บทประพันธ์ถวายความอาลัยแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
'ศิริราชา'
มันเงียบ...เงียบไปถึงหัวใจ
เขาตื่นขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่เงียบงัน ปราศจากสิ่งมีชีวิตอื่นใด นอกจากเสียงครางหึ่งๆ ของเครื่องปรับอากาศ เขาก็ได้ยินเพียงเสียงหายใจสม่ำเสมอของตัวเองดังฝ่าความเงียบเท่านั้น...ความเงียบ ที่เสียดแทงหัวใจอย่างแปลกประหลาด
ที่แขนของเขามีสายน้ำเกลือโยงไว้กับเสาข้างเตียง สิ่งนั้นเองที่ทำให้เขารู้ว่า...เขากำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาล หรืออาจจะแค่สถานพยาบาล ที่ใดสักที่หนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เขาเป็นกังวลก็คือ...ชายหนุ่มพยายามนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเขามานอนอยู่ที่แบบนี้ได้อย่างไร
“ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม” นั่นคือสิ่งที่เขาบอกกับนายแพทย์และนางพยาบาลที่เข้ามาตรวจตามตารางเวลา
“คุณจำได้ไหมครับว่าครั้งสุดท้าย คุณกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน”
นายแพทย์ผู้ตรวจไข้สอบถามชายหนุ่มด้วยสีหน้าฉายแววกังวลระคนสงสัย แต่นอกจากนั้นแล้วเขายังมองเห็นความเหนื่อยล้าและหมองเศร้าจากแววตาคู่นั้น
“ผม...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร”
ทุกอย่างชะงักลงเมื่อเขาเอ่ยคำพูดนั้นออกมา ทั้งแพทย์ทั้งพยาบาลมองหน้าเขาและเริ่มพินิจพิจารณาทุกอย่างถี่ถ้วนขึ้น
“คุณพูดจริงหรือ...” หมอวัยกลางคนถามย้ำเพื่อความมั่นใจ “คุณจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร และก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นเลยอย่างนั้นหรือ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับแทนคำตอบ อีกฝ่ายผละไปปรึกษากับพยาบาลที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย จากนั้นจึงสั่งให้รายงานอาการให้ญาติผู้ป่วย หรืออันที่จริงก็คือญาติของเขาทราบ
“ค่ะ เราควรจะรีบบอกญาติผู้ป่วย คงต้องโทรศัพท์ไปแจ้ง...” พยาบาลพูดพลางเหลือบมองเขาอย่างหนักใจ เธอเองก็ดูเหนื่อยล้าไม่ต่างจากนายแพทย์วัยกลางคนที่ยืนข้างกันเท่าใดนัก “เพราะถ้าจะรอแจ้งตอนพวกเขามาเยี่ยมไข้ก็คงจะกินเวลาหลายชั่วโมง หรืออาจจะต้องเป็น...วันพรุ่งนี้”
เมื่อตกลงกันได้เสร็จสรรพ พยาบาลสาวก็แยกไปทำตามหน้าที่ของตน เหลือเพียงหมอไว้ในห้องกับเขาเพียงลำพัง
นายแพทย์ลากเก้าอี้มาข้างเตียงของเขาและเริ่มสอบถามอีกครั้ง
“คุณรู้ไหม ว่าตอนนี้คุณกำลังอยู่ที่ไหน”
“คิดว่า...โรงพยาบาล” น่าแปลก ที่คำตอบนั้นแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดสักนิด “เดาจากสภาพห้อง นี่คือห้องพิเศษ” ชายหนุ่มพูดเสริมขณะเดียวกับที่มองสำรวจไปรอบห้อง
นายแพทย์พยักหน้ารับ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันค่อยคลายลงบ้าง
“คุณชื่อพลวัตร มีบุญ...เมื่อช่วงกลางวันคุณหมดสติไป” หมอเริ่มเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขาให้ฟัง “มีพลเมืองดีพาคุณมาส่งที่นี่ จากนั้นทางเราก็แจ้งให้ญาติของคุณทราบ แต่ตอนนี้พวกเขาคงจะ...ยุ่ง”
“ก่อนผมหมดสติไป ผมทำอะไรอยู่หรือ” ชายหนุ่มถามแทรกขึ้นขณะที่หมอกำลังเล่า
“คุณก็อยู่ที่นี่แหละ”
อาการขมวดคิ้วบ่งชัดว่าพลวัตรไม่เข้าใจคำบอกเล่านั้น นายแพทย์มองผ่านไปยังบานหน้าต่าง ทิศที่อยู่ด้านข้างซ้ายของเตียงผู้ป่วย
“ที่นี่คือ...โรงพยาบาลศิริราช คุณพอจะจำได้บ้างไหม” ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความสั่นเครือเล็กๆ ในน้ำเสียงของอีกฝ่ายเมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้
“ผมจำไม่ได้ว่าผมมาทำอะไรที่โรงพยาบาล...ผมอาจจะมาตรวจโรค”
“ไม่ใช่หรอกครับ...” คำค้านของหมอสั่นไหวรุนแรงจนเขารู้สึกชาวาบในหัวใจ
“เมื่อไหร่ผมถึงจะจำอะไรได้ครับหมอ ผมไม่อยากมานั่งฟังเรื่องของตัวเองจากคนอื่นๆ ตลอดไปหรอกนะ หมอพอจะบอกได้ไหมว่าผมเป็นอะไร” หลังจากพยายามนึกเรื่องราวก่อนหน้านี้แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็นึกไม่ออก พลวัตรจึงรู้สึกร้อนรนขึ้นมา
“หมอเองก็ไม่เคยเจออาการแบบนี้หรอกนะ แต่จากกรณีศึกษาที่หมอเคยได้ยินมา อาการของคุณเข้าข่ายโรค TGA หรือโรคความจำเสื่อมชั่วคราว...โรคนี้ยังไม่มีการวินิจฉัยสาเหตุที่แน่ชัด ถ้าคุณเป็นโรคนี้ คุณอาจจะลืมแค่ไม่กี่ชั่วโมง หรืออาจเป็นวัน แต่สุดท้ายคุณก็จะหายเองและกลับมาจำได้อีกครั้ง” นายแพทย์บอกข้อสันนิษฐานให้เขาฟัง
“แต่คุณรู้ไหม...ว่าผมรู้สึกอิจฉาคุณเหลือเกิน ที่คุณจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ไม่ได้”
“ทำไมหรือครับ”
บรรยากาศในห้องกลับกลายเป็นเงียบงัน หลังจากเขาถามขึ้นแล้วไม่ได้รับคำตอบใดๆ
“คุณอยากดูโทรทัศน์ไหม ระหว่างที่รอญาติๆ ของคุณ ตอนนี้หมอต้องขอตัวก่อน...”
โทรทัศน์จอแบนกลางห้องถูกเปิดแทนที่การสนทนาระหว่างเขาและนายแพทย์ มีพยาบาลเข็นอาหารเข้ามาให้...จากนั้นทั้งคู่ก็จากไป
เขาสำรวจอาหารในถาดและค่อยๆ ชิมทีละอย่าง ประกอบกับสายตาก็ดูโทรทัศน์ไปด้วย
บนจอโทรทัศน์นั้นฉายภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ในการเสด็จไปทรงงานยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งสร้างความแปลกใจให้พลวัตรเมื่อเขาจำได้ว่ากว่าครึ่งหนึ่งของภาพฉายที่เขากำลังดูอยู่นั้น เขาเคยเห็นมาก่อนแล้ว...เขาจำในหลวงได้…
เขาจำพระราชาที่มีบัลลังก์คือผืนแผ่นดินพระองค์นี้ได้
จอภาพท่าจะเสีย เพราะทุกอย่างบนจอนั้นไม่มีสีอื่นเลย เห็นแต่สีขาวๆ ดำๆ แต่กระนั้นภาพที่ปรากฏต่อสายตาก็เป็นสิ่งที่ยังความตื้นตันใจมหาศาลให้แก่ผู้รับชมอย่างเขา
แหมะ...
น้ำใสๆ หยดลงบนมือที่กำลังจับช้อนอยู่ของเขา ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน ก้อนแข็งๆ เลื่อนอัดกลางลำคอ เขาค่อยๆ วางช้อนลง ยกหลังมือปาดมันออก จากหยดแรก เป็นหยดที่สอง สาม...
ธ ทรงกิจ กอบเกื้อ เอื้อเหล่าราษฎร์
ธ ทรงดั่ง ปิ่นชาติ ปักเกศี
ธ ทรงธรรม ล้ำค่า พัฒน์ธานี
ธ ทรงศรี สถิตเกล้า ผองชาวไทย
แม้หมอจะบอกว่าเขาอยู่ในภาวะความจำเสื่อม แต่พลวัตรก็รู้ตัวดีว่าเขากำลังร้องไห้ ร้องไห้ให้กับภาพบนจอโทรทัศน์ตรงหน้านี้ ภาพพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยที่กำลังทรงงาน ล้วนเป็นภาพอันน่าปลื้มปีติ เช่นนั้นแล้วเขาหลั่งน้ำตาเพราะความปลื้มปีติอย่างนั้นหรือ เขาไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็น...
“คุณจำไม่ได้หรือคะว่ามาศิริราชทำไม” นางพยาบาลย้อนถามเมื่อชายหนุ่มเอ่ยถามเธอถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขา เธอยิ้มให้เขาเล็กๆ ดูจะเป็นการแค่นยิ้มอย่างเจ็บปวดใจเสียมากกว่า...
“นับว่าคุณโชคดีมากทีเดียว ดิฉันเอง...ก็อยากจะจำอะไรไม่ได้บ้าง” เธอว่า จากนั้นเธอก็เงียบไปและก้มหน้ากลั้นสะอื้น สร้างความงุนงงให้ชายหนุ่มยิ่งกว่าเดิม
ข่าวในโทรทัศน์ยังคงนำเสนอเรื่องราวของในหลวง...
พลวัตรผละออกจากจอโทรทัศน์ หลังจากนอนพักที่โรงพยาบาลมาหนึ่งคืนเต็ม เขาก็ยังไม่ได้คำตอบว่าเขามาทำอะไรที่โรงพยาบาลศิริราช ชายหนุ่มแหวกม่านออกเพื่อมองผ่านกระจกหน้าต่างดูวิวรอบตัวอาคาร เขาทอดสายตาลงไปเบื้องล่าง...แต่แล้วก็ต้องตกตะลึง สายตาหยุดชะงักค้าง
ภาพเบื้องล่างที่ปรากฏแก่สายตาคือหมู่มวลชนที่สวมใส่เสื้อผ้าสีดำจำนวนมาก อัดแน่นเต็มลานด้านข้างอาคาร ทอดยาวไปจนสุดทาง กว่าครึ่งหนึ่งในคนเหล่านั้นบ้างชูบ้างกอดรูปรูปหนึ่งเอาไว้...รูปเหล่านั้นคือพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวง บรรยากาศโรงพยาบาลที่เขาเคยว่าเงียบ ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยเสียงร่ำไห้คร่ำครวญอย่างโศกศัลย์ของคนเหล่านั้น
ชายหนุ่มเบิกตากว้าง กวาดสายตามองภาพตรงหน้าอีกครั้งด้วยความรู้สึกชาวูบในหัวใจ เขาหันหลังกลับทั้งที่ยังไม่ปิดม่าน ถอดสายน้ำเกลือออกจากแขนและวิ่งออกมาจากห้องด้วยสีหน้าของคนที่กำลังตื่นกลัวอะไรบางอย่าง เขาตรงเข้าหานางพยาบาลที่กำลังเดินผ่านไป
“ในหลวง...ในหลวง...เกิดอะไรขึ้น ในหลวง...ท่านยังอยู่ที่นี่ใช่ไหม”
แม้จะมีทีท่าตื่นตกใจในทีแรก แต่อีกฝ่ายก็ตั้งสติได้เร็ว
“คะ ใจเย็นๆ นะคะ”
“เกิดอะไรขึ้น คุณ บอกผมเถอะนะ ผมจำอะไรไม่ได้เลย”
เขาเกือบจะเขย่าไหล่เธอ แต่ก็ยั้งการกระทำนั้นไว้ได้ นางพยาบาลเม้มปากแน่นเมื่อตั้งสติได้ ก่อนจะตอบช้าๆ
“เมื่อช่วงค่ำวานนี้...ท่านเสด็จสวรรคตแล้วค่ะ”
“จริง...เรื่องจริงหรือ...”
“...ค่ะ...”
...
ก่อนหน้านี้มันเงียบ...เงียบเข้าไปถึงหัวใจ...
แต่ตอนนี้เหมือนฟ้าผ่าลงกลางอก ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นยื่นเข้ามาปลิดหัวใจของเขาออกจากขั้วอย่างฉับพลัน
พลวัตรไม่อาจยืนอยู่ได้ดังเดิม ขาทั้งสองข้างของเขาทรุดลง ร่างทั้งร่างโถมไปกองกับพื้นราวกับตุ๊กตาผ้า สองมือสั่นเทาเกาะกุมกันพนมรองศีรษะไว้ ไม่มีคำบรรยายไหนที่จะสามารถบอกความรู้สึกของชายหนุ่มได้ เขาสะอื้นตัวโยนบนระเบียงทางเดิน น้ำตาที่เคยไหลอย่างไม่รู้สาเหตุ วินาทีนี้เขารู้แล้ว สิ่งที่เขารับรู้หลังจากจำเรื่องราวได้ กลับกลายเป็นความวิปโยคมหาศาล เรื่องที่เขาอยากรู้หนักหนา กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจของเขาแตกสลาย
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขามาทำอะไรที่ศิริราช...
เขารู้แล้วว่าสิ่งที่เขาลืมไปคือเรื่องอะไรบ้าง...
ชายหนุ่มยังคงกราบอยู่กับพื้นในท่านั้น ร้องไห้สะอื้นเสียงดังอย่างลืมอาย ในใจร่ำร้อง เศร้าโศกสุดหัวใจอย่างแท้จริง
พระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจในชีวิตเขาให้เขาอยากทำความดี พระองค์ทรงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเขาและปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ พระองค์ทรงเป็นทุกๆ อย่าง...
จากนี้ไปไม่มีพระองค์แล้ว...เหมือนหัวใจแตกสลาย หนทางข้างหน้ามืดมิดไปหมดสิ้น
หรือการที่เขาจำอะไรไม่ได้ชั่วขณะนั้น...อาจจะเป็นเพราะพลวัตรเองรับมือกับความสะเทือนใจรุนแรงครั้งนี้ไม่ไหว จนอยากที่จะลืม
กระทั่งตัวเขาเองลืมไปสิ้นว่า...เขามาทำอะไรที่ศิริราช ในวันนั้น
ข้าพระบาทราษฎร์ร่ำคร่ำครวญ ด้วยพระองค์มิอาจหวนคืนได้
ส่งเสด็จสู่ชั้นฟ้าคลาไคล พสกไห้สุธาเนืองนองน้ำตา
สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้จัดการและผู้ดูแลระบบ เว็บไซต์ธัญวลัย
(บทประพันธ์นี้แต่ง ณ วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐)
แชร์เลย
2.8kอ่านประกาศ 2017-10-27T11:11:28.3530000+00:00ลงประกาศ
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น