เจ้าเป็นคนของข้า
นับจากนั้นจูเฟยหลินก็มักจะปลอมตัวเป็นเหลียนฮวาออกไปนอกจวนบ่อยๆ เหล่าคนเฝ้าประตูจวนต่างส่งสายตาท่าทางชื่นชมนางอย่างออกนอกหน้า ถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้งกันก็เคยมี เพื่อหวังพิชิตใจสาวใช้คนงามโดยหารู้ไม่ว่านางคือนายหญิงอีกคนของเรือน
“ฮู หยินเลิกออกไปเที่ยวนอกจวนสักทีเถอะเจ้าค่ะ หากนายท่านรู้เข้า”
“เขาไม่มีทางรู้หรอกน่า ตอนนี้อีตาบ้ากามนั่นกำลังยุ่งกับกิจการข้าวที่เมืองตะวันออก หากเจ้าไม่ให้ข้าออกไปเสียช่วงนี้จะให้ไปช่วงไหนกัน”
พูดจบจูเฟยหลินก็หายวับไปทิ้งเพียงสาวใช้หน้ามนยืนถอนหายใจยาวเพียงลำพัง
“หากความแตกขึ้นมาท่านเองนั่นแหละที่จะเดือดร้อนฮูหยิน”
วันนี้เป้าหมายของจูเฟยหลินมิได้ไปหาจูลู่จินเช่นทุกครั้ง หากแต่นางกำลังมาเยือนร้านเครื่องประดับสกุลจิ้ง ร้านที่ตอนนี้อยู่ในความรับผิดชอบของนาง เดือนก่อนนางมัวแต่ยุ่งๆกับกิจการร้านเครื่องเขียนสกุลจู จึงมิได้มาใส่ใจร้านเครื่องประดับของตนเองเท่าที่ควรโชคดีที่อีตาบ้ากามจิ้งเจิ้งหลี่เองก็ยุ่งกับปัญหาราคาข้าวที่เมืองตะวันออกตกต่ำอยู่มิได้มีเวลามาหาเรื่องนาง นับว่านางดวงดีแต่เขาดวงซวย ดังนั้นเพื่ออนาคตที่ปลอดภัยของนางออกจากจวนคราวนี้นางจึงต้องการมาดูสถานการณ์ของร้านด้วยตาตนเองเสียหน่อย
“อ่า...คุณชายน้อยเชิญขอรับ ร้านเรามีเครื่องประดับสวยๆมากมายให้เลือก มิทราบว่าท่านจะซื้อไปฝากใครกันขอรับข้าน้อยจะได้พาไปชมสินค้าได้เหมาะสม”
“ขอบคุณท่านมาก ข้าขอเดินดูสักครู่”
การต้อนรับนับว่าดี สายตาหวานคมมองไปรอบๆร้านการตกแต่งและความสะอาดก็มิได้บกพร่องที่ใด เช่นนั้นปัญหาคงอยู่ที่สินค้า จูเฟยหลินเดินมองสินค้ามากมายที่วางอยู่บนชั้น แม้มองเผินๆจะงดงามไม่น้อย หากแต่มิได้โดดเด่น หลายชิ้นมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันจนแทบแยกมิออก ที่สำคัญมีปริมาณมากเกินไป
“เห็นทีงานนี้ข้าคงต้องเหนื่อยมิน้อย”
จูเฟยหลินบ่นพึมพำกับตนเอง ก่อนเดินออกมาจากร้านในมือถือกล่องไม้เรียบๆที่บรรจุปิ่นปักผมรูปดอกไม้เล็กๆ ด้ามไม้ขัดเงาแม้ดูเรียบง่ายแต่เป็นงานที่ละเอียดที่สุดในร้านเลยก็ว่าได้ เอาไปฝากเหลียนฮวานางจะได้บ่นน้อยลงสักหน่อย
ตะวันคล้อยบ่ายจูเฟยหลินยังเดินดูตลาดเพื่อสำรวจดูว่าความนิยมของชาวเมืองหนิงอันนั้นนิยมปิ่นแบบใดกันบ้าง รวมไปถึงเครื่องแต่งกายอื่นๆด้วยเช่นกัน มือบางยังคงหยิบขนมเซาปิ่งที่ห่อด้วยกระดาษไขมันขึ้นทาน รสชาติของถั่วเหลืองให้ความหอมและหวานละมุนลิ้น นับว่าชีวิตหลังแต่งงานของนางไม่ได้เลวร้ายนัก เสียงเอะอะโวยวายด้านหน้าทำเอาจูเฟยหลินขมวดคิ้วสายตาหวานมองไปที่เด็กสาววัย 12-13 ปี กำลังถูกชายวัยกลางคนทุบตีด้วยความรุนแรง แม้จะโดนทุบตีจนล้มไปกองกับพื้นแต่ มือบางของเด็กสาวกับกำบางอย่างแนบอกแน่น
“หยุดก่อนเถิดท่านลุง มิทราบเด็กสาวผู้นี้กระทำความผิดใดกัน”
“นังแมวขโมยน่ะสิ!! ยัยตัวดีนี่มาขโมยซาลาเปาข้าทุกวัน วันนี้ข้าจับนางได้จะตีจนตายเลย”
“ในเมื่อนางขโมยซาลาเปาท่านทุกวัน เช่นนั้นนางก็สมควรโดนตีแล้ว”
สิ้นคำของจูเฟยหลิน ชาวบ้านที่มามุงดูต่างด่าทอนางว่านางไร้ความเมตตาแต่งกายดีหลงคิดว่านางจะยื่นมือปันเงินในกระเป๋าเข้าช่วยเด็กน้อย ตรงกันข้ามกับยุยงในคนขายซาลาเปาทุบตีเด็กน้อยจนตายเสียด้วย ใบหน้าหวานมิได้ใส่ใจเพียงยกยิ้มบางเบาเจ้าเล่ห์
“แต่น่าเจ็บใจนัก นางขโมยซาลาเปาท่านมาตั้งนาน ท่านตีนางตายนางก็สบายไป แต่ท่านเล่าได้สิ่งใดกัน อ่า...แบบนี้ขาดทุนเห็นๆมิเห็นได้อะไรเลยท่านว่าหรือไม่”
ชายวัยกลางคนเจ้าของร้านซาลาเปาหยุดมือคิดตามที่นางกล่าว สายตาหวานเหลือบไปเห็นหญิงชราที่นั่งช่วยชายกลางคนนี่ขายซาลาเปา
“มารดาของท่านชราภาพมากแล้ว หากได้เด็กสาวคอยช่วยดูแลหยิบจับคงดีมิน้อย”
ท่าทางที่ดูอ่อนลงนั่นทำให้จูเฟยหลินเดาได้ไม่ยากว่าชายขายซาลาเปานี้แท้จริงมิใช่คนเลวร้าย มารดาเขาอายุมากปูนนี้เขายังพามานั่งขายซาลาเปาด้วย อีกทั้งเสื้อผ้าที่ใส่ก็ขาดหลายจุดมิได้ถูกซ่อมแซมเย็บปักชุนให้เรียบร้อย นั่นย่อมหมายความว่าเขามิมีภรรยามาคอยดูแลตนเองและมารดาที่บ้านจึงต้องพานางที่แก่ชราแล้วมาทำงานด้วย นั่นบ่งบอกว่าเขามีความกตัญญูมิน้อย เช่นนั้นเขาย่อมมิใช่คนเลวร้ายอะไรนัก
จูเฟยหลินประคองเด็กสาวที่นั่งกอดซาลาเปาแนบอกน้ำตาอาบแก้ม
"รู้หรือไม่ต่อให้เจตนาเจ้าดีเพียงใดแต่การกระทำเช่นนี้ย่อมมิใช่สิ่งดี หากวันนี้เจ้าโดนตีจนตายคนที่เจ้าห่วงใยอยู่นั้นจะอยู่เช่นไร"
เด็กน้อยเงยหน้าจดจ้องใบหน้างามคราบน้ำตายังเปาะเปื้อนแก้มนวล จูเฟยหลินเช็ดให้อย่างมิรังเกียจ
"นายน้อยข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษ"
"ข้ามิใช่คนที่เจ้าควรขอโทษ"
ร่างเล็กหันไปมองชายร่างสูงใหญ่ที่เมื่อครู่ตีนางจนระบมไปทั้งตัว มือเล็กยื่นซาลาเปาที่ก่อนหน้ากอดเอาไว้แนบอกส่งคืนให้เขา
"ข้าผิดไปแล้ว ท่านจะตีข้าจนตายก็ได้ข้าจะมิโทษท่านสักคำ แต่ข้าขอเอาซาลาเปานี่ไปให้มารดาก่อนได้หรือไม่"
ชายขายซาลาเปามองแววตาใสซื่อที่มีน้ำตาคลอในทีแล้วถอนหายใจยาว
"ตีเจ้าจนตายก็แค่นั้น ซาลาเปานั้นเปื้อนแล้วข้าขายไม่ได้แล้ว เจ้าจะเอาไปทิ้งหรือไปกินก็ตามใจเจ้า"
ขณะที่ทุกอย่างกำลังสงบลงก็มีสตรีวัยยี่สิบต้นๆแต่ดูท่าทางอ่อนแอวิ่งฝ่าฝูงชนเขามาโอบกอดเด็กสาวผู้นั้นอีกทั้งยังร่ำไห้ปานจะขาดใจ
“ได้โปรดอย่าตีนางอีกเลย ข้าเป็นมารดาของนาง ข้าผิดที่สั่งสอนนางไม่ดีได้โปรดตีข้าแทน”
“ท่านแม่….ท่านไม่สบายอยู่เหตุใดจึงออกมาเช่นนี้”
“เด็กโง่ข้าไม่สบายแล้วให้เจ้าทำตัวเป็นขโมยเยี่ยงนี้ได้หรือ”
จูเฟยหลินมองสตรีต่างวัยสองคนโอบกอดกันร่ำไห้ช่างเป็นภาพที่น่าสงสารมิใช่น้อย ชายขายซาลาเปามีทีท่าอ่อนลงมารดาเขาเดินมาจับแขนบุตรชายพร้อมตบที่ต้นแขนเบาๆ
“พอเถิด พวกนางน่าสงสารปานนี้ เจ้าเองก็ปล่อยนางไปเถิด”
ชายขายซาลาเปามิได้กล่าวสิ่งใดอีก ขณะที่หญิงชราส่งซาเปาอีกหลายลูกให้สองแม่ลูก จูเฟยหลินมองสองแม่ลูกที่กล่าวขอบคุณหญิงชราด้วยน้ำตาอาบแก้ม เด็กสาวหันมามองที่นางพร้อมส่งรอยยิ้มหวาน
หึ..เด็กนี่เข้าใจเจตนาของนางเช่นนี้ย่อมดีมิน้อย ความจริงเรื่องนี้เพียงจูเฟยหลินควักเงินในกระเป๋าช่วยเหลือเรื่องก็คงจบอย่างงดงาม แต่นางมิใช่นางเอกใจดีเช่นในนิยาย การช่วยที่ดีที่สุดคือการให้พวกเขาได้คิดมากกว่า และตอนนี้ดูเหมือนเด็กสาวตรงหน้าจะเข้าใจเจตนารมณ์ที่นางตั้งใจ ช่างฉลาดยิ่งนัก
จูเฟยหลินกลับมาที่เรือนในช่วงเย็นก่อนส่งขนมเซาปิ่งและกล่องไม้ให้เหลียนฮวาสาวใช้หน้ากลมรับไปด้วยความงุนงง
“ให้ข้านำไปเก็บหรือเจ้าคะฮูหยิน”
“ของฝากเจ้าต่างหาก”
เหลียนฮวาทำหน้างุนงงก่อนเปิดฝากล่องไม้ ปิ่นปักผมตรงหน้างดงามยิ่งนัก นางเป็นเพียงสาวใช้ไหนเลยจะคู่ควรกับของมีค่าเช่นนี้กัน
“ฮูหยิน ข้า..ข้ารับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ”
เหลียนฮวาคุกเข่าส่งกล่องไม้คืนเฟยหลินมิกล้าแม้แต่จะแตะต้องปิ่นปักผมด้านใน นับจากนางเข้ามาเป็นสาวใช้ให้จูเฟยหลินนางก็มิเคยหวังสิ่งใดตอบแทน
“เดี๋ยวนี้เจ้ากลายเป็นเด็กดื้อไปเสียแล้วหรือนี่”
“ฮูหยิน…”
“เจ้าเป็นคนของข้า ข้าย่อมต้องดูแลเจ้ารับไว้เถิด”
เหลียนฮวาก้มลงกลืนก้อนสะอื้นลงไปในอก ซาบซึ้งในเมตตาของนายหญิงนักจะมีบ่าวรับใช้สักกี่คนกันที่ได้เจ้านายใจดีมีเมตตาเช่นนี้