“พี่วิทย์ พี่วิทย์บอกมาเลย ไปรู้จักผู้ชายคนนั้นได้ยังไง ถ้าเป็นเพื่อนพี่วิทย์หนูเกลต้องรู้จักสิ” คำพูดแรกที่หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อขึ้นมานั่งบนรถคันหรูสีดำเงาวับที่บ่งบอกถึงการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีของผู้เป็นเจ้าของที่ทำหน้าที่เป็นสารถี
“อ่อ ไอ้กวินทร์มันเป็นเพื่อนสนิทพี่สมัยประถม แล้วมันก็ย้ายไปเชียงใหม่ ตอนนั้นหนูเกลยังจำความไม่ได้เลยมั้งคะ” ด้วยวิทย์ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของบ้าน อายุห่างกับน้องสาวถึง 6 ปีทำให้ตอนที่สนิทกับกวินทร์ยังเป็นตอนที่เด็กๆกันอยู่
“ชิ! หนูเกลไม่ชอบเลย คนอะไรกัน ขี้เก๊ก หลงตัวเอง ปากร้าย ไม่เห็นมีอะไรดีเหมือนพี่วิทย์ของหนูเกลเลย ไปคบกันได้ยังไง” หญิงสาวยังนึกแค้นไม่หายเรื่องที่หาว่าตนไปอ่อยให้ท่า ถึงแม้จะไม่พูดออกมาก็ตาม
“เอาหน่า จริงๆไอ้กวินทร์มันเป็นคนดีจะตาย แถมไอ้เนี่ย ก็คือคนที่” ก่อนที่วิทย์จะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงโทรศัพท์เครื่องหรูก็ดังขึ้น
“ว่าไงวะตฤณ พี่กำลังขับรถพาหนูเกลกลับบ้าน” วิทย์รับสาย ชายผู้เป็นน้องของตน และยังเป็นพี่ชายของคนที่นั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์ตั้งแต่ขึ้นมาบนรถ ไม่สิ ตั้งแต่เจอหน้ากันที่สนามบิน
“เอางั้นเลยหรอวะ หูยยย พี่กลัวโดนแยกเขี้ยวใส่อ่ะสิ หนูเกลยิ่งอารมณ์เสียอยู่” คนเป็นพี่ไม่ได้เกรงกลัวผู้เป็นน้องสาว เพียงแต่เห็นใจที่ต้องนั่งเครื่องบินมาหลายชั่วโมงถึงแม้จะเป็นระดับเฟิร์สคลาสและก็ยังจะไปมีเรื่องกับเพื่อนของตนอีก
“เอางั้นก็ได้ๆ พี่เป็นไรมาตฤณรับผิดชอบนะ หาเรื่องให้พี่แท้ๆเลยแกนี่” พูดจบก็วางสายเตรียมตัวเรียบเรียงคำพูดให้ดีที่สุด เพื่อช่วยลดอาการวี๊ดปรอทแตกของน้องสาวตน
“หนูเกล…” เหมือนพูดไม่เต็มแรง เหมือนคนหมดแรงจะพูด
“รีบพูดมาค่ะ หนูเกลรอพี่วิทย์มารับนานแล้ว อย่าให้ต้องรอพูดอีก” พูดออกไปพร้อมพ่นลมหายใจที่บ่งบอกว่าเหนื่อยสุดๆแล้ว ต้องการการพักผ่อน
“คุณลุงกับคุณป้าที่เป็นเพื่อนพ่อเค้าอยากพบหนูเกลค่ะ คนที่เค้าจะให้ไปช่วยเรื่องลูกชายเค้า” พูดออกไปพร้อมปล่อยลมหายใจออกมาให้เบาที่สุด เหมือนกลัวว่าถ้าหายใจแรงจะทำให้คนข้างๆหงุดหงิดเพิ่ม
“ไปก็ไปค่ะ ดีเหมือนกัน ขอดูหน่อยเถอะว่าว่างแผนอะไรกัน แล้วหนูเกลจะได้ปฏิเสธไปเลย พ่อไม่กล้า หนูเกลทำแทนเองก็ได้” หญิงสาวพูดจาอย่างมั่นใจว่าตนเองสามารถใช้วิธีการพูดจาให้คนเป็นเพื่อนคุณพ่อหันไปพึ่งคนอื่น
ณ ร้านอาหารเดือนเคียงดาว
“สวัสดีค่ะ คุณพ่อคุณแม่ พี่ตฤณ และก็คุณมนตรีคุณหญิงพร้อม” เกลินที่เดินมาคนเดียวเดินตรงมาที่โต๊ะพร้อมยกมือไหว้บุคคลผู้อวุโสกว่าเพราะวิทย์บอกให้ลงรถมาก่อน ตนจะหาที่จอดรถ ถึงแม้เจ้าตัวจะไปอยู่เมืองนอกเมืองนา แต่ความเป็นไทยยังอยู่เต็มสายเลือด
“สวัสดีจ่ะหนูเกล สวยเหมือนในรูปเลยนะจ้ะ สวยได้คุณแม่จริงๆ” คุณหญิงพร้อมพูดขึ้นหลังจากได้เห็นหน้าคราตาของคนที่ตนหวังจะให้มาเป็นลูกสะใภ้ในอนาคต
“ขอบคุณค่ะคุณหญิง” เกลินยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณพร้อมกับยิ้มกว้างเห็นฟันที่เรียงสวยเหมือนเม็ดข้าวโพดเพื่อหวังจะให้คนที่สนทนาด้วยเอ็นดู
“คุณหญิงอะไรกัน เรียกลุงกับป้าสิลูก” พูดไปพร้อมยิ้มกรุ่มกริ่ม
“คุณแม่คุณพ่อและก็พี่ตฤณสบายดีนะคะ คิดถึงจังเลยค่ะ” ว่าแล้วก็เดินเข้าไปหอมแก้มคุณพ่อคุณแม่ฟอดใหญ่ พร้อมเดินไปอ้อนพี่ชายตน “พี่ตฤณ หนูเกลคิดถึงพี่ตฤณจัง พาไปเที่ยวหน่อยนะคะ” เธอรู้ดีว่าตฤณเป็นคนขรึมๆ แต่ถ้าเจอลูกอ้อนของหนูเกล เป็นใจอ่อนตามใจน้องทุกครั้งเลย
“เราก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่มีใครว่างพาไปไหนก็มาอ้อนพี่ ทั้งๆที่พี่ก็งานหนักพอๆกับทุกคน” ตฤณพูดหน้านิ่ง แต่เกลินรู้ดีว่านี่คือคำตกลง
“สวัสดีครับทุกคน” วิทย์กล่าวสวัสดีพร้อมยกมือขึ้นไหว้เมื่อเดินมาถึงโต๊ะของครอบครัว
“นั่งสินั่ง หนูเกล หมอวิทย์ กลับมาเหนื่อยๆ ลุงขอโทษจริงๆ แต่พรุ่งนี้ลุงจะไปเที่ยวอิตาลีแล้ว กลัวไม่มีเวลามาคุย” คุณมนตรีเชื้อเชิญให้หญิงสาวนั่งลง รู้สึกอยากคุยเรื่องของลูกตนใจจะขาด
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นเกลก็อยากคุยจนอดใจไม่ไหวแล้วค่ะ” ใจจริงหล่อนอยากจะปฏิเสธพร้อมกับกลับบ้านในทันที นี่ถ้าไม่เห็นแกหน้าคุณพ่อคุณแม่
“งั้นเข้าเรื่องเลยดีกว่าค่ะ หนูเกลอยากรู้ค่ะว่าทำไมหนูเกลต้องทำ หนูเกลไม่เชื่อว่าเรื่องแค่นี้ทำไมต้องตัดเงินทุนหนูเกล มันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยหรอคะ” พูดไปหัวร้อนไป เมื่อนึกถึงสิ่งที่เป็นดังลูกรัก ร้านเสื้อผ้าที่ทุ่มแรงกายแรงใจลงไป ต้องมาจบเพียงเพราะผู้ชายคนนึงลืมแฟนเก่าไม่ได้ มันน่าจะตีให้ตายนัก ทำตัวเหมือนเด็กๆ คิดไปได้เท่านั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนก็เป็นเช่นกัน
“หนูเกลเป็นหนี้คุณลุงเค้านะลูก” เดือนแขผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นหลังจากที่ดูว่าลูกสาวตนเริ่มเกิดอาการไม่พอใจ
“อะไรกัน! หนูเกลไปเป็นหนี้ใครตอนไหน”สีหน้าดูตกใจ เพราะตนไม่เคยไปยืมเงินใคร ทำไมต้องเป็นหนี้
“พ่อยืมให้หนูไปเป็นทุนทำร้านเอง” หลังจากที่ฟังมานาน ดูทีท่าว่าลูกสาวคนสวยของตนจะไม่ยอม
“ตอนนั้นพ่อต้องเอาเงินส่วนที่มีไปลงทุนธุรกิจของทางบ้านเรา แต่หนูเกลก็ต้องการด้วย พ่อมีไม่พอส่งไปจริงๆ ดีที่มนตรียื่นมือเข้ามาช่วย” ใช่ ตอนนั้นเป็นตอนที่ทางบ้านศิริวรากรณ์มีปัญหาทางการเงินนิดหน่อย ได้มนตรีกับคุณหญิงพร้อมช่วยไว้ เลยผ่านมันมาได้
“ตอนนี้เราก็มีแล้วนี่คะ ก็น่าจะคืนคุณลุงนะคะ” หญิงสาวตอบไปโดยไม่คิดอะไร
“ไม่! พ่อจะไม่ยอมให้ลูกใช้เงินทิ้งๆ ขว้างๆแล้ว ในเมื่อมันคือร้านของลูก ลูกต้องรับผิดชอบ!” ปกติเกลินจะไม่ยอมอะไรที่ตนไม่เต็มใจเด็ดขาด แต่ครั้งนี้ มันมีสิ่งที่เธอรักมาเกี่ยวข้อง เธอยอมไม่ได้ที่มันจะปิดตัวลง
“หนูเกลต้องทำอะไรบ้างคะ” สุดท้ายคุณหนูเกลิน ต้องมายอมแพ้ให้กับคำขู่นี้
“หนูเกลมีเวลา 4 เดือน ก่อนป้ากับลุงจะกลับจากอิตาลี ต้องทำให้พี่เค้าลืมยายผู้หญิงจิตใจชั่วคนนั้น”คุณหญิงพร้อมอยากจะบอกต่อเหลือเกินว่าทำให้ลูกตนรักได้ก็ดี
“ค่ะ สบายมาก มันจะยากอะไรคะ แค่ทำให้คนๆนึง ลืมคนๆนึง จริงมั้ยคะ พี่ตฤณ” หญิงสาวหันไปหาพี่ชายเพื่อต้องการความมั่นใจ จริงๆตนก็ไม่มั่นใจเช่นกัน เพราะนี่ขนาดผ่านมาเป็นปี ตนยังลืมคนรักเก่าไม่ได้เลย…
“มีข้อแม้ว่า หนูเกลจะไปที่นั่นในฐานะคนงาน พี่เค้าให้ทำตำแหน่งไหนก็ต้องทำ” คนที่พูดกลับไม่ใช่มนตรีและเดือนแข แต่เป็นพ่อของหญิงสาว
“อะไรนะคะ! คุณพ่อกะจะฆ่าหนูเกลหรอ” เกลินถึงกับร้องเสียงหลง
“ยังไม่พอ ภายในเวลา 4 เดือนนี้ ห้ามทุกคนไปเยี่ยมหรือติดต่อให้ความช่วยเหลือหนูเกลก่อนได้รับอนุญาตจากพ่อ ไม่งั้นพ่อจะไม่ให้หนูเกลกลับอังกฤษไปทำร้านเสื้อผ้าอีก!” เขารู้ดีว่ามันโหดร้ายสำหรับลูกสาว เขาเพียงแค่อยากให้ลูกเรียนรู้การใช้เงิน เพราะอนาคตอาจจะไม่มีตนมาคอยส่งเงินไปให้อีกแล้ว เรียกง่ายๆว่าอยากดัดนิสัยลูกตัวดีคนนี้
“ตามนั้นนะลูก วันมะรืนเดินทาง ครบกำหนดเมื่อไหร่ พ่อแม่และก็พี่ๆจะไปรับ แต่ขาไป ไปเองนะ”