ทัน เธอรีบผลักชายหนุ่มที่โน้มตัวเข้ามาใกล้ๆ ให้ออกห่างในทันที เขาหัวเราะเบาๆ ความรู้สึกราวกับเสียดายที่พลาดลิ้มลองขนมอร่อยตรงหน้าไป ก่อนที่จะพูดตัดบท
“โอเค เราคงกลับกันได้แล้วนะ ส่วนที่เหลือปลัดไม่ต้องห่วงผมจะให้ลูกน้องสืบหาเบาะแสเรื่องนี้ต่อเอง”